หน้าแรก > Epoch of Twilight
ตอนที่ 200  ไฟฟ้าสถิตย์

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

*ตั้งค่าถาวร (คลิกตั้งค่าถาวร)

ตอนที่ 200  ไฟฟ้าสถิตย์

ผู้บัญชาการเซี่ยพาลู่หยวนกับทีมของเขาตรงไปที่เครื่องบินขนส่งลำสุดท้ายพร้อมกับมู่เหวินเหวิน

เครื่องบินขนส่งกว้างมากโดยเฉพาะข้างใน  นอกจากตู้คอนเทนเนอร์ที่มีเจ้ากิ้งก่าอยู่ข้างใน  ก็มีตู้เย็นและสินค้าอย่างอื่นอีกสองสามอย่างเท่านั้น  จึงไม่จำเป็นต้องพูดเลยว่าเครื่องบินทั้งลำดูว่างมาก

เครื่องบินไม่น่าสบายแม้แต่น้อย  มันไม่ได้ทำมาเพื่อไว้ขนส่งสาธารณะ  ไม่มีแม้กระทั่งเก้าอี้สักตัว  ไม่ต้องพูดถึงพรมกำมะหยี่นุ่มๆหรือของตกแต่งภายในหรูหรา  ผู้โดยสารไม่มีที่ให้นั่งนอกจากบนพื้น  โชคดีที่ผนังด้านในมีราวเหล็กให้พวกเขาจับได้

หลังจากผู้บัญชาการเซี่ยกับทหารอีกสองสามนายพาพวกเขาเข้ามาในเครื่องบิน  พวกเขาก็ไม่ได้ขยับไปไหนและตัดสินใจอยู่กับที่  เนื่องจากลู่หยวนกับคนอื่นๆไม่ใช่ผู้รอดชีวิตธรรมดาทั่วไป  แต่เป็นผู้มีพลังทำลายล้างมหาศาลซึ่งต้องคอยสอดส่องดูแลอย่างระมัดระวัง  อย่างไรก็ตาม  ความตั้งใจเช่นนั้นจะแสดงออกมาตรงๆทื่อๆไม่ได้  พวกทหารส่วนใหญ่จึงเป็นคนรู้จักกัน

สายตาของพวกเขากวาดมองไปรอบเครื่องบินด้วยความรู้สึกแปลกใหม่ซึ่งไม่นานก็หายไป  ภายในหุ้มด้วยโลหะ  มีกลิ่นสนิมฉุนกึก  ฝีมือช่างภายในก็ไม่ได้ดีไปกว่า  หยาบและไม่ได้มาตรฐาน  บางส่วนก็เชื่อมแบบลวกๆ  นอกจากนั้น  พื้นเหล็กก็ไม่เรียบ  มีเศษเหล็กแหลมๆแทงออกมาด้วย

เครื่องบินขนส่งให้ความประทับใจกับพวกเขาว่ามันถูกสร้างมาอย่างเร่งรีบจริงๆ

แต่ก็เป็นสิ่งที่คาดได้  เมื่อช่างฝีมือในช่วงสงครามไม่มีเวลามากมายให้ทำงานอย่างละเอียดประณีต  ไม่เหมือนสภาพการทำงานที่สงบกว่า  ปริมาณชนะคุณภาพ

เวลาผ่านไปช้าๆและไม่นานนักก็ผ่านไปเกิน 10 นาที

เสียงเครื่องยนต์ดังมาแต่ไกล  เครื่องบินขนส่งวิ่งผ่านรันเวย์ยาวและบินขึ้นไปในอากาศทีละเครื่องๆ  ไม่นานก็ถึงตาพวกเขา

ตัวของพวกเขาเอียงเล็กน้อยขณะที่เครื่องบินออกตัว  หวงเจียฮุยที่อยู่ข้างๆลู่หยวนพลันเกาะแขนเขาแน่นอย่างตื่นกลัว  คนที่เหลือก็ไม่ได้ดีไปกว่า  พวกเขาจับราวเอาไว้แน่นที่สุดเท่าที่จะทำได้  ร่างกายของพวกเขาแข็งเกร็งอย่างตื่นกลัว

