หน้าแรก > Epoch of Twilight
ตอนที่ 185  ถึงแล้ว

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

*ตั้งค่าถาวร (คลิกตั้งค่าถาวร)

ตอนที่ 185  ถึงแล้ว

 

พวกเขาไม่ได้พบเจอกับอันตรายใดๆไปตลอดทาง  ลู่หยวนจึงรู้สึกโล่งใจเล็กน้อย

เขารื้อค้นกระเป๋าของตัวเองแล้วเอาสิ่งของที่เขาเอามาจากยักษ์ตัวนั้นออกมา  นั่นก็คือ  เขาสีเขียวเข้มอันเล็กๆ  และลูกตาขนาดเท่าไข่หนึ่งคู่

เขาเล็กๆนั้นมีพื้นผิวเรียบลื่นซึ่งดูเหมือนคริสตัลใสและรู้สึกเหมือนมีหยกอุ่นๆอยู่ในมือ  มันดูพิเศษมากๆ

ลู่หยวนใช้พลังตรวจสอบมัน

“เขาแหลมของตัวลึกลับสีเขียว”

“ความหายาก : สีเขียวอ่อน”

“น้ำหนัก : 500 กรัม”

“คุณสมบัติเพิ่มเติม : 1 ดูดซับคลื่นพลังงานต่างๆได้  2 สร้างภาพลวงตา”

“หมายเหตุ : ตัวลึกลับสีเขียวเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาต่ำ  มันเป็นนักฆ่าในความมืด  และเป็นสิ่งมีชีวิตลึกลับที่ผู้คนน้อยนักจะรู้จักมัน  มันสามารถซ่อนตัวและหายตัวไปได้ในทุกสถานการณ์  ไม่ว่าจะคลื่นความถี่เหนือเสียงหรือตาเปล่าก็ไม่สามารถตรวจจับมันได้  ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณเขาเล็กๆของมันอันนี้”

“งั้นนี่ก็คือสาเหตุซินะ”  ลู่หยวนคิดในใจ  เหตุผลที่พลังการรับรู้ของเขาไม่สามารถตรวจจับยักษ์ตัวนั้นได้ก็เพราะเขาเล็กๆอันนี้

ขณะที่ลู่หยวนถือเขาเอาไว้ในมือ  เขาสามารถมองเห็นมันได้ด้วยตาของเขา  แต่ไม่สามารถรับรู้ถึงมันได้  ที่จริงก็ค่อนข้างแปลกดี  ระยะที่ส่งผลไม่ได้รวมถึงเขาของมันเท่านั้น  แต่อำนาจของมันครอบคลุมทั่วร่างของเขา  สร้างพื้นที่ที่ไร้การตอบสนองในระยะพลังการรับรู้ของเขา

มันเป็นอีกวิธีที่เขาอันนั้นใช้พรางตัว  อย่างไรก็ตาม  เขาก็ไม่รู้ว่ามันสร้างภาพลวงตาได้อย่างไร  เขาจะต้องทดสอบมันต่อไปเพื่อค้นหาวิธี

แต่แค่นี้เขาก็ดีใจแล้ว

เขาไม่ใช่คนเดียวที่มีพลังในการรับรู้  คนที่วิวัฒนาการแล้วทุกคนและสัตว์กลายพันธุ์ทุกตัวต่างก็มีพลังนี้  ถึงแม้พลังการรับรู้ในแต่ละคนหรือแต่ละตัวจะต่างกันไปซึ่งอาจจะแข็งแกร่งหรืออ่อนแอกว่าก็ตาม  ความสามารถในการซ่อนตัวเองจากพลังการรับรู้ของสิ่งมีชีวิตอื่นๆจะช่วยในการลอบสังหารหรือซ่อนตัวจากอันตรายได้เป็นอย่างมาก  ยิ่งกว่านั้น  ไม่ใช่สัตว์กลายพันธุ์ทุกตัวจะใช้ตาของมันสังเกตการณ์  สัตว์บางชนิด เช่น ค้างคาว จะใช้คลื่นความถี่เหนือเสียง  ถ้าเขาเกิดปะทะกับสัตว์พวกนั้นขึ้นมา  เขาก็จะได้เปรียบถ้าใช้ความสามารถนี้ก่อนการต่อสู้

