spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
*ตั้งค่าถาวร (คลิกตั้งค่าถาวร) |
บทที่ 303: เป้าหมายของเจี้ยงเฉิน
"ดูเหมือนว่าหนุ่มพิลึกผู้มีหัวใจดั่งภูผาจะได้รับการลงโทษ? " ผู้ควบคุมหัวเราะเบา ๆ
“อืม มันไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งที่ไม่ดีสำหรับอัจฉริยะหนุ่มที่จะได้รับบทเรียนบ้าง"
"หลายสิ่งหลายอย่างดูแปลก ๆ ในเวลานี้ เขาจบด้วยความยากลำบากในระดับที่ 5 ในเวลาไม่ถึง 1 เค่อ แต่เขาอยู่ในห้องระดับที่ 7 เป็นเวลานานถึง 2 วัน? แม้ว่าเขาจะมีช่วงเวลาที่ยากลำบาก เขาก็คงไม่จำเป็นต้องใช้เวลานานขนาดนี้?
สองวันผ่านไปนับตั้งแต่เจี้ยงเฉินเริ่มท้าดวลครั้งที่ 2
ในขณะเดียวกัน ผู้ฝึกฝนคนอื่น ๆ ก็เริ่มต้นท้าดวลในสองวันนี้
อย่างไรก็ตาม เจี้ยงเฉินยังไม่ออกมาในช่วงเวลานี้
ผู้ควบคุมต่างเริ่มสงสัยว่าเจี้ยงเฉินกำลังทำอะไรอยู่ข้างใน !
ในความเป็นจริง เจี้ยงเฉินไม่ได้ทนทุกข์กับสงครามที่ยากลำบากเช่นที่โลกภายนอกได้คิด ในทางตรงกันข้าม เขาได้รับผลประโยชน์มหาศาล
ผ่านการซ้อมรบกับโกเลม ทำให้ความเข้าใจเรื่องทักษะ "ตราซ่อนเร้นของชีวิตและความตาย" เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และมีสัญญาณว่าเขากำลังจะตัดผ่านสู่ขั้นสมบูรณ์แบบที่ยิ่งใหญ่ของทักษะนี้
ทุกสิ่งที่มีลมหายใจห้อมล้อมอยู่ในชีวิตและความตาย ตราซ่อนเร้นของชีวิตและความตายเผยถึงความลึกลับแห่งชีวิตและความตาย ถ้าข้ารวมความลึกลับของหมัดศักดิ์สิทธิ์อันนิรันดร์เข้าด้วยกัน ข้าสงสัยว่ามันจะทำงานร่วมกันได้กับความลึกลับของตราซ่อนเร้นของชีวิตและความตายหรือเปล่า?
เจี้ยงเฉินมีความคิดที่น่าสนใจมาก
หมัดศักดิ์สิทธิ์อันนิรันดร์เป็นจริงทักษะที่น่าเหลือเชื่อ เขามักใช้ทักษะอื่นร่วมกันเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่น่าทึ่ง
ความลึกลับของทักษะหมัดศักดิ์สิทธิ์อันนิรันดร์เพิ่มขึ้นอย่างมากเมื่อรวมกับบงกชอัคนีเหมันต์
เจี้ยงเฉินได้เพิ่มทักษะหมัดศักดิ์สิทธิ์อันนิรันดร์เมื่อฝึกซ้อมทักษะ "มีดบินทะลวงจันทรา" เมื่อรวมกับทักษะหมัดศักดิ์สิทธิ์อันนิรันดร์ ทักษะอินทรีผงาดฟ้า ทักษะพยัคฆ์คำรณทั้งหมดได้รวมจังหวะของลมและความโกรธเกรี้ยวของน้ำและได้ทำให้ชะนียักษ์จันทราสีเงินในเขาวงกตต้องบาดเจ็บสาหัสทั้ง ๆ ที่มันอยู่ในระดับอาณาจักรปราณวิญญาณปฐพี