ความจริงแล้วลู่หยวนก็กังวลเช่นกัน  แต่เขาไม่ได้แสดงออกมา

ในฐานะที่เป็นผู้วิวัฒนาการที่เชื่อมโยงกับผืนแผ่นดินโดยธรรมชาติแล้วนั้น  เขารู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยขณะที่ลอยขึ้นจากพื้น  ยิ่งกว่านั้น  โลกยังถูกยึดครองโดยพวกสัตว์กลายพันธุ์  ใครจะรับรองได้ว่าท้องฟ้าจะปลอดภัย ?  มันเป็นการเดินทางที่มีความเสี่ยงสำหรับเขาอย่างแท้จริง

พอผู้บัญชาการเซี่ยเห็นว่าทุกคนกำลังไม่สบายใจ  เขาก็รับรองว่า  “หลายคนก็มีท่าทางแบบนี้ตอนขึ้นบินครั้งแรก  ทำใจให้สบายเถอะ  เราบินแบบนี้มาหลายครั้งแล้ว  โดยปกติ  พวกนกกลายพันธุ์จะไม่หากินตอนกลางคืน  ต่อให้มีพวกที่หากินกลางคืน  ส่วนใหญ่ก็ไม่สามารถบินขึ้นได้สูงถึง 10,000 เมตร  ดังนั้น  การบินตอนกลางคืนจึงเป็นช่วงเวลาที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับพวกเราทุกคน”

พวกเขาถอนใจอย่างโล่งอกเมื่อได้ยินผู้บัญชาการรับประกันเช่นนั้น

ในตอนนั้นเอง  เครื่องบินขนส่งหนักก็เริ่มบินขึ้นจากรันเวย์และไต่ระดับความสูงขึ้นไปเรื่อยๆ

“ผู้บัญชาการ  จากที่คุณเคยขึ้นบินมาหลายครั้ง  คุณเคยพบกับอันตรายอะไรมาก่อนบ้างไหม?”  โฮวตงถามอย่างกล้าหาญ  สบายใจที่สัมผัสได้ถึงท่าทางที่ค่อนข้างเป็นมิตรของผู้บัญชาการเซี่ย

ผู้บัญชาการลังเลก่อนจะพูดช้าๆว่า  “ผมจะไม่พูดว่ามันปลอดภัย 100% หรอกนะ  ถึงยังไงสถานการณ์ปัจจุบันก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว  ต่อให้ไม่มีสัตว์กลายพันธุ์ที่บินได้อยู่เลย  มันก็ยังอันตรายที่จะบินอยู่บนฟ้าอยู่ดี  เรามีเครื่องบินขนส่งที่บินไปกลับอยู่หลายครั้ง  และจาก 5 ครั้ง  มีเครื่องบินตก 2 ลำ”

พอได้ยินที่ผู้บัญชาการเซี่ยพูด  สภาพจิตใจที่สงบนิ่งของพวกเขาก็ปั่นป่วนอีกครั้ง

“คุณภาพของเครื่องบินทำให้เกิดอุบัติเหตุหรือครับ?”  โฮวตงถาม  รู้สึกตึงเครียด

“ก็เป็นไปได้  แต่เหตุผลหลักก็คือการปลดปล่อยกระแสไฟฟ้าที่ระดับความสูงซึ่งกระทบกับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าของเราอย่างหนัก  เดี๋ยวพวกคุณก็จะได้เจอ”  ผู้บัญชาการเซี่ยพูดด้วยสีหน้าจริงจังเล็กน้อย  “หนังสือพิมพ์หลายฉบับคาดเดาว่ามันเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดการกลายพันธุ์และภาวะโลกร้อน  มีปรากฏการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้นบ่อยครั้งขึ้นและรุนแรงมากขึ้น  ปีที่แล้วการปลดปล่อยกระแสไฟฟ้าแทบจะตรวจจับไม่ได้  และไม่ได้มีผลกระทบกับอุปกรณ์ต่างๆในเครื่องบิน  แต่ตอนนี้มันเห็นได้ชัดมากขึ้น  และถ้าไม่ใช่เพราะอุปกรณ์ป้องกันการรบกวนทางแม่เหล็กไฟฟ้าในเครื่องบินแล้วล่ะก็  มันจะหยุดการทำงานของอุปกรณ์ทั้งหมด”

“เรื่องนี้ยังไม่ได้เผยแพร่ต่อสาธารณะ  เพื่อป้องกันการตื่นตระหนก  ช่วยเก็บเป็นความลับระหว่างเราด้วยนะครับ”