ต่อมา เขาก็ตรวจสอบลูกตาของยักษ์

“ลูกตาของตัวลึกลับสีเขียว”

“ประโยชน์ : วัตถุดิบอาหาร”

“ความหายาก : สีเขียวอ่อน”

“น้ำหนัก : 100 กรัม”

“คุณสมบัติเพิ่มเติม : 1.เพิ่มประสิทธิภาพในการมองเห็นของมนุษย์ได้เล็กน้อย  2.มีโอกาสทำให้ตาเกิดการวิวัฒนาการ”

“หมายเหตุ : นี่คือลูกตาของตัวลึกลับสีเขียว  ตัวลึกลับสีเขียวนั้นสามารถยิงลำแสงมรณะออกจากดวงตาและลบล้างจิตวิญญาณผู้อื่นได้  ลูกตาของมันยังเป็นตัวยาหายากอีกด้วย  เมื่อกินมันเข้าไปจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการมองของคุณได้และยังมีโอกาสที่จะวิวัฒนาการแบบพิเศษอีกด้วย”

ทั้งสองอย่างให้ผลที่น่าทึ่งมาก  คุณค่าของพวกมันสูงเกินกว่าสัตว์กลายพันธุ์สีเขียวอ่อนทั่วไปมาก

อย่างไรก็ตาม  ลู่หยวนก็ยังรู้สึกหดหู่อยู่ดี  คำที่ว่า  “สิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาต่ำ”  นั้นยังรบกวนอยู่ในใจเขาราวกับกระดูกที่ติดอยู่ในลำคอ

นี่ไม่ใช่ข่าวที่ดีเลย  การปรากฏตัวของสายพันธุ์ที่มีความฉลาดถึงแม้จะเป็นเพียงระดับต่ำก็ตาม  ทำให้อันตรายที่มนุษย์ต้องเผชิญอยู่ยิ่งเลวร้ายมากขึ้นไปอีก

ใบหน้าของลู่หยวนเคร่งขรึมจริงจังขณะที่มองลูกตาสองอันนั้น  เขาเอาอันหนึ่งเข้าปากแล้วเคี้ยว  ของเหลวบางอย่างทะลักออกมาจากลูกตา  และลู่หยวนไม่สามารถอธิบายรสชาติของมันได้  เขาเคี้ยวอยู่สักพักแล้วกลืนมันลงไปก่อนจะกินลูกที่สอง

เมื่อเฉินเจี๋ย ซึ่งเฝ้ามองลู่หยวนอยู่เห็นเขาใส่ลูกตายักษ์สองอันเข้าปากเคี้ยวหน้าตาเฉย  เธอก็ตกใจท้องไส้ปั่นป่วน  จากนั้นเด็กหญิงก็หันหนีไม่กล้ามองอีกเลย

ลู่หยวนไม่สนใจความคิดของเด็กน้อย  หลังจากเขากินลูกตาสองลูกเข้าไปแล้ว  เขาก็รอเงียบๆอยู่ 5 นาทีก่อนที่บางอย่างแปลกๆจะเกิดขึ้นที่ตาของเขา

มันเริ่มด้วยคลื่นพลังอุ่นๆที่เข้ามาในตา  จากนั้นตาของเขาก็ปวดและคันราวกับมีมดมากัดแทะ  สายตาของลู่หยวนพร่ามัวราวกับภาพตรงหน้าเหลื่อมซ้อนกัน

15 นาทีต่อมา  คลื่นพลังอุ่นๆในดวงตาของเขาก็ขึ้นถึงจุดสูงสุด  เขาเริ่มปวดตุบๆ  รู้สึกเหมือนมีเปลวไฟเผาไหม้อยู่ในดวงตา  ซึ่งถ้าเป็นคนธรรมดาทั่วไปก็คงเต็มไปด้วยความกลัว  พวกเขาจะกังวลว่าดวงตาจะเสียหายถาวร

แต่ลู่หยวนนั้นไม่เป็นอะไรเลย  เขาแค่หลับตาลงแล้วปล่อยพวกมันเอาไว้อย่างนั้น

ครึ่งชั่วโมงต่อมา  ความเจ็บปวดและอาการคันก็หายไป

ลู่หยวนลืมตาขึ้นมาอีกครั้งอย่างช้าๆ

รอบด้านของเขาสว่างจ้าราวกับแสงมันเรืองรองขึ้นมาด้วยตัวเอง  จากนั้นแสงสว่างจ้านั้นก็ค่อยๆหายไป  และทุกสิ่งก็กลับเป็นปกติ

