spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
*ตั้งค่าถาวร (คลิกตั้งค่าถาวร) |
บทที่ 124: ความมหัศจรรย์ของชีวิต
วันรุ่งขึ้นทุกคนลุกขึ้นก่อนไก่ขันพร้อมกับเทรนแต่งหน้าแบบพังค์(รอยคล้ำรอบดวงตา) บรรยากาศในห้องนั่งเล่นหดหู่และทุกคนเงียบ ๆ ความจริงหลายคนไม่เต็มใจที่จะอพยพโดยเฉพาะโฮวตงเขาเริ่มเข้าวัยกลางคนแล้ว ความแข็งแรงทางกายภาพและพลังงานของเขาเทียบไม่ได้กับคนที่อายุน้อยกว่าในกลุ่ม เขาอาจจะตายในระหว่างการเดินทาง แต่เขาไม่มีทางเลือก เขามั่นใจว่าเขาจะต้องตายเร็วกว่าเดิมแน่ ถ้าหากไม่มีลู่หยวน ทั้งยังไม่รำรวยพอที่จะไปอยู่ฐานใต้ดิน เขาคิดแล้วก็ใส่กระเป๋าเป้พร้อมกระชับมือจับดาบอย่างมาดมั่น
"ให้ฉันช่วยอะไรไหม" เซียกวงกล่าว เธอรู้สึกแปลก ๆ ที่ทุกคนกำลังยุ่งอยู่แต่เธอนั่งเฉย ๆ ซะงั้น
"ไม่เป็นไรคุณเพิ่งฟื้นตัว ... ให้พวกเราจัดการเถอะ" เจียฮุยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
"คุณจะช่วยหรือจะทำให้มันช้าลงกันแน่" ซีซี่บ่นอุ๊บอิ๊บ
ลู่หยวนจ้องไปที่ซีซี่เป็นครั้งที่สองและหันไปพูดกับเซียกวงว่า "ไม่ต้องห่วงพวกเรากะว่าจะไปช้าหน่อย คุณควรกินเนื้อสัตว์ให้มาก ๆ จะดีกว่า คุณจะได้ฟื้นตัวเร็วขึ้น"
หลังจากกินเนื้อสัตว์กลายพันธุ์มาสองวันเซียกวงก็ดูดีขึ้นมาก แต่อาจจำเป็นต้องใช้เวลาอีกสักสองสามวันถึงจะหายดี
เซียกวงยิ้มอย่างมีความสุข เธอรู้สึกว่าลู่หยวนปฏิบัติกับเธออย่างดีที่สุดเหมือนตอนพบกันคราแรกอยู่ตลอด เธอตอบว่า "ร่างกายของฉันดีขึ้นมากแล้ว ฉันเคยออกกำลังกายตอนเช้าด้วยนะ คุณมีดาบเหลือบ้างไหม?"
"ดาบพวกนี้คมมากและมันอาจทำให้คุณบาดเจ็บ" ลู่หยวนลังเลครู่หนึ่งและเขาต้องการปกป้องเธออย่างดีเพื่อชดเชยเรื่องราวที่ผ่านมา
"ฉันฝึกมันมาบ้างตอนเรียนมหาลัย การใช้ดาบไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับฉัน" เซียกวงมีท่าที่ประหม่าหลังจากพูดเรื่องนี้กับเขา
"ดี มันน่าจะมีเหลืออีกสองสามเล่มในชั้นใต้ดิน เดี๋ยวฉันไปดูมาให้ " ลู่หยวนไม่ได้ปฏิเสธคำขอของเธออีกต่อไป เพราะเขาคิดว่ามันน่าจะดีกว่าถ้าเธอสามารถใช้อาวุธปกป้องตัวเองได้ หากเขาต้องสู้กับสัตว์กลายพันธุ์และปลีกตัวไปปกป้องเธอไม่ได้ เขาเจอดาบซามูไร ที่คิกว่าน่าจะเหมาะกับเธอ
เซียกวงนำดาบมาและทำความคุ้นเคยกับมัน เธอลองทำตามทักษะที่ลู่หยวนแสดงให้คนอื่นดู น่าแปลกใจที่เธอสามารถทำมันได้ดีกว่าพวกเขาทั้งหมด ถึงแม้ว่าจะไม่เร็วหรือแม่นยำเท่าที่ลู่หยวนต้องการก็ตาม ทุกคนประหลาดใจมาก เพราะไม่มีใครคิดว่าผู้หญิงที่อ่อนแอแบบเธอจะใช้มันเป็น หลินเสี่ยวจีรู้สึกเหมือนเขาได้เจอซูเปอร์วูแมนตัวจริง!
