หน้าแรก > Castle of Black Iron
Chapter 46: พวกเราคือพี่น้อง

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

*ตั้งค่าถาวร (คลิกตั้งค่าถาวร)

Chapter 46: พวกเราคือพี่น้อง

อันที่จริงมันก็นานมาแล้วที่ จางเทีย รู้สึกได้ถึงความพ่ายแพ้เพราะความกดดดันของยุคนี้ ไม่ว่าจะขยันแค่ไหนเขาก็รู้สึกว่าตัวเขานั้นเหมือนใบไม้เล็กๆที่ร่วงหล่นลงมาไม่สามารถควบคุมทิศทางของชีวิตตัวเองได้  เขารู้สึกไร้พลังและไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย  เขาไม่สามารถทำให้ มิสไดน่า มาตกหลุมรักเขาได้และทำให้พ่อแม่ตัวเองหยุดรู้สึกเศร้าในการเสียลูกชายคนโตไปไม่ได้   บางครั้งเขายังคิดถึงสิ่งที่น่ากลัวจะเกิดขึ้นกับคนใกล้ตัวของเขา  ในฉากที่เกิดขึ้นนั้นเขาน่ะไร้พลัง  เขาไม่มีตัวเลือกอื่นนอกจากทำได้แค่จับจ้องไม่สามารถแม้แต่ที่จะตะโกนได้

คืนนั้น จางเทีย ได้หลับลึก มันเกือบเป็นฝันหวานที่สุดที่เขาเคยมีมา   Leakless Fruit นั้นไม่ใช่แค่ช่วยปลุกจุดชีพจรของเขาแต่ยังช่วยจุดความหวังให้เขามีชีวิตที่ดีกว่าเดิมด้วย

ก็อย่างเช่นเคยเมื่อเวลาได้หกโมงกว่า จางเทีย ก็ตื่นขึ้นมา  เมื่อลืมตาขึ้นมา จางเทีย ได้มองไปที่หลังขาข้างบนและรู้สึกว่าชีวิตนั้นคาดเดาไม่ได้  บางทีอาจเป็นเพราะการปลุกจุดชีพจรเมื่อวานนี้ทำให้เขานั้นรู้สึกดีกว่าเดิมต่างจากเมื่อวานที่รู้สึกเจ็บระบมไปทั่วทั้งตัว   นอกจากหนึ่งรึสองที่บนร่างกายที่ยังมีรอยช้ำอยู่ ตอนนี้ จางเทีย ถือว่าฟื้นตัวมาได้สมบูรณ์แล้ว

ตอนนี้ฉันคือนักสู้ระดับ 1 ! จางเทีย พึมพำกับกระจกในห้องพร้อมกับยิ้มให้มัน  จากนั้นเขาก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่า   เขาทำท่าต่อสู้ลองดูและรู้สึกว่าแข็งแกร่งกว่าเมื่อก่อน  ความรู้สึกนี้มันเจ๋งจริงๆ

เขารีบใส่เสื้อผ้าแล้วลงไปที่ชั้นล่างเพื่อล้างหน้าล้าตาและแปรงฟัน  จากนั้นก็จุดเตาไฟเพื่อทำอาหารให้คนอื่นๆกิน  ก่อนที่แม่เขาจะตื่นขึ้นมา จางเทีย มักจะได้ค่าความดีจากการทำเรื่องแบบนี้  เมื่อเห็นแม่เดินออกมาจากห้องนอนพร้อมกับตาปรือๆ จางเทีย ก็รีบเดินเข้าไปและหอมแก้มเธอ – “ แม่ ผมไปโรงเรียนก่อนนะ .. “- จากนั้นเขาก็รีบวิ่งออกไปปล่อยให้แม่ตัวเองมองแบบงงๆ – “ ทำไมเขาถึงได้ตื่นเต้นขนาดนี้กัน ? “

หลังจากปลุกจุดชีพจรแล้ว ในตอนที่เขาเดินทางไปโรงเรียน จางเทีย รู้สึกได้ว่าร่างกายเขาพัฒนาขึ้นอย่างชัดเจน ในอดีตนั้นต้องใช้เวลากว่า 40 นาทีกว่าจะเดินมาถึงโรงเรียนได้  น่าแปลกใจที่ตอนนี้ใช้เวลาไปแค่ 10 กว่านาทีเอง  แม้ว่าเขาจะเหมือนจะเหนื่อยแต่ก็ยังรู้สึกดีกว่าแต่ก่อนเยอะ