ลู่หยวนรู้สึกว่าโลกทั้งใบแตกต่างไปจากเดิม  ฝุ่นผงพลิ้วไหวอยู่ในอากาศ  ขณะที่ปลากลายพันธุ์กำลังแหวกว่ายอยู่ในน้ำที่ขุ่นมัว  ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักเป็นครั้งแรกว่าโลกนั้นช่างสวยงามและเต็มไปด้วยสีสัน  แม้ว่ามันจะเป็นเวลากลางคืนอยู่ก็เถอะ

ลูกตานั้นได้ผลอย่างที่เขาคิดไว้  ลู่หยวนรู้สึกว่าสายตาที่ดีผิดปกติของเขานั้นดียิ่งขึ้นกว่าเดิมซะอีก  ตอนนี้เขาสามารถเห็นสิ่งต่างๆภายใต้แสงจันทร์สลัวๆได้อย่างชัดเจนราวกับเป็นเวลากลางวัน

ยิ่งกว่านั้นเขาก็สังเกตได้ถึงสิ่งอื่นอีกด้วย

แสงที่ตาเปล่าของคนทั่วไปสามารถมองเห็นได้นั้นอยู่ระหว่าง 380-780 นาโนเมตรซึ่งเป็นช่วงเล็กๆของแถบรังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเท่านั้น

ดังนั้น  ในตอนกลางคืน  ถ้าหากไม่มีแสงจากดวงจันทร์หรือดวงดาวแล้วล่ะก็  ตาเปล่าของมนุษย์ก็ใช้การอะไรไม่ได้เลย

ไม่เป็นความจริงที่ว่าไม่มีแสงไฟในตอนกลางคืน  ปัญหาคือความยาวคลื่นของแสงพวกนั้นมักจะต่ำกว่า 380 นาโนเมตร  ตาของมนุษย์จึงไม่สามารถมองเห็นได้  ความจริงแล้ว  ถ้าวัตถุมีอุณหภูมิ  มันก็จะปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมา  ดังนั้นจึงสามารถใช้เลนส์อินฟราเรดในการดูภาพตอนกลางคืนได้

และคนธรรมดาทั่วไปก็ไม่สามารถมองเห็นแสงที่มีพลังงานสูงที่ความยาวคลื่นสูงกว่า 780 นาโนเมตรได้เช่นกัน  แสงชนิดนั้นถูกเรียกว่าแสงอัลตร้าไวโอเลต

สำหรับลู่หยวนในตอนนี้  วัตถุแต่ละชนิดจะมีสีสองชนิดผสมผสานเข้าด้วยกัน  หนึ่งคือแสงจันทร์ที่สะท้อนออกมาจากวัตถุ  ส่วนอีกหนึ่งคือแสงที่มองไม่เห็นที่ออกมาจากตัวมันเอง

อันแรกนั้นมีแสงสีที่เข้มกว่าจ้ากว่า  ขณะที่อันหลังนั้นแสงอ่อนกว่ามาก  ดูราวกับว่ามันสามารถดับไปตอนไหนก็ได้  นี่หมายความว่าลู่หยวนสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆในความมืดมิดอย่างที่สุดได้  และยังสามารถบ่งบอกอุณหภูมิของวัตถุแต่ละอย่างได้จากความแตกต่างของสีอีกด้วย

นี่คือการมองเห็นในตอนกลางคืนอย่างแท้จริง

โชคร้ายที่เขามีลูกตาแค่สองอันเท่านั้น  บางทีตาของเขาอาจจะวิวัฒนาการไปได้มากกว่านี้ถ้าเขาได้กินเข้าไปอีก  ลู่หยวนคิดเงียบๆ

อย่างไรก็ดี  เขาก็รู้ว่ามันเป็นโชคล้วนๆที่เขาจะได้พบกับสัตว์กลายพันธุ์เช่นนี้อีก  ยิ่งกว่านั้น  ยักษ์ตัวนั้นก็ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่เขาสามารถฆ่าได้อย่างง่ายดาย  เขาอาจจะล้มเหลวก็ได้ถ้าเขาไม่ระวังให้ดี