เมื่อการฝึกซ้อมของเซียกวงจบลง เธอก็ถามลู่หยวน "คิดว่าไงบ้าง?"
"ก็ พอได้" ลู่หยวนตอบ
เซียกวงยู่หน้าเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวว่า "ฉันแค่ไม่ได้แตะมันมานานแล้ว ในอนาคตฉันอาจชนะคุณก็ได้"
ซีซี่เบ้ปากแสดงความไม่พอใจ พี่ลู่เป็นคนที่เทพมากที่สุดในใจของเธอและไม่มีใครเทียบเขาได้
ลู่หยวนยิ้มและพูดกับเซียกวง"คุณเป็นคนที่เก่งที่สุดตลอดแหละ"
ลู่หยวนจัดการห่อสิ่งของต่าง ๆ ด้วยผ้าและผูกไว้ที่หลังของกิ้งก่าน้อยที่น่ารัก สัตว์เลี้ยงผู้ซื่อสัตย์ของเขาเอง
ลู่หยวนกลับมาที่ห้องรับแขกเพื่อเอากระเป๋าเป้สะพายหลังและ ดาบฟันขาม้า เขาสังเกตเห็นว่าทุกคนพร้อมเตรียมตัวพร้อมแล้วเขาก็กล่าว "พกอาหารไว้ในเป้ของคุณด้วย เพราะเราอาจต้องทิ้งสัมภาระทุกอย่างถ้าเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นมา หากต้องการจะอยู่ที่นี่ในห้องใต้ดินมีอาหารมากพอ มั่นใจได้ว่าคุณจะมีชีวิตที่ปลอดภัยหายห่วงเป็นเวลาสองถึงสามเดือน "
ลู่หยวนไม่ได้ยินเสียงคัดค้านใด ๆ เขาก็กล่าวว่า "ไปเถอะ!"
วันนี้ท่องฟ้าโปร่ง เป็นสัญญาณที่ดี ร่างใหญ่ยักษ์ของกิ้งก่าค่อยๆลุกขึ้นยืนเดินนำหน้าทุกคนก็เดินตามหลัง ถนนถูกทำลายและมีเพียงรถถังเท่านั้นที่สามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้ นอกจากลู่หยวนไม่มีใครออกมาจากฐานในช่วง 10 วันที่ผ่านมา พวกเขาตกใจเมื่อเห็นสภาพถนนและอาคารที่พังทลาย
มีสีเขียวเต็มไปหมด วัชพืช มอสและเถาวัลย์ได้คร่าชีวิตชาวเมืองไปทั้งเมือง ดวงอาทิตย์สาดส่องลงมาที่พวกเขา แต่พวกเขากลับไม่รู้สึกถึงกระตือรือร้นสักเท่าไหร่พวกเขาถูกทำให้มึนงงอย่างสิ้นเชิงจากภาพเบื้องหน้า เซียกวงแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองเพราะก่อนที่เธอจะเข้าไปในฐานใต้ดินเวลาผ่อนไปเพียงไม่นาน เธอไม่คิดว่าเมืองจะถูกทำลายไปในเวลาอันสั้นเช่นนี้
ทุกคนเดินทางอย่างระมัดและไม่เร่งรีบ เพื่อหลีกเลี่ยงพื้นที่ที่มีสัตว์กลายพันธุ์ พวกเขาเดินทางได้ 10 กิโลเมตรก่อนเที่ยงวัน ลู่หยวนกางผ้าปูพื้นเพื่อให้ทุกคนทานอาหารกลางวัน แต่หลินเสี่ยวจีไปกินที่ไหนก็ไม่รู้เพราะเขาไม่ต้องการส่งผลต่อความอยากอาหารของทุกคน
"เราอยู่ใกล้แล้ว" ลู่ยวนพยักหน้าและชี้ไปที่เส้นทางบนแผนที่ ก่อนจะพูดต่อ "เราห่างทางหลวงที่ใกล้ที่สุดไม่ถึงสิบห้ากิโลเมตรจะดีที่สุดถ้าเราสามารถไปถึงที่นั่นก่อนพระอาทิตย์ตกดินได้"
"ทำไมเราถึงไปทางทางหลวงล่ะ? ส่วนใหญ่มันกลายเป็นพื้นที่สำหรับเกษตรกรไปแล้ว ฉันคิดว่าการเดินทางกลางดงตอนนี้มันเป็นอะไรที่อันตรายเกินไป" เจียฮุยกล่าว