“พูดกันว่าการระเบิดขั้นรุนแรงของซูเปอร์โนวาที่ห่างออกไปหลายร้อยปีแสงได้ก่อให้เกิดความปั่นป่วนครั้งใหญ่ในกาแล็คซี่  นอกจากนี้ยังกระตุ้นกัมมันตภาพสุริยะ (คือปรากฏการณ์รุนแรงต่าง ๆ บนดวงอาทิตย์ เช่น การลุกจ้า จุดมืด เปลวสุริยะ แต้มสว่าง)  ให้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง  เป็นไปได้ว่าหลังจากความปั่นป่วนนี้แล้ว  การกลายพันธุ์จะยุติลง  แต่เราก็ไม่รู้ว่ามันจะเป็นแบบนี้ไปอีกนานเท่าไร  อาจจะแค่ไม่กี่ปีไปจนถึงหลายร้อยปี”  ใบหน้าของเขาหมองลงเมื่อพูดจบประโยค

นอกจากเฉินเจียอี้กับเด็กคนอื่นๆที่ไม่กระวนกระวายแล้ว  ใบหน้าของพวกผู้ใหญ่ก็พากันบิดเบี้ยว

ลู่หยวนเคยได้ยินทฤษฎีพวกนี้ก่อนวันโลกาวินาศแล้ว  แต่เขาไม่ได้ใส่ใจหรือรู้สึกอยากตั้งคำถามอะไรเกี่ยวกับมัน  เพราะเขารู้ว่าเขาไม่สามารถทำอะไรได้  เขารู้ดีว่าพายุในกาแล็คซี่ไม่ใช่สาเหตุเดียวที่ทำให้เกิดการกลายพันธุ์  แต่ยังมีพลังที่ส่งผลเสียต่อชั้นบรรยากาศอีกด้วย

เขารู้สึกขัดแย้งในตัวเอง  โลกดูเปราะบางเหมือนไข่ที่ปราศจากเปลือกไข่

ลู่หยวนโล่งใจที่รู้ว่าพายุในกาแล็คซี่อ่อนแอเกินกว่าจะทำลายล้างสิ่งมีชีวิตบนโลกได้ในทันที  อย่างไรก็ตาม  พายุก็ค่อยๆรุนแรงขึ้น  ไม่มีใครรู้ว่าเมื่อไรที่มันจะไปถึงจุดที่สิ่งมีชีวิตทุกชีวิตบนโลกไม่อาจจะทนได้  อย่างไรก็ตาม  มนุษย์ก็เหมือนกับกบในน้ำอุ่น  เพียงแต่กบยังสามารถกระโดดออกมาได้เมื่อรู้สึกว่าอุณหภูมิของน้ำสูงขึ้น  แต่ทว่า  มนุษย์ทำได้เพียงดิ้นรนอย่างไร้ประโยชน์  มองดูอันตรายที่คืบคลานเข้ามาใกล้โดยไม่อาจทำอะไรได้

ทันใดนั้น  ลู่หยวนก็รู้สึกว่าผิวหนังของเขาตึงขึ้นเล็กน้อยและขนของเขาก็เริ่มตั้ง

มีไฟดูด  ทุกคนรู้สึกได้ถึงไฟฟ้าสถิตย์  ใบหน้าของพวกเขาซีดเล็กน้อยอย่างหวาดกลัว

“ผู้บัญชาการ  ดูเวลาซิครับ!  ทำไมคราวนี้มันมาเร็วยังงี้?”  ทหารคนหนึ่งมองนาฬิกาของเขาอย่างสงสัย

“แค่ 20 นาทีเอง!”  ผู้บัญชาการเซี่ยตรวจสอบเวลาอย่างตกใจ  “ฉันจะไปเช็คที่ห้องนักบิน!”