แม้ว่าน้ำทะเลจะปกคลุมพื้นที่เมืองหูเฉิงไปเกินครึ่ง  แต่ระดับน้ำก็ยังตื้นอยู่  ดังนั้นจึงยังไม่มีสัตว์น้ำที่แข็งแกร่งอยู่แถวนี้  พวกสัตว์บกก็อพยพไปแล้ว  เมืองหูเฉิงจึงไม่มีสัตว์ตัวใดครองพื้นที่อยู่เลย

เมื่อเป็นเช่นนั้น  พวกเขาจึงไม่พบเจออันตรายใดๆตลอดเส้นทาง

หลังจากเดินทางกันมา 2 ชั่วโมง  ผืนน้ำก็เริ่มเล็กลงจนกระทั่งมองเห็นพื้นดิน

เวลาในตอนนั้นคือตี 2 แล้ว  รอบบริเวณเงียบมากจนไม่ได้ยินแม้แต่เสียงของแมลงหรือเสียงหอนของพวกสัตว์ที่พวกเขาคุ้นเคยเลย

โจวยี่เชงลุกขึ้นนั่ง  เขาถือแผนที่เอาไว้และเฝ้าสังเกตมัน  พวกเขาเข้าใกล้จุดหมายมากขึ้นแล้ว  เขาเริ่มจะอดทนรอไม่ได้  ลมหายใจของเขาเร็วขึ้นขณะที่พึมพำว่า  “เกือบแล้ว  เกือบถึงแล้ว......เรากำลังกลับบ้าน”

พวกทหารคอยช่วยเขาอย่างระมัดระวัง  โชคดีที่พวกเขาไม่ได้รีบ  และเจ้ากิ้งก่าก็ไม่ได้ไปเร็วนัก  ไม่อย่างนั้นโจวยี่เชงอาจจะตกลงไปได้

ลู่หยวนรู้สึกว่าสภาพจิตใจของเขาดูไม่ค่อยปกติ  เขาเริ่มกังวลขณะที่มองดูร่างกายที่อ่อนแอของโจวยี่เชง  เขาอาจจะลื่นตกลงไปได้ถ้าลมพัดแรงเกินไป

หวังซีซีทำปากยื่นอย่างไม่พอใจ  เธออดไม่ได้ที่จะพูดออกมา  “คุณบอกเราว่าเราเกือบถึงมาครึ่งชั่วโมงแล้วนะ  จะพูดซ้ำซากไปทำไมนักหนา?  เอาจริงๆนะ  เมื่อไรพวกเราจะถึงที่นั่นซักที?”

“เงียบเถอะน่า”  ลู่หยวนพูดพร้อมกับจ้องมองเธอ

หวังซีซียิ้มยิงฟันแล้วหันหลังให้ลู่หยวน  ถ้าเป็นเมื่อก่อนนี้  ตาของเธอคงจะแดงและน้ำตาไหลไปแล้ว  แต่พอความแข็งแกร่งของเธอเพิ่มขึ้น  ความกลัวที่มีต่อลู่หยวนก็ลดลง  การดุว่าเธอเช่นนี้ไม่มีผลอะไรอีกแล้ว  หวังซีซีไม่ได้ทำท่าน่ารักอย่างที่เคยทำอีกต่อไป

“ครั้งนี้เราใกล้แล้วจริงๆ  เดี๋ยวก็ถึงแล้วล่ะ”  โจวยี่เชงปากสั่น  ใบหน้าแดง  นิ้วของเขาเคาะแผนที่ขึ้นๆลงๆอย่างตื่นเต้น  ทันใดนั้น  เขาเคาะแรงเกินไปจนเกิดรอยถลอกบนแผนที่  ก่อนที่เขาจะชี้ลงบนสถานที่หนึ่ง  “มันอยู่ตรงนี้  นี่น่าจะใช่  อีก 8 กม. ....... ไม่ซิ  อีก 5 กม.”