"ทางหลวงสูงกว่าพื้นดินทั่วไปและมีการติดตั้งสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับพลเรือนและทหาร สิ่งสำคัญที่สุดคือสร้างด้วยคอนกรีตที่แม้แต่รถถังขนาดใหญ่ยังไม่สามารถทำลายได้ นอกจากนี้ทางหลวงยังพึ่งถูกปรับปรุงเพิ่มความกว้างขึ้นก่อนที่จะเกิดเกิดการกลายพันธุ์ทั้งสองครั้ง ริมทางหลวงทั้งสองด้านจะมีป้อมปราการอยู่ทุก ๆ ระยะ 100 เมตรและยังมีกำแพงแบ่งแยกเขตอีกด้วย เราสามารถหาที่พักในเขตหน้าได้ "ลู่หยวนตอบอย่างละเอียด
"เท่าที่ฉันรู้มันยังอยู่ในสภาพดี ถ้าฉันพูดถูกเราก็สามารถหารถแล้ววิ่งไปตามทางหลวงได้และเราจะไม่หลงทางถ้าเราใช้ทางหลวง "ลู่หยวนกล่าวต่อ
"ถึงแม้ว่าฉันจะกังวลเรื่องสะพานข้ามทะเล ถ้าสะพานขาดเราอาจจำเป็นต้องใช้เวลาเดินทางนานขึ้น "ลู่หยวนกล่าวเสริม
"ฉันเคยผ่านสะพานข้ามทะเล น้ำมันแห้งมานานกว่าหกเดือนแล้วและตอนนี้ไม่ใช่ฤดูน้ำหลากฉันคิดว่ามันไม่น่าจะมีปัญหา...ใช่มั้ย?" เสี่ยวหลินพูด
"ฉันก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น"ลู่หยวนตอบ
สามในสี่ส่วนของโลกคือผืนน้ำและสัตว์ทะเลจำนวนมากที่พอกลายพันธุ์และเป็นอันตรายอย่างมาก โชคดีที่พวกมันอาศัยอยู่ในทะเลไม่เช่นนั้นมนุษยชาติคงจะสูญพันธุ์ไปแล้ว
"อย่างไรก็ตามถนนสายนี้ก็ผ่านเหมยซานใช่มั้ย?" เสี่ยวหลินถาม
"มันปกติดี ครอบครัวของฉันเคยอยู่ที่นั่นภูเขาทั้งหมดถูกปิดผนึกก่อนเกิดการกลายพันธุ์เสียอีก" หนิงเสียวหลานกล่าว
พวกเขาพูดคุยเรื่องเกี่ยวกับเส้นทางที่กำลังจะไปอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากพักผ่อนไปอีกสิบนาทีทุกคนก็กลับขึ้นไปบนถนน พวกเขาปะหน้ากับฝูงมดกลายพันธุ์จำนวนมากในระหว่างการเดินทาง มดเหล่านั้นตัวสีดำและเงางามและมีขนาดเท่ากับกำปั้นของมนุษย์ มันมีจำนวนมากแม้แต่กิ้งก่าของพวกเขาก็ไม่สามารถทำอะไรมันได้
ลู่หยวนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องหลีกเลี่ยงพวกมัน เพราะเขาไม่สามารถจัดการกับมดพวกนี้ได้ทั้งฝูงด้วยตัวคนเดียว มีเลือดและกระดูกสดปรากฏขึ้นบนถนนหลังจากมดยกทัพผ่านไป ลู่หยวนรู้สึกขอบคุณที่พวกมันไม่สนใจพวกเขา เมื่อเห็นกระดูกอยู่บนถนน เขาไม่เคยลืมตอนที่แมลงกลายพันธุ์สีเขียวจำนวนมากเข้าโจมตีเมืองตงหู ราวกับว่าพระเจ้าแห่งความตายจุติลงมาจากเบื้องบนและ ตู้มระเบิดพลังทำลายเมืองตงหูทั้งหมดภายในหนึ่งหรือสองวัน