หัวใจของลู่หยวนเต้นผิดจังหวะเมื่อเห็นผู้บัญชาการรีบตรงไปยังบันได  เขาหายไป 1 นาทีแล้วกลับมาพร้อมสีหน้าเคร่งขรึม  นี่ยิ่งทำให้ทุกคนเครียดมากขึ้น

“สถานการณ์ตอนนี้เป็นยังไงครับ?”  ลู่หยวนถาม

“เรากำลังบินอยู่ที่ระดับความสูง 7,000 เมตร  ก่อนหน้านี้  ไฟฟ้าสถิตย์จะเกิดขึ้นที่ระดับความสูง 10,000 เมตรเท่านั้น  ดูเหมือนว่าระยะของมันจะกว้างขึ้นในช่วงไม่กี่วันมานี้  เครื่องบินกำลังจะลดระดับลงให้ต่ำกว่านี้  เราน่าจะไม่เป็นไร  ใจเย็นไว้!”  ผู้บัญชาการพูดพลางฝืนยิ้ม

“เรามีร่มชูชีพในนี้รึเปล่า?”  หลินเสี่ยวจีถามพรวดขึ้นมา

ผู้บัญชาการส่ายหัวและนิ่งเงียบ  เขาไม่ได้ใจเย็นอย่างที่เขาแสดงออกเลย

หลังจากที่หลินเสี่ยวจีได้คำตอบ  เขาก็นอนลงกับพื้นอย่างหมดอาลัยตายอยาก

ความรุนแรงของไฟฟ้าสถิตย์นั้นไม่สม่ำเสมอ  ทำให้ไฟในห้องโดยสารกะพริบติดๆดับๆ  บางครั้งก็ทำให้เกิดประกายไฟแปลบปลาบในอากาศซึ่งหายไปอย่างรวดเร็วและทำให้เกิดเสียงปะทุ  กลิ่นโอโซนอ่อนๆลอยอยู่ในอากาศ

สถานการณ์ในห้องโดยสารของเครื่องบินขนส่งค่อนข้างตึงเครียด  ทุกคนกังวลจนแทบบ้า  และการหายใจของพวกเขาก็หนักหน่วงขึ้นด้วย

ขนของพวกเขาทุกคนตั้งตรงจากผลของไฟฟ้าสถิตย์  แต่ไม่มีใครมีอารมณ์ขำ  “ไม่ต้องห่วง  เราไม่เป็นไรหรอก”  ลู่หยวนพูด  พยายามปลอบใจพวกเขาเนื่องจากสัมผัสความไม่สบายใจของพวกเขาได้

ไม่เพียงแต่ปลอบใจคนอื่นๆเท่านั้น  เขายังปลอบใจตัวเองด้วย  เขาเกลียดที่ไม่สามารถควบคุมโชคชะตาของตัวเองได้  และต้องปล่อยให้ชีวิตของเขาขึ้นอยู่กับโชค  ถ้าเขาอยู่บนพื้นดิน  อย่างน้อยเขาก็ยังสามารถดิ้นรนกระเสือกกระสนได้บ้าง  แทนที่จะคอยพึ่งเทพีแห่งโชคโดยไม่สามารถทำอะไรได้

นาฬิกาเดินไปเรื่อยๆ  หัวใจของทุกคนก็สั่นระริกไปตามแสงสว่าง

จากนั้นแสงก็กะพริบอีกไม่กี่ครั้ง  เกิดประกายไฟอีกสองสามครั้ง  และดับไปราวกับเป็นลางถึงบางอย่าง  ต่อมาเสียงระเบิดก็ดังติดต่อกัน  และไฟทั้งหมดก็ดับลงทันที  กลิ่นเหม็นไหม้ฟุ้งกระจายออกมา  ห้องโดยสารตกอยู่ในความมืดมิด  มีเพียงแสงสลัวๆวูบวาบอยู่ในอากาศเท่านั้น

พวกผู้หญิงหวาดกลัวมาก  พวกเขาพากันกรีดร้อง  และใบหน้าซีดขาวราวกับกระดาษ

“คุณช่วยไปเช็คหน่อยได้ไหมว่าในห้องนักบินเรียบร้อยดีไหม?”  ลู่หยวนพูดกับผู้บัญชาการเซี่ย

“ไปเดี๋ยวนี้แหละ!”  ผู้บัญชาการรีบลุกขึ้นยืนพร้อมกับคลำหาไฟฉายของเขา

“เดี๋ยวก่อน  ผมอยากไปด้วย”  ลู่หยวนตะโกน

“โอเค!”  ผู้บัญชาการเซี่ยพยักหน้าโดยไม่ลังเล  การกระทำนี้ผิดกฎระเบียบของพวกเขาอย่างชัดเจน  แต่ตอนนี้เขาไม่สนอะไรแล้ว

พวกเขาก้าวเร็วๆขึ้นบันไดและเปิดประตูห้องนักบิน  แสงไฟที่นั่นก็ไม่ทำงานเช่นกัน  มีเพียงแสงจากอุปกรณ์ต่างๆเท่านั้น  แต่พวกเขาก็ยังทำงานกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ผู้บัญชาการเซี่ยถามทันที  “เกิดอะไรขึ้น?”

