หน้าแรก > Epoch of Twilight
ตอนที่  113  ความกลัว

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

*ตั้งค่าถาวร (คลิกตั้งค่าถาวร)

ตอนที่  113  ความกลัว

ลู่หยวนขึ้นขี่เจ้ากิ้งก่ายักษ์  หลังจากชำเลืองมองผู้คนที่อยู่ข้างล่างแวบหนึ่ง  เขาก็หันหลังกลับไปเฉยๆ  เขาตบหลังสัตว์เลี้ยงที่แข็งแกร่งของเขา  แล้วทั้งสองก็ออกเดินทาง

เจ้ากิ้งก่ายักษ์นั้นรวดเร็วราวสายฟ้า  ไม่นับขนาดอันใหญ่โตของมัน  ฝีเท้าของมันนั้นว่องไวและรวดเร็ว  ไม่ถึง 1 นาทีพวกเขาก็ออกจากเขตที่พัก

เพียงแค่ไม่กี่วัน  แผลเป็นทั้งหมดของเจ้ากิ้งก่ายักษ์ก็หายสนิท  เกล็ดที่หลุดออกไปก็เริ่มขึ้นมาใหม่เป็นสีเขียวสดใสส่องประกาย  ไม่เหมือนสภาพน่าสังเวชตอนที่ พวกเขาพบกันครั้งแรก  แม้แต่แผลเป็นสักแห่งก็ไม่เหลือ

อย่างไรก็ตาม  เมื่อเปรียบเทียบกับขนาดอันใหญ่โตมโหฬารของมันแล้ว  บางทีมันก็ออกจะขี้กลัวไปสักหน่อย  ซึ่งอาจจะทำให้มันดูอ่อนแอได้  ถึงอย่างนั้น  ลู่หยวนก็รู้ว่าความสามารถในการต่อสู้ของเจ้ากิ้งก่ายักษ์นั้นน่าประทับใจแค่ไหน!

ความคล่องแคล่วของมันเพิ่มขึ้น 2 แต้ม  ยิ่งมีความคล่องแคล่วสูงมากเท่าไร  ความเร็วก็ยิ่งมากเท่านั้น  ตอนนี้เจ้ากิ้งก่ายักษ์สามารถเคลื่อนไหวได้เร็วขึ้นถึงสองเท่า  เวลาที่มันใช้ความเร็ว  แม้แต่สัตว์กลายพันธุ์ขั้นสีน้ำเงินก็ยังต้องตัวสั่นด้วยความกลัว

อย่างไรก็ตาม  มันก็ยังไม่ใช่ความคิดที่ดีที่ลู่หยวนจะไปสู้กับสัตว์กลายพันธุ์ขั้นสีน้ำเงิน  แม้ว่ากิ้งก่ายักษ์ของเขาจะรวดเร็วราวสายฟ้า  แต่สัตว์กลายพันธุ์ขั้นสีน้ำเงินก็ยังเหนือกว่าอยู่ดี  ไม่ใช่แค่ความแข็งแกร่งและขนาดเท่านั้น  ความเร็วราวพระเจ้าของมันก็น่ากลัว  ไม่ต้องพูดถึงความสามารถในการป้องกันของมันอีก  ถึงจะร่วมมือกับเจ้ากิ้งก่ายักษ์โจมตี  ลู่หยวนก็ไม่มีโอกาสชนะสัตว์กลายพันธุ์ขั้นสีน้ำเงินได้เลยแม้แต่น้อย

ความสามารถขั้นแรกของมันก็คือการยับยั้งคู่ต่อสู้  แล้วตามด้วยการโจมตีที่ราวกับสายฟ้าฟาด

จากอดีตที่ผ่านมาของเขา  เขายังคงไม่สามารถรวบรวมความกล้าไปสู้กับสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวเช่นนั้นได้  กระทั่งในจินตนาการที่บ้าบอที่สุดเขาก็ยังไม่กล้า!  นอกจากขาดความกล้าแล้ว  มันก็แทบเป็นไปไม่ได้ที่จะเอาชนะมัน  จนถึงตอนนี้  ลู่หยวนเคยพบกับสัตว์กลายพันธุ์ขั้นสีน้ำเงินสองครั้งเท่านั้น  ครั้งแรกคืองู  อีกครั้งคือคิงคองยักษ์  ความสามารถในการป้องกันของมันทำให้ทุกคนต้องตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว

อาจจะต้องใช้ความแข็งแรงของร่างกายทั้งหมดในโลกเพียงเพื่อจะเชือดซากที่ไร้ชีวิตของสัตว์กลายพันธุ์ขั้นสีน้ำเงิน  ไม่ต้องพูดถึงตัวที่ยังมีชีวิตเลย  ถ้าไม่มีทักษะโจมตี  ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะเลเวลอัพ

เมื่ออาวุธใช้การไม่ได้  พลังแห่งความมุ่งมั่นจึงเป็นทางเลือกที่ดี  พลังจิตและการรับรู้ของลู่หยวนเพิ่มขึ้นเมื่อเขาได้รับหัวใจของต้นโลคัสวิญญาณหลอนมา  แต่เขายังคงรู้สึกว่ามันไม่เพียงพอ  ในการเอาชนะการป้องกันของสัตว์กลายพันธุ์ที่น่ากลัว  จำเป็นต้องใช้พลังจิตเยอะมาก  พลังจิต 14 แต้มนั้นใช้การไม่ได้ในการต่อสู้ที่รุนแรงเช่นนี้

สองสามวันที่ผ่านมา  สัตว์กลายพันธุ์ขั้นสีน้ำเงินเริ่มวิวัฒนาการอีกครั้ง  แสดงให้เห็นว่าโลกนี้โหดร้ายได้มากขนาดไหน  สิ่งมีชีวิตใดที่มีวิวัฒนาการช้าจะถูกกำจัด  หรือกลายเป็นผู้ด้อยกว่าในห่วงโซ่อาหาร  และผู้ที่อยู่เหนือกว่าจะกลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่มีอำนาจเหนือใคร

เนื่องจากการต่อสู้กันอย่างดุเดือดโหดร้ายนี้เอง  โลกจึงกลายมาเป็นพื้นที่ล่าสังหารขนาดใหญ่  ใครที่วิวัฒนาการล้าหลังก็เตรียมตัวกลายเป็นอาหารของสัตว์อื่นได้เลย

พลังจิตคือการฝึกฝนใจตัวเอง  รวมถึงการเปลี่ยนแปลงทางด้านจิตใจ  หลังจากการทำสมาธิอยู่หนึ่งคืน  พลังจิตของเขาก็เพิ่มขึ้น

พลังจิต 15 แต้ม – คะแนนสูงที่สุดที่เขามี  รวมกับพลังความแข็งแกร่งของเขานี่จึงเป็นสาเหตุของความมั่นใจ

ทันใดนั้น  เจ้ากิ้งก่ายักษ์ก็หยุดกะทันหัน  หางของมันขดเข้ามา  เกล็ดตั้งขึ้น  มันส่งเสียงอย่างกังวล  และกระทืบเท้าซ้ำๆ  ลู่หยวนสังเกตได้ว่าบริเวณนี้เงียบกริบอย่างน่าประหลาด  มันเงียบมากจริงๆ  มีเพียงเสียงคำรามเบาๆไม่กี่ครั้งจากที่ไกลๆ

“มันผิดปกติเกินไปแล้ว!”

ลู่หยวนเริ่มสังเกตสิ่งแวดล้อมรอบด้านอย่างจริงจัง  แต่ก็ไม่เห็นการเคลื่อนไหวใดๆเลย

สายลมเบาๆพัดมา  เสียงเศษกระจกหล่นลงพื้นดังมาจากบนดาดฟ้าตึกที่ชำรุดแถวๆนั้น

เหงื่อเย็นๆไหลลงมาตามหน้าผาก  เขากระชับดาบในมือเอาไว้แน่น

ช้าแต่ชัวร์  เจ้ากิ้งก่ายักษ์ของเขาเริ่มถอยหลัง  ลู่หยวนรู้สึกได้ว่ากล้ามเนื้อหลังของมันตึงเครียดขึ้น  นี่เป็นสัญญาณบ่งบอกได้ว่าสัตว์กลายพันธุ์ขั้นสีน้ำเงินอยู่ใกล้ๆแถวนี้

สิ่งที่แปลกก็คือเขาไม่สามารถสัมผัสตัวตนของมันได้เลยแม้แต่น้อย  มันเป็นธรรมชาติอยู่แล้วว่าไม่ว่าสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่จะเคลื่อนไหวอย่างระมัดระวังเพียงใดก็ตาม  ก็จะมีเสียงตามมาเสมอ  แต่นี่ไม่มีเสียงใดๆให้ได้ยินเลยแม้แต่น้อย

“คงไม่ได้อยู่บนฟ้าหรอกนะ  ใช่ไหม?!”  ลู่หยวนมองขึ้นไปบนท้องฟ้า  แต่ก็ยังไม่เห็นอะไร!

“ไม่  ต้องมีบางอย่างที่ฉันพลาดไป”  เขาพึมพำกับตัวเองด้วยความสับสน  ความเครียดเริ่มกัดกินเขา

ทันใดนั้นลู่หยวนก็นึกถึงไส้เดือนที่เขาเคยเจอเมื่อก่อนนี้ขึ้นมาได้  เขายังรู้สึกได้ว่าหัวใจของเขาเต้นถี่รัวด้วยความหวาดกลัว

“โอ้ไม่  มันอยู่ใต้ดิน!”