เห็นได้ชัดว่าความลึกลับของทักษะนี้มีความสามารถในการทำให้สิ่งที่เหม็นและเน่าเปื่อยกลายเป็นของหายากและไม่มีตัวตนเหมือนอากาศธาตุ
เจี้ยงเฉินได้รับผลประโยชน์ใหม่ทุกครั้งที่เขาเข้าใจถึงวัฏจักรของการออกดอกและการเหี่ยวแห้ง
ด้วยเหตุนี้ผลกระทบที่น่าอัศจรรย์ปรากฏขึ้นอีกครั้งเมื่อเขารวมทักษะหมัดศักดิ์อันนิรันดร์เข้าด้วยกันกับทักษะตราซ่อนเร้นของชีวิตและความตาย
"กินตราของข้า ! "
เจี้ยงเฉินยื่นมือขวาของเขาและผลักดันให้ตราประทับรุกเข้าหาโกเลมด้วยความรุนแรงลมชนวนระเบิด
มือซ้ายของเขาดึงวงกลมในเวลาเดียวกัน สร้างตราประทับอีกอันเต็มไปด้วยความลึกลับของชีวิตที่ยังไม่จบ เขาทำให้วงจรชีวิตครบด้วยการก่อตัวตราประทับด้วยมือขวาของเขา
กำลังที่สร้างโดยตราทั้งสองรูปแบบจะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า ความแข็งแกร่งมหาศาล ดูเหมือนจะทำให้ชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินสั่นสะเทือนและพังถล่มลงบนหน้าโกเลมยักษ์
ปัง !
โกเลมถูกกระแทกโดยตรงและชนเข้ากับกำแพง มันส่ายไปทั่วและแตกออกเป็นล้านชิ้นดั่งสนั่นไปทั่วห้อง
เจี้ยงเฉินมีความสุขมาก พลังแห่งตราซ่อนเร้นหลังจากผนวกกับความลึกลับของชีวิตและความตายทำให้เกิดความสมบูรณ์แบบที่ยอดเยี่ยมในช่วงเวลาสั้น ๆ เกินขีดจำกัดของทักษะ "ตราซ่อนเร้นของชีวิตและความตาย" และพัฒนาไปถึงอาณาจักรแห่งตำนาน
ระเบิดนี้ราวกับว่าเขาได้กระตุ้นพลังแห่งการจุติวิญญาณ กลับชาติมาเกิดอย่างแท้จริง ทำให้โกเลมที่อยู่ในระดับจุดสูงสุดของปราณจิตวิญญาณระดับ 3 ต้องถูกบดขยี้จนกลายเป็นผุยผง
ประตูใหญ่เปิดออกอย่างช้า ๆ
เจี้ยงเฉินได้เสร็จสิ้นภารกิจครั้งที่ 2 !
เพิ่งจะผ่านไป 3 วัน
กล่าวได้ว่าเจี้ยงเฉินยังมีเวลาอีก 7 วันในการท้าดวลระดับที่ 10 แน่นอนว่าเขาใช้โอกาสไปแล้ว 2 ครั้งและเหลืออีกเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
หลังจากพักผ่อนพักครึ่งวัน เขาก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งในห้องโถงแห่งอเวจี
ในขณะที่ผู้ฝึกฝนรายอื่น ๆ เพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่แสดงความสามารถพิเศษ ผู้ควบคุมค่อนข้างเบื่อ
ในฐานะผู้ควบคุม ความสุขที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเขาคือการค้นพบอัจฉริยะ