“คราวนี้พวกเราโชคไม่ดีเลยครับ  เราบินเข้าไปในพายุแม่เหล็กไฟฟ้าที่รุนแรง  โชคดีที่ความเสียหายไม่เข้าขั้นวิกฤติ  ไฟฟ้าสำรองยังทำงานได้ดี  เพียงแต่เกิดการแทรกซ้อนบางอย่างกับวงจรไฟฟ้าภายนอกเท่านั้น”  ผู้ช่วยนักบินพูดพร้อมกับตัวสั่น  “แต่สภาพอากาศไม่ดีเลย  พายุจากจักรวาลมีความรุนแรงมาก  ทำให้เกิดความไม่เสถียรในชั้นบรรยากาศไอโอโนสเฟียร์ซึ่งอาจจะส่งผลต่อเราได้ตลอดเวลา  เรากำลังเตรียมบินต่ำลงไปอีก 500 เมตร”

ลู่หยวนมองไปที่แผงหน้าปัดที่แสดงตัวเลข 5000 ม. บ่งบอกถึงระดับความสูงอย่างชัดเจน

เขามองผ่านกระจกหนาตรงไปที่ท้องฟ้า  ด้วยดวงตาที่แหลมคมเป็นพิเศษของเขา  เขามองเห็นแสงไฟแวบวาบที่เกิดขึ้นส่งเดชอยู่ในท้องฟ้าที่มืดมิด  บ้างปะทะกันจนเกิดเป็นกระแสไฟฟ้ารูปโค้งขนาดใหญ่

ในบางครั้ง  แสงสว่างจะวาบผ่านท้องฟ้า  ทำให้เกิดแสงวาบเป็นระยะๆ  อย่างไรก็ตาม  มันยากที่จะจินตนาการว่าในระดับที่สูงกว่านี้จะมีภาพเป็นเช่นไร

“เราลงต่ำกว่านี้ไม่ได้เหรอครับ?”  ลู่หยวนถาม

นักบินทั้งสองจำเสียงเขาไม่ได้  จึงหันมามองลู่หยวนด้วยความประหลาดใจเป็นอย่างมาก  แต่ก็ไม่ได้แสดงความคิดเห็นเช่นไรออกมา  พวกเขาเน้นเสียงพูดว่า  “ไม่ได้  นั่นจะยิ่งอันตรายมากขึ้น  เสียงของเครื่องบินจะไปกระตุ้นพวกนกกลายพันธุ์ให้เข้ามาโจมตี”

“อีกไกลแค่ไหนกว่าจะถึงรันเวย์ที่ใกล้ที่สุดเพื่อลงจอด?”  ลู่หยวนถามอีกครั้ง

“เกือบ 1,200 กม. หรือประมาณ 3 ชั่วโมง”

..............................

เครื่องปรับอากาศที่ทำงานผิดปกติได้ลดอุณหภูมิในเครื่องบินลงอย่างรวดเร็ว

ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง  อุณหภูมิก็เกือบเป็น 0 องศาเซลเซียส  ทุกคนอ้าปากหายใจ  มีไอสีขาวออกมาจากลมหายใจของพวกเขาอย่างเห็นได้ชัด

เนื่องจากอุณหภูมิอบอุ่นในตอนแรก  พวกเขาจึงไม่ได้มีเสื้อผ้ามามากนัก  แต่ถึงอย่างนั้น  พวกเขาก็ยังสามารถทนความหนาวเย็นได้อยู่  ต้องขอบคุณสภาพร่างกายที่ดีมากของพวกเขา  แต่ไม่อาจพูดเช่นนั้นได้กับเด็กสามคนนั้น

พวกเขาหนาวยะเยือกจนถึงจุดที่ริมฝีปากกลายเป็นสีม่วง  แต่พวกเขาก็ยังคงนิ่งเงียบ

หวงเจียฮุยรู้สึกเจ็บปวดในหัวใจและกอดเฉินเจียอี้เอาไว้  ขณะที่รู้สึกว่าตัวเองก็กำลังสั่น  เธอขอร้องว่า  “ลู่หยวน  เอาอาหารให้พวกเขาหน่อย!”