เมื่อคนอื่นๆได้ยินที่เขาพูด  พวกเขาก็พากันตื่นเต้นและกังวลไปพร้อมกัน

“ผบ.พันโจว คุณคิดว่ายังไง?  พวกเขาจะยอมให้เราเข้าไปไหม?”  โฮวตงพูดอย่างระมัดระวัง  ประชาชนพลเรือนส่วนใหญ่จะเกรงกลัวฐานทัพทหาร  ยิ่งเป็นฐานทัพลับที่สร้างขึ้นหลังจากการแทรกซึมของฝ่ายศัตรูในชุมชนด้วยแล้ว

“พวกเขาน่าจะให้เราเข้าไปนะ  ยังไงซะเราก็เป็นผู้รอดชีวิตนี่”  หวังเซียกวงพูดอย่างไม่แน่ใจ

“พวกทหารต้องทำตามคำสั่งน่ะซิ  ยิ่งกว่านั้น  พวกเขาน่าจะกำลังขนย้ายพวกยุทโธปกรณ์  ไม่ได้มาช่วยชีวิตคน  ถ้าพวกเขาไม่ให้เราเข้าไป  เราจะทำยังไงกัน?”  หวงเจียฮุยพูดด้วยความกังวล

“ยังเร็วเกินไปที่จะคุยกันเรื่องนี้  เอาไว้ถึงตอนนั้นค่อยมาหาทางแก้ไขกัน”  ลู่หยวนพูดอย่างหนักแน่นพลางชำเลืองมองโจวยี่เชง

สายตาของลู่หยวนทำให้โจวยี่เชงตระหนักขึ้นมาได้ว่าคนพวกนี้ไม่ใช่พลเรือนธรรมดา  ถ้าทางกองทัพไม่ให้พวกเขาเข้าไป  พวกเขาอาจจะเริ่มการต่อสู้ที่น่ากลัวได้

เขาคิดว่ามันมีความเป็นไปได้  แต่แล้วเขาก็ปฏิเสธเรื่องนั้นไป  เขาประเมินความแข็งแกร่งของลู่หยวนและทีมของเขาต่ำไปมาก

พอเขาคิดถึงความเร็วของลู่หยวนซึ่งเร็วมากจนเขาไม่สามารถมองเห็นร่างของลู่หยวนขณะที่กำลังต่อสู้กับยักษ์สีเขียวตัวนั้นได้  โจวยี่เชงก็เริ่มสั่น

เมื่อพวกเขามาถึงถนนที่นำไปสู่เขตชนบท  พวกเขาก็เห็นเนินเขาสลับกันเป็นลูกคลื่นอยู่เบื้องหน้า

ชัดเจนเลยว่า  ฐานทัพลับจะต้องตั้งอยู่ที่ไหนสักแห่งท่ามกลางเนินเขาพวกนั้น

เมื่อดูจากถนนลาดยางที่เพิ่งสร้างขึ้นและรอยล้อรถสีดำบนพื้นถนนก็ยิ่งชัดเจน

มีด่านป้องกันที่เต็มไปด้วยรูกระบอกปืนมากมายซึ่งสร้างขึ้นในระยะห่างใกล้ๆกัน

เมื่อดูจากที่ไกล  ลำกล้องปืนขนาดใหญ่อันหนึ่งได้หันมาทางเจ้ากิ้งก่ายักษ์อย่างรวดเร็ว  พวกทหารคงเห็นว่ามีคนนั่งอยู่บนตัวเจ้ากิ้งก่าจึงหยุดยิงไว้ก่อน  แต่นั่นก็เพียงพอที่จะทำให้ใบหน้าของทุกคนขาวซีดราวกับกระดาษ  กระทั่งลู่หยวนก็ยังมีเหงื่อเย็นๆไหลออกมา  แน่ล่ะว่าเขาไม่อยากจะถูกปืนใหญ่ยิงเอา

ไม่นานก็มีรถทหารออกมาจากด่านและหยุดห่างจากกิ้งก่ายักษ์ 10 เมตร  ทหารที่มีอาวุธครบมือ 2 นายที่สวมใส่แว่นมองกลางคืนกระโดดออกมาจากรถอย่างรวดเร็วและทำสัญญาณมือบอกให้พวกเขาลงจากกิ้งก่า

ลู่หยวนลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะสั่งให้กิ้งก่ายักษ์หมอบลงเพื่อให้พวกเขาลงไปได้