แต่จนถึงขณะนี้นอกเหนือจากหนุ่มพิลึกผู้มีหัวใจดั่งศิลาคนที่ทำให้พวกเขาตกใจครั้งแล้วครั้งเล่า ยังไม่มีผู้เข้าแข่งขันที่เหลือคนใดฉายแววความสามารถ แม้ว่าจะมีบางคนที่ดูโดดเด่นบ้างในกลุ่ม
ไม่มีใครใกล้เคียงกับอัจฉริยะพิลึกเลย ไม่ต้องพูดเรื่องการเทียบเขา
ดังนั้นเมื่อผู้ควบคุมผู้แสนเบื่อหน่ายเห็นเจี้ยงเฉินอีกครั้ง ความสุขก็ล้นหลามทั่วใบหน้าของพวกเขา
การปรากฏตัวของชายพิลึกผู้มีหัวใจดั่งภูผาหมายความว่าเวลาแห่งความเบื่อหน่ายกำลังจะหมดไปและความตื่นเต้นที่น่าตื่นตาตื่นใจได้มาถึงแล้ว
"ท้าดวลอีกครั้งหรือ?" สีหน้าผู้ควบคุมอาบไปด้วยรอยยิ้ม
เจี้ยงเฉินพยักหน้า "นั่นเป็นเหตุผลเดียวที่ข้ามาที่นี่"
"ระดับอะไรที่เจ้าวางแผนที่จะท้าดวลต่อไป?" ดวงตาของผู้ควบคุมเต็มไปด้วยความคาดหวัง
เขารู้สึกกังวลว่าเจี้ยงเฉินได้เลือกระดับที่สูงเกินไปในการท้าดวลครั้งแรกของเขาและเขาต้องการที่จะโน้มน้าวไม่ให้เจี้ยงเฉินใจร้อนและบ้าบิ่น แต่ตอนนี้เขาค่อนข้างกังวลว่าเจี้ยงเฉินอาจจะเลือกระดับที่ต่ำเกินไป
ดวงตาหลายคู่จ้องมองเจี้ยงเฉินด้วยความคาดหมาย
เขาเสร็จสิ้นในระดับที่ 7 ดังนั้นนั่นหมายความว่าเขาต้องอย่างน้อยท้าดวลในระดับที่ 8
ถ้าเขาเสร็จสิ้นการท้าดวลในระดับที่ 8 นั่นหมายความว่าความแข็งแกร่งของเขาอยู่ในระดับที่ดีที่สุดของอัจฉริยะนิกาย ไม่พูดถึงศักยภาพพิเศษของผู้เข้าแข่งขันคนนี้เข้าด้วยกัน นั่นหมายความว่าในอนาคตเขาจะทะยานขึ้นไปบนอัจฉริยะชั้นแนวหน้าของนิกายและกระโดดเข้าสู่กลุ่มคนอัจฉริยะที่ยอดเยี่ยมที่สุด !
"ขอยกระดับสูงขึ้นในครั้งนี้ ข้าวางแผนที่จะท้าดวลระดับที่ 10" เจี้ยงเฉินกล่าว
"อะไรนะ ?"
"ระดับที่ 10 รึ? ระดับสูงสุดเชียวนะ? "
"เพิ่มจากระดับที่ 7 ไปยังระดับที่ 10 ? ไม่ใช่ ... นี่มันตลกเกินไปแล้วล่ะ? "
เจี้ยงเฉินลวงจิตใจของผู้ควบคุมให้หลงอีกครั้ง พวกเขารู้ถึงกำลังของเขา ไม่มีใครปฏิเสธเรื่องนั้น พวกเขายังมองไปข้างหลังและหวังว่าเขาท้าดวลระดับที่ 8 หรือ 9
อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่กล้าคิดถึงระดับที่ 10
เราต้องเข้าใจว่าระดับที่ 10 เท่ากับระดับสูงสุดของอาณาจักรปราณจิตวิญญาณระดับที่ 5 ด้วยความสามารถในการต่อสู้ของผู้ฝึกฝนทั่วไป ถึงแม้จะมีทักษะศิลปะการต่อสู้แบบจำกัด แต่ความท้าทายในระดับนั้นก็คือการหาเรื่องให้ตัวเองต้องทรมาน !