ลู่หยวนพยักหน้า  แล้วเดินตรงไปที่จุดที่พวกเขาวางข้าวของของพวกเขาไว้  เขาหยิบหัวใจงูขึ้นมาครึ่งชั่ง  จากนั้นก็ใช้ดาบฟันขาม้าตัดมันกลางอากาศอย่างรวดเร็ว  ชิ้นเนื้อที่บางเท่าปีกจักจั่นตกลงบนหนังงู  จากนั้นเขาก็ม้วนหนังงูและเดินกลับมาอยู่ข้างๆพวกเขา

“ทุกคนกินซะจะได้อุ่นๆ”  ลู่หยวนพูดพร้อมกับวางหนังงูลง

พวกเขาเคยชินกับการกินของดิบแล้ว  ดังนั้นจึงหยิบขึ้นมาใส่ปากกันคนละชิ้น  มู่เหวินเหวินที่นิ่งเงียบอยู่ตลอดเวลาก็หยิบขึ้นมาหนึ่งชิ้นเช่นกัน

“นี่เป็นของงูยักษ์ตัวนั้นใช่ไหม?  ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าพวกคุณเอาเนื้อสดทั้งชิ้นลงท้องไปได้ยังไง”  ผู้บัญชาการเซี่ยพูดพร้อมกับใช้ฟันกัดกล้ามเนื้อที่แข็งแรงของมันอย่างแรง  แต่ก็ไม่สามารถกัดมันให้ขาดได้

“แล้วจะให้เรากินแบบไหนล่ะ?”  โฮวตงถาม  เขากลืนเนื้อทั้งชิ้นลงไปโดยไม่ได้เคี้ยวมากนัก

“ก็เอาไปบดให้เป็นชิ้นเล็กๆกว่านี้ไง!  แบบนี้จะไปกัดมันออกได้ยังไง  ไม่มีทางเลย”  ผู้บัญชาการเซี่ยยังไม่สามารถเคี้ยวมันให้แหลกได้  เมื่อรู้ว่าความพยายามของเขาไร้ผล  เขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากทำตามคนอื่นๆ  กลืนมันลงไปทั้งชิ้น

“ความหรูหราขนาดนั้นเป็นไปไม่ได้ในสถานการณ์แบบนี้หรอก  แค่มีอาหารให้กินก็ดีเท่าไรแล้ว”  ลู่หยวนเองก็หยิบขึ้นมาใส่ปากหนึ่งชิ้น  และพูดพร้อมกับยิ้ม

“ใช่  คุณพูดถูก”  ผู้บัญชาการเซี่ยกินไปสองสามชิ้นก่อนจะหยุดกลางคัน  เพราะมันทำให้หน้าของเขาเป็นสีแดง

แม้ว่าจะมีหัวใจแค่ครึ่งชั่งสำหรับคนหลายคน  มันก็ยังเหลืออยู่อีก 7-8 ชิ้น  ลู่หยวนจัดการส่วนที่เหลือและจบลงด้วยการกินมากกว่าคนอื่นๆ  อย่างไรก็ตาม  ใบหน้าของทุกคนก็กลายเป็นสีแดง  ยกเว้นลู่หยวนที่ไม่มีผลกระทบอะไรเลย

หัวใจของเขาเต็มไปด้วยพลังงานทางชีวภาพ  การกินเข้าไปเพิ่มไม่ได้ก่อให้เกิดปฏิกิริยาอะไรอีกต่อไปแล้ว  ที่จริงแล้ว  ความหิวของเขาเพิ่มขึ้น  พลังงานของเขาถูกดูดซึมโดยไม่ได้ตั้งใจ

จ้าวหยาลี่ดูไม่ค่อยสบาย  และโอนเอนไปมาราวกับกำลังมึนเมา  ทันใดนั้นเธอก็ล้มตะแคงลงไปช้าๆ  หวังเซียกวงที่อยู่ข้างๆเธอสังเกตเห็นอาการผิดปกติและพยายามช่วย  เธอแตะหน้าผากจ้าวหยาลี่เบาๆก่อนจะถอนมือออกในทันที  และพูดอย่างประหลาดใจว่า  “เธอกำลังวิวัฒนาการ”

Copyright © 2019 spoilsoc.com All rights reserved.