ก็อย่างที่คาดไว้ จางเทีย นั้นเป็นคนแรกในชั้นที่มาเช้าขนาดนี้  เขาเดินไปดูเพื่อนข้างๆห้องเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครคอยแอบดูอยู่  จากนั้นเขาก็เริ่มทำความสะอาดโต๊ะและเก้าอี้ในชั้นเรียนเพื่อให้ได้ค่าความดี 3 หน่วย  หลังจากนั้นเขาก็วิ่งออกไปด้านนอกห้องเรียนและไปเข้าห้องน้ำแล้วออกไปที่สนามฝึกก่อนจะไปที่ป่านด้านหลังสักพักแล้วค่อยกลับมาห้องเรียนใหม่พร้อมกับฮัมเพลงกลับมาด้วย

เป็นธรรมดาในตอนที่พวกหื่นเห็นว่าโต๊ะตัวเองสะอาด พวกนั้นก็เริ่มคุยกันเรื่องนี้อีกครั้ง  มันถือว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเหนือธรรมชาติเลยก็ว่าได้ เมื่อได้ยินพวกนั้นคุยกัน  จางเทีย ก็คิดว่าต้องเริ่มระวังในการรับค่าความดีพวกนี้ในอนาคต  วิธีนี้คงใช้ไม่ได้ผลอีก เขาต้องหาวิธีอื่นเพื่อให้ได้ค่าความดีจากคนอื่นๆมา  จางเทีย เริ่มคิดเกี่ยวกับวิธีที่จะได้ค่าความดีมาอีกครั้ง

ทำดีและกำจัดปิศาจ --- ความเมตตาสูงสุดในโลกมนุษย์

บูชาพระเจ้าและรักผู้คน ---- บันไดที่ใกล้สวรรค์ที่สุด

คนที่โชคดี โปรดแสดงความเมตตาของผู้สร้างโลกแล้วพระเจ้าจะเข้าใจคุณ

โปรดรับของขวัญที่จริงใจที่สุดจากสิ่งมีชีวิตที่คงอยู่นับร้อยล้านปี

ในตอนที่ข้อความพวกนี้เริ่มแว็บขึ้นมาในหัวของเขา แบร์ลี่ ก็เดินมาสะกิดเขาให้ตื่น

เมื่อเห็น แบร์ลี่   จางเทีย ก็รู้สึกถึงสิ่งที่เขาทำกับคนอื่นในองค์กรเมื่อวานนี้ซึ่งโคตรจะโง่เลย  เพราะ ดอนเดอร์ ได้บอกเขาไว้  ถ้าเขาหนักแน่นกว่านี้รึอยากเป็นใหญ่กว่านี้ สิ่งที่เขาทำจะแตกต่างจากเมื่อวานอย่างสิ้นเชิง

ก่อนที่  จางเทีย จะได้ทักทายไอ้อ้วน  ไอ้อ้วนก็ยิ้มออกมาและเดินมาตรงหน้าเขา  ไอ้อ้วนก้มตัวลงพร้อมกับพึมพำออกมาเบาๆ -  “ องค์กรเรามีบางอย่างจะคุยกับนายหลังจากหมดคาบ ! “

หลังจากที่ แบร์ลี่ แล้วคนอื่นๆในองค์กรก็เดินมา   น่าแปลกใจที่พวกนี้มองเขาอย่างเป็นมิตร  พวกนั้นยิ้มจนเห็นฟันให้กับ จางเทีย  ทำให้เขารู้สึกอายขึ้นมา  จางเทีย ก้มหน้าโดยสัญชาตญาณเพื่อดูว่าเขารูดซิบมารึเปล่า....