โชคดีที่มดเหล่านั้นไม่ได้เป็นอันตรายหรือบ้าคลั่งเหมือนพวกแมลงสีเขียว มันถือเป็นเพียงสีสันเล็ก ๆ ของการเดินทาง เมื่อท้องฟ้ามืดสนิททุกคนก็อยู่ใกล้ทางแยกของเข้าชานเมือง แต่ก็ยังถือว่าอยู่ไม่ไกลจากชนบท ทันใดนั้นทุกคนก็หยุดลงโดยไม่รู้ตัว พวกเขารู้สึกตกใจเมื่อมองไปข้างหน้า มีต้นไม้ยืนยักษ์ยืนต้นอยู่มันสูงประมาณเจ็ดแปดกิโลเมตรหรือมากกว่านั้น มันถูกล้อมรอบไปด้วยหมอกขาว เหมือนนิยายแฟนตาซีเรื่องหนึ่งที่พระเอกฆ่ายักษ์
ที่ดินด้านล่างเหมือนอยู่ใต้หลังคาขนาดใหญ่ ต้นไม้ยักษ์นี้น่าจะดิ้นรนมาไม่ต่ำกว่าร้อนปีรอยแผลเป็นบนลำต้นของมันสามารถมองเห็นได้แม้ว่าพวกเขาอยู่ไกลก็ตาม มันต้องเป็นต้นไม้ที่แข็งแกร่งและสู้ชีวิตมากที่มันยังคงอยู่ได้ในเวลาแบบนี้
"ฉันคิดเสมอว่ามีเพียงแค่ต้นไม้ประเภทต้นบันยันเท่านั้นที่สามารถสร้างป่าได้ แต่เมื่อเทียบกับต้นไม้ยักษ์ต้นนี้แล้ว ต้นที่เหลือมันก็แค่ต้นไม่ธรรมดา" โฮวตงกล่าว
"นั่นคือต้นไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก?" ซีซี่ถามด้วยน้ำเสียงเพ้อฝัน
ลู่หยวนไม่ตอบคำถามแต่ก็ไม่ได้ขัดเธอมันก็อาจจะถือเป็นหนึ่งในตำนานต้นไม้ยักษ์ติดอันดับ เพียงแต่ลู่หยวนไม่สามารถจัดอันดับมันได้ แต่ก็ไม่ควรเอามันมาเปรียบเทียบกับต้นไม่ผีสิงในเฮตง เขาหวังเพียงว่าต้นไม้ยักษ์ต้นนี้จะเติบโตขึ้นโดยไม่ต้องมีการกลายพันธุ์ใด ๆ เกิดขึ้น เพราะหากไปตามทางหลวงพวกเขาต้องผ่านมันไปก่อน
"อย่าพึ่งเพ้อตั้งใจค้นหาสถานที่ที่ปลอดภัยสำหรับการค้างแรมในคืนนี้และวันพรุ่งนี้เราจะเดินทางต่อ" ลู่หยวนกล่าว
มีอาคารหลายแห่งถูกทิ้งร้าง ห้องว่ามีอยู่ทั่วทุกที่ อย่างไรก็ตามมันก็ต้องเลือกห้องกันซักหน่อยหากต้องการห้องที่ปลอดภัย หลังจากค้นหาไปครู่หนึ่งพวกเขาก็พบโรงแรมระดับสี่ดาวที่มีชั้นใต้ดิน ห้องใต้ดินเคยเป็นสำนักงานของโรงแรมมีคอมพิวเตอร์ เครื่องปริ้นและฝุ่นหนาทึบที่ปกคลุมพรมอยู่ พร้อมกับคราบเลือดและโครงกระดูกกระจายอยู่ทั่วทุกแห่ง แถมปืนไรเฟิลขนาดเล็ก อยู่บนพื้นพร้อมกระสุน แต่เผอิญว่าเป็นแค่ปลอกกระสุนเปล่า
ลู่หยวนสงสัยว่าน่าจะมีการสู้รบเกิดขึ้นที่นี่เมื่อไม่นานมานี้ระหว่างสัตว์กลายพันธุ์กับมนุษย์ ที่นี่มืดมากถึงจุดที่ไฟฉายของพวกเขาช่วยอะไรได้ไม่มาก ลู่หยวนจึงตัดสินใจที่จะตรวจสอบรอบ ๆ สถานที่เพียงคนเดียว เพื่อความแน่ใจว่าที่นี่ปลอดภัยพอที่จะค้างคืนหรือไม่และเขาก็ไม่ต้องการให้คนอื่น ๆ ไปเสี่ยงด้วย
ทุกคนตัดสินใจที่จะค้างแรมที่อาคารสำนักงานขนาดใหญ่ ในขณะที่ลู่หยวนตรวจสอบความปลอดภัยของสถานที่ ใครจะรู้สึกสบายใจได้บ้างหากอยู่ท่ามกลางอาคารที่ภายนอกเต็มไปด้วยกระดูก แต่อย่างไรก็ตามพวกเขาก็รู้สึกผ่อนคลายลงเมื่อลู่หยวนกลับมา