มีไม่กี่คนที่ผ่านมาระดับปราณจิตวิญญาณระดับที่ 5 ในหมู่อัจฉริยะวัยยี่สิบและสามสิบปีในนิกาย
ถึงแม้ว่าอัจฉริยะทางโลกนี้จะทำให้ทุกคนประหลาดใจทุกครั้งที่เข้ารับการทดสอบ แต่เขาทำเกินไปคราวนี้ ! ระดับที่ห้าคือระดับที่สงวนไว้สำหรับอัจฉริยะของนิกายที่โดดเด่น
ลืมระดับที่ 10 ไปเลย การที่ผู้ฝึกฝนสามัญทางโลกจะท้าดวลระดับที่ 8 คือการกระทำที่ไร้สาระอยู่แล้ว
ผู้ควบคุมจ้องตากันเอง สุดท้ายแล้วผู้ควบคุมหลักเป็นคนแรกที่เริ่มเปิดปากพูด "ระดับที่ 10 เทียบเท่าระดับสูงสุดของปราณจิตวิญญาณระดับที่ 5 เจ้าหนุ่ม เจ้าแน่ใจเรื่องนี้หรือไม่? "
เจี้ยงเฉินพยักหน้าอย่างขยันขันแข็ง “ขอรับ”
ตั้งแต่ที่เขาเข้ามามีส่วนร่วมในการคัดเลือก เจี้ยงเฉินก็ไม่คิดจะออมพลังของเขาไว้เฉย ๆ มุ่งมั่นทุ่มเทให้กับการเป็นหนึ่งในเส้นทางของเต๋าศิลปะการต่อสู้ นั่นคือความคิดที่ผู้ฝึกฝนทุกคนยึดในหัวใจของพวกเขา
คนส่วนใหญ่อาจไม่ได้เป็นอันดับหนึ่งเนื่องจากข้อจำกัดทางศักยภาพ แต่ผู้ฝึกฝนคนใดที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจและความทะเยอทะยานเพียงเล็กน้อยจะไม่ละทิ้งการต่อสู้เป็นเรื่องเเรก
เมื่อพวกเขาสูญเสียการกระตุ้น พวกเขาก็จะสูญเสียแรงจูงใจที่จะก้าวไปข้างหน้า
เฉพาะเมื่อผู้ฝึกฝนยืนที่จุดสูงสุดและมองเรื่องทุกอย่างเป็นสิ่งท้าย พวกเขาจะได้สัมผัสกับความโหดร้ายและความสุขในการฝึกอบรม
จะต้องเข้าใจความหมายที่แท้จริงของเต๋าศิลปะการต่อสู้ในการเอาชีวิตรอดระหว่างชีวิตและความตาย
ประตูสู่ระดับความยากลำบากที่ 10 เปิดออกขณะที่ร่างของเจี้ยงเฉินเดินช้า ๆ เข้าไปในห้อง
ผู้ควบคุมหลายคนรู้สึกมึนคงหน้ามืดในขณะนี้ ราวกับว่าพวกเขากำลังเป็นพยานถึงการเกิดตำนานและเชื้อสายของอัจฉริยะ
ในขณะนั้น ชายผู้เดียวที่น่าภาคภูมิใจยึดอยู่ในจิตใจของพวกเขาอย่างลึกซึ้ง
และอาจจะพบว่าเป็นการยากที่จะลบความประทับใจนี้ไปตลอดชีวิต
ห้องลับของระดับที่ 10 กว้างขวางกว่าที่อื่น ๆ ทั้งหมด
โกเลมข้างในเทียบเท่ากับจุดสุดยอดแห่งอาณาจักรปราณจิตวิญญาณระดับที่ 5 มันดูทรงพลังเต็มไปด้วยรัศมีเฉิดฉายขณะที่ยืนอยู่ตรงกลางห้องลับ มันดูราวกับว่าเป็นคนแล่เนื้อ ซึ่งไม่ได้บ่งบอกถึงอารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์เพียงเล็กน้อยในขณะที่มันกำลังรอสัตว์ตัวต่อไปที่จะมานอนบนเขียงเตรียมพร้อมให้มันสับละเอียด
ปัง !
โกเลมปล่อยตราซ่อนเร้นออกมาเป็นพลังเปลวไฟลุกโชนทันทีที่มันเห็นเจี้ยงเฉิน มันส่งลูกเพลิงก้อนใหญ่โจมตีไปทางเขา. นี่เป็นหนึ่งในการเคลื่อนไหวจากทักษะ 'ตราซ่อนเร้นของชีวิตและความตาย'
ตราแห่งไฟนรก !
เจี้ยงเฉินไม่กล้าจัดการเรื่องนี้เบา ๆ ในขณะที่เขาหมุนเวียนพลังของธาตุน้ำแข็งของเขาและสร้าง "ตราน้ำค้างเหมันต์" และหลบไปทางด้านข้าง โจมตีทางปีกข้างของโกเลม.