“พวกคุณอยู่กองพันไหน  แล้วมาจากที่ไหนกัน?”  เมื่อพวกเขาสังเกตเห็นชุดเครื่องแบบทหารที่โจวยี่เชงและคนอื่นๆสวมใส่อยู่  ทหารพวกนั้นก็เป็นมิตรมากขึ้นกว่าเมื่อกี้

โจวยี่เชงให้ทหารที่พยุงเขาอยู่ปล่อยมือออกแล้วทำวันทยหัตถ์  “พวกเราเป็นผู้รอดชีวิตจากกองพลที่ 21  กองกำลังพิเศษที่ 18  กองพันที่ 312  ผมคือผู้บังคับกองพัน พันตรีโจวยี่เชง”

“สวัสดีครับท่านหัวหน้า”  ทหารสองนายทำวันทยหัตถ์ตอบกลับมา

“ผู้หมวด  อย่าเรียกผมว่าท่านหัวหน้าเลย  มันน่าอายน่ะ  เรียกผบ.พันโจวเถอะ”  โจวยี่เชงโบกมือพร้อมยิ้มอย่างขมขื่น  “สถานการณ์ในจังหวัดเจียงหนานย่ำแย่เกินรับมือได้แล้ว  กองพลที่ 21 ทั้งหมดก็ถูกทำลายแล้ว  เรามาที่นี่เพื่อขอความช่วยเหลือจากพวกคุณ”

ใบหน้าของทหารทั้งสองนายกลายเป็นเคร่งขรึมพร้อมกับสีหน้านับถือปรากฏขึ้นแวบหนึ่ง  ทหารคนหนึ่งพูดขึ้นว่า  “ผบ.พันโจว เดินทางมาไกลขนาดนี้คงเหนื่อยมาก  ขอต้อนรับกลับบ้านครับ  คนอื่นๆคงเป็นผู้รอดชีวิต  กว่าจะมาถึงที่นี่ได้คงยากน่าดู  เราจะขับรถพาพวกคุณเข้าไป”

ขั้นตอนทั้งหมดราบรื่นอย่างไม่น่าเชื่อ  แถมยังถูกต้องเหมาะสมอีกด้วย  นอกจากการขอร้องให้เจ้ากิ้งก่ายักษ์อยู่ที่เชิงเขาข้างล่างแล้ว  พวกทหารก็ไม่พูดอะไรอีก  พวกเขาแค่ให้ทุกคนขึ้นรถบรรทุกแล้วออกเดินทางไปยังฐานทัพ

เนินเขารอบพื้นที่นั้นโล่งเตียน  เห็นได้ชัดว่าพวกมันถูกทำความสะอาดอย่างละเอียดซ้ำแล้วซ้ำอีก

รถบรรทุกแล่นไปไม่ถึง 10 นาทีถนนก็กว้างขึ้นเป็นอย่างมาก  ฐานของมันหนาขึ้น  มีถนนหลายสายข้ามไหล่เขาโดยมีเสาค้ำขนาดใหญ่ค้ำยันอยู่  มีป้ายสัญลักษณ์อยู่ตลอดทางตามไหล่เขา

เมื่อพวกเขามองมันจากตรงนั้น  พวกเขาก็เห็นหลุมขนาดใหญ่ที่ขุดเอาไว้ข้างไหล่เขา  ดินทั้งหมดตรงนั้นถูกเอาออกไป

อย่างไรก็ตาม  สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของพวกเขาก็คือ  รอยล้อขนาดใหญ่และหนาจนไม่น่าเชื่อ  และด่านป้องกันที่แข็งแกร่งรอบๆ  เมื่อลู่หยวนเห็นหอสังเกตการณ์ที่ถูกสร้างขึ้นทุกๆ 100 เมตร  และรถบรรทุกมิสไซล์ที่อยู่สุดถนนแล้ว  เขาก็ขนลุก

“นี่คือลานวิ่งของเครื่องบินขนส่ง  พวกคุณสามารถขึ้นเครื่องได้ในเที่ยวต่อไป”  ทหารคนหนึ่งที่เฝ้ายามอยู่อธิบายเมื่อเขาเห็นลู่หยวนและคนอื่นๆพากันมองไปรอบๆอย่างอยากรู้อยากเห็น

Copyright © 2019 spoilsoc.com All rights reserved.