“ มิสไดน่า มาแล้ว  ! “- ไอ้พวกอื่นตะโกนกันออกมา  จากนั้นทุกคนในห้องรวมถึง จางเทีย ก็รีบไปที่หน้าต่างแล้วส่องไปดูเทพธิดาที่เดินผ่านไป   เมื่อเห็นรูปร่างของเธอแล้วพวกหื่นคิดว่านี่คือสิ่งที่สวยงามที่สุดในโลก

หน้าต่างทุกบานในห้องมีคนจับจองเพื่อดู มิสไดน่า กันหมด  ห้องเรียนนั้นเต็มไปด้วยเสียงกลืนน้ำลายและในตอนนั้นครูสอนวิชาประวัติศาสตร์ก็เดินเข้ามาในห้อง

คาบเรียนแบบนี้ส่วนมากนั้นครูมักจะพูดเกี่ยวกับหัวข้อเรื่องความรู้ทั่วไปและประวัติศาสตร์ก่อนเกิดภัยพิบัติไปจนถึงตำนานอันลึกลับของยุคนี้  ทุกอย่างนี้คือสิ่งที่พูดในคาบประวัติศาสตร์   แม้ว่าความรู้บางอย่างจะดูไร้ความหมายแต่พวกมันก็เปิดความคิดของ จางเทีย  ข้อมูลทุกยอ่างที่ จางเทีย รู้เกี่ยวกับคนก่อนเกิดภัยพิบัตินั้นคือสิ่งที่เขาได้มาจากวิชานี้  ไอ้หื่นบางคนในห้องไม่ได้สนใจเรื่องประวัติศาสตร์เลยแม้แต่นิด ดังนั้นพวกนั้นจึงนอนกันในตอนที่เรียนกันอยู่ กลับกันกับ จางเทีย ที่มักจะฟังอย่างตั้งใจ  คาบเรียนในวันนี้ครูได้สอนรเกี่ยวกับการสำรวจจักรวาลของมนุษย์  ในเวลาเดียวกันมนุษย์ได้ได้ปล่อยเครื่องจักรที่เร็วกว่าเสีงออกไป  พวกเขาเริ่มสำรวจดวงจันทร์ที่โคจรรอบทวีปตนเอง  มีคำพูดบอกว่าพวกเขาได้ค้นพบสองอย่างในตอนที่ทำการสำรวจ แต่คนธรรมดานั้นไม่มีสิทธิที่จะรู้ข้อมูลนั้นได้เพราะคนที่มีอำนาจนั้นได้ปกปิดข้อมูลไม่ให้รั่วไหลออกมา  ดังนั้นแม้แต่ตอนนี้จึงไม่มีใครรู้ว่าพวกนั้นพบอะไร  การทำให้เครื่องจักรเหล็กนั้นบินไปที่ดวงจันทร์ได้นั้นคือสิ่งที่น่าทึ่ง  จางเทีย นั้นอยากเห็นมันและคอยแต่จินตนาการถึงมันมาโดยตลอด

หลังจากออดดังแล้ว  แบร์ลี่ ได้มองมาที่ จางเทีย  พวกนั้นเดินออกจากห้องไปพร้อมกับคนที่เหลือในองค์กรและเดินไปที่สวนเล็กๆใต้ตึก

“ ไอ้หัวโต เราเรียกนายมาที่นี่เพื่อบอกนายบางอย่าง ! “ - แบร์ลี่ พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง – “ พวกนี้อยากอัดฉันรึเปล่า ? ไม่สิ ท่าทีไม่เห็นเหมือนแบบนั้น “ - จางเทีย รู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมา – “ มีอะไรงั้นเหรอ ? “

“ พวกเราองค์กรไม่เห็นด้วยที่นายจะลาออก ! “

“ พวกนายไม่รู้รึไงว่าฉันทำเรื่องใหญ่เข้าแล้ว ? “ – เขามองไปที่ไอ้อ้วนเจ้าสังเกต  จางเทีย ตัดสินใจอธิบายทุกอย่างให้พวกนั้นฟัง

“ นายหมายถึงที่นายไปทำกับพวก เกรซ ใช่มั้ย ? “ - แบกแดด กอดอกแล้วพูดขึ้นมาอย่างใจเย็น – “ พวกนั้นผิดกฎก่อน  ดังนั้นถ้าพวกนั้นกล้าที่จะสร้างปัญหาให้พวกเรา งั้นพวกเราก็ต้องเอาพวกนั้นจนตาย  ! “