ข้อบกพร่องที่สำคัญของโกเลมคือมันไม่มีสติปัญญาของมนุษย์ นอกเหนือจากสัญชาตญาณในการสู้รบแล้ว พวกมันขาดความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์
ข้อได้เปรียบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเจี้ยงเฉินคือความทรงจำของสองชีวิตและความฉลาดของสองช่วงชีวิตรวมกัน
ในแง่ของความสามารถในการสู้รบที่เกิดขึ้น ความแข็งแรงของเจี้ยงเฉินที่ระดับปราณจิตวิญญาณระดับที่ 3 นั้นไม่ได้ช่วยให้เขารอดพ้นจากโกเลม
ถ้าเขาไม่ได้ใช้วิธีการอื่น จะเป็นการยากที่เจี้ยงเฉินจะเอาชนะโดยใช้ทักษะ "ตราซ่อนเร้นของชีวิตและความตาย"
โกเลมโบกมือโดยไม่รอให้เจี้ยงเฉินทำปฏิกิริยาตอบโต้ มันส่งพลังตราซ่อนเร้นอันนับไม่ถ้วนโจมตีไปทางเจี้ยงเฉิน
การโจมตีอันป่าเถื่อนชนิดนี้ บ่งบอกว่ามันพยายามอย่างชัดเจนในการปิดผนึกพื้นที่ทั้งหมดภายในห้องลับและบังคับให้ฝ่ายตรงข้ามจนมุมโดยหมดหนทางหนีรอด
ตราบใดที่โกเลมปิดพื้นที่ทั้งหมดได้แล้ว สิ่งที่เหลือให้มันทำสิ่งสุดท้ายคือการทรมานฝ่ายตรงข้าม !
เจี้ยงเฉินเห็นรูปแบบการต่อสู้ของโกเลมอย่างรวดเร็ว เขาค่อนข้างตกใจมาก "โกเลมยักษ์ตัวนี้มีพลังงานมากมาย มันไม่เหนื่อยล้าและถึงจะสู้ต่อไป 3-4 วัน พลังของมันก็คงไม่หมด ถ้ามันยังคงรักษาระดับการโจมตีไว้อย่างบ้าคลั่ง ห้องทั้งห้องจะถูกปิดผนึกในไม่ช้าก็เร็ว จากนั้นข้าก็กลายเป็นเป้านิ่ง ! "
ประสบการณ์การต่อสู้อันยาวนานของเจี้ยงเฉินช่วยให้เขาตอบโต้ได้ทันที
อย่างไรก็ตาม โกเลมจะไม่มีวันหมดแรงและความแข็งแกร่งของตราของมันก็เพิ่มมากขึ้น ถึงแม้ว่าเจียงเฉินจะตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว ถึงกระนั้นก็ตามไม่ว่าความเร็วของเขาจะว่องไวแค่ไหน เขาทำได้เพียงทำให้มันบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น
การต่อสู้ไปมาแบบนี้ได้ผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วยาม เจี้ยงเฉินจึงเข้าใจว่าเขาจะไม่สามารถทนต่อได้อีกนานถ้าเขายังเลือกการโต้กลับเช่นนี้
"ข้าต้องจำกัดการเคลื่อนไหวของมัน มันจึงไม่สามารถดำเนินการสู้อย่างดุเดือดได้อีก" ความคิดของเจี้ยงเฉินหมุนตัวออกไปอย่างคึกคักขณะที่เขาเปลี่ยนกลยุทธ์โดยฉับพลัน เขาสร้างตราประทับขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ทันทีที่เขาส่งตราประทับออกไปติด ๆ กันและสร้างห่วงโซ่ของพลังวิญญาณ
โกเลมมองค้อนขณะที่มันปล่อยหมัดหินอันดุเดือดไปยังห่วงโซ่วิญญาณ
เมื่อเจี้ยงเฉินเห็นสิ่งนี้ เขาก็รีบหลบตัวเหมือนปลาว่ายน้ำและหลบหลีกไปอยู่เบื้องหลังโกเลมยักษ์ แขนของเขาเคลื่อนไหวอย่างคึกคะนองขณะที่ตราที่ไม่มีที่สิ้นสุดกระหน่ำออกมาเหมือนพายุหิมะ
"ลองดูซิว่าแรงแม่เหล็กจะทำให้โกเลมตัวนี้ชะงักลงได้หรือไม่ ! "