“ ถูกต้อง ! “ – ดั๊ก เดินมาตบไหล่ จางเทีย – “ เชื่อใจเราได้ เพื่อน  นายมีเรา ไม่ต้องกังวล  เราจะช่วยนายผ่านปัญหานี้ไปเอง  เราน่ะภูมิใจมากที่มีนายเป็นพี่น้อง ! “

“  นายมีไอ้จ้อนมากกว่าเราเหรอ ? “ - ฮิสต้า โยกสะโพกไปมาก่อนจะมาตบไหล่ จางเทีย

“ แย่ที่สุดคือเราคงจะจัดฉากพวกนั้นได้ !  “ – ฮิสต้า พูดด้วยน้ำเสียงดุดัน  ตอนนั้นเองก็ได้มีอีกมือมาแปะที่ไหล่ของ จางเทีย

“ มันก็ไม่ใช่เรื่องซีเรียจอะไรที่จะโดนอัดไปพร้อมกับนาย ! “ - ชอร์วิน หัวเราะคิกคักแล้วเอามือมาวางบนไห่ล่ จางเทีย

 “ นี่คือการตัดสินใจของเราเรื่องนายจะออก ! “ – แบร์ลี่ ยิ้มกวนๆออกมาพร้อมกับเอามือมาวางบนไหล่เขาอีกคน – “ อย่าลืมว่าฉันรับนายเข้ามาเพราะนายคือคนจริง ! นายจะออกในตอนที่วิกฤตได้ยังไง ? “ - ทุกคนต่างก็เอามือวางบนไหล่ของ จางเทีย โดยไม่รู้ตัว  พวกนั้นทำแบบนี้เพื่อกระตุ้น จางเทีย แต่ในที่สุดพวกเขาก็ยังคงเห็นว่า แบกแดด นั้นยังคงยืนนิ่งอยู่  ทุกคนหันกลับไปมอง  แบกแดด รู้สึกว่าตัวเองแปลกเพื่อเลยเอื้อมมือออกไปวางบนไหล่ของ จางเทีย ด้วย   จางเทีย ที่ยืนอยู่ตรงกลางโดยไหล่เขามีมือของ 6 คนจับอยู่   ฉากนี้มันน่าประทับใจจริงๆ   ตอนนั้นเองทุกคนรู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่เท่และหัวใจของพวกเขาก็เริ่มเต้นรัว

“ พวกบ้าเอ้ย !  “ - จางเทีย เกือบจะร้องไห้ออกมา ในตอนนั้นเขารู้สึกว่าตัวเองแข็งแกร่งขึ้นอย่างมาก  แหล่งพลังนั้นไม่ได้มาจากจุดชีพจรแต่มาจากหัวใจที่เต้นรัวของเขา เขารู้สึกว่าตัวเองไม่กลัวอะไรเลยบนโลกอีกต่อไป

ทุกคนกลับมาที่ห้องอีกครั้ง กลุ่มเด็กเจ็ดคนนั่งชิดติดกันแต่รู้สึกแตกต่างจากแต่ก่อน  พวกเขาไม่รู้ว่าทำไม  สมาชิกทุกคนในองค์กรนั้นเหมือนจะแข็งแกร่งขึ้นและกล้าหาญขึ้น  พวกเขารู้สึกว่าพึ่งพากันได้  นี่มันน่าอัศจรรย์จริงๆ.....

ไอ้อ้วนเองก็ยิ้มเพราะเขารู้สึกว่าเพื่อนๆของเขานั้นแตกต่างจากแต่ก่อน มันเยี่ยมจริงๆ ! ก่อนหน้านี้พวกเขาเจ็ดคนไม่ต่างอะไรจากเด็กธรรมดาแต่ตอนนี้ แบร์ลี่ รู้สึกได้ว่าทั้งเจ็ดคนนั้นพึ่งพากันได้และแข็งแกร่งมากขึ้นจนทำให้เขารู้สึกโล่งใจ  เขาเอามืลูปหนวดตัวเอง แบร์ลี่ จำตอนที่สมาชิกทุกคนวางมือบนไหล่ของ จางเทีย ได้  มันเหมือนกับพิธีศักดิ์สิทธิ์ขององคกร  ถ้าใครอยากเข้าร่วมองค์กร ดูเหมือนว่าเขาจะทดสอบพวกนั้นด้วยพิธีนี้...

Copyright © 2019 spoilsoc.com All rights reserved.