ลู่หยวนรีบกระโดดลงจากหลังของเจ้ากิ้งก่ายักษ์  ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกถึงการสั่นไหวเล็กน้อยตลอดเวลาที่เท้าของเขาสัมผัสกับพื้นดิน  ทันทีนั้นเองการสั่นสะเทือนก็รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ  แรงมากจนวัดได้ถึง 7-8 ริกเตอร์โดยประมาณ  ถนนทุกสายเริ่มแตกร้าวจนกลายเป็นรอยแตกที่ลึกจนมองไม่เห็นก้นจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน

ลู่หยวนรู้สึกได้ว่าหัวใจของเขาเต้นถี่เร็วและหายใจไม่ค่อยออก  เขายังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม  และเริ่มรู้สึกหวาดกลัว  และหลังจากหนีออกมา 4-5 เมตรแล้วเขาก็ยังคงตัวสั่นไม่หาย  เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นตามมาด้วยก้อนหินจำนวนมากแตกกระจายพุ่งออกมาจากพื้น

ลู่หยวนหมดทางหนีเมื่อเจอการโจมตีเช่นนี้

คอนกรีต 7-8 ก้อนกระแทกหลังเขาเป็นสัญญาณเริ่มการต่อสู้  พลังอันมหาศาลส่งร่างเขาลอยไปในอากาศและกระแทกเข้ากับกำแพงตึกที่อยู่ใกล้ๆ  แรงกระแทกทำให้กำแพงแตกเป็นเสี่ยงๆ

เขาสะบัดหัวและพยายามลุกขึ้นยืน  ตอนนั้นเองที่เขารู้สึกเหมือนกับว่าร่างกายของเขาไม่ทำงาน  รสชาติแปลกๆพุ่งขึ้นมาตามลำคอและหลังจากนั้นไม่นานเขาก็กระอักเลือดออกมา

เขามองเศษชิ้นส่วนของชุดกันกระสุนที่อยู่บนพื้น  ความกลัวเริ่มคืบคลานเข้ามาในใจเขา  ทุกอย่างที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้  เขาไม่มีเวลาเพ่งสมาธิหรือรวบรวมพลังจิตของเขาเลย  ถ้าเขาไม่ได้ใส่ชุดกันกระสุนตอนที่ ถูกก้อนหินกระแทกล่ะก็  เขาก็คงบาดเจ็บหนักจนตายไปแล้ว

ลู่หยวนไม่มีเวลาตรวจสอบอาการบาดเจ็บหรือทำแผล  เขารีบเงยหน้าขึ้นมองไปที่ถนน

เจ้ากิ้งก่ายักษ์ยังไม่ถูกจับกินไปทั้งเป็นๆ  ในช่วงเวลาคับขันเช่นนี้  มันยืนอยู่กลางถนนและส่งเสียงร้องอย่างโกรธจัด  มีความกลัวผสมอยู่ในเสียงร้องนั้นด้วย  เกล็ดส่วนใหญ่ของมันแตกเป็นเสี่ยงๆและเปื้อนเลือด  เห็นได้ชัดว่ามันได้รับบาดเจ็บจากการระเบิดของก้อนหิน

รูขนาดใหญ่มากกว่าครึ่งถนนปรากฏขึ้นกลางถนน  เจ้าสัตว์กลายพันธุ์ที่น่ากลัวตัวนั้นดูเหมือนจะหายตัวไปดื้อๆ

ลู่หยวนดูตึงเครียดเป็นอย่างมาก  เม็ดเหงื่อไหลลงมาตามหน้าผาก  เขาสัมผัสแรงสั่นสะเทือนจากพื้นดินได้  จึงพยายามรวบรวมพลังจิตให้มากขึ้น  ร่างของเขาปรากฏชั้นบางๆของพลังจิตขึ้นมาป้องกัน  ซึ่งดูเหมือนประกายแสงที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

ลู่หยวนสังเกตเห็นระเบียงเล็กๆในทุกๆชั้นของตึกออฟฟิศที่อยู่ใกล้ๆ  ระเบียงนั้นพอให้คนหนึ่งคนเดินผ่านได้เท่านั้น  แต่เขาคิดอะไรบางอย่างออก  ลู่หยวนรวมพลังทั้งหมดของเขา  แล้วกระโดดขึ้นไปจับราวระเบียงอันหนึ่งที่สูงประมาณ 4 เมตร  เขาพลิกตัวข้ามไปยืนที่ระเบียง  จากนั้นก็กระโดดขึ้นไปที่ชั้นสามและหยุดลงที่ชั้นสี่

เขาเอาตัวแนบติดกับกำแพงขณะที่จ้องมองไปที่ถนนอย่างตั้งใจ

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง  ตึกก็เริ่มสั่นอย่างรุนแรงอีกครั้ง  และดูเหมือนจะถล่มลงในไม่กี่วินาที  ร่างของลู่หยวนเริ่มจะทรุดลง  แต่เท้าของเขายังคงติดกับพื้น  เขาจับด้ามดาบค้ำยันตัวเองเอาไว้

เจ้ากิ้งก่ายักษ์ที่น่าสงสารก้าวเท้าเดินอย่างยากลำบาก  และได้แต่หมุนตัวไปรอบๆอยู่กับที่  เมื่อแรงสั่นสะเทือนเริ่มรุนแรงขึ้น  มันก็กระโดดไปด้านข้าง  ทันใดนั้นเสียงระเบิดก็ดังสนั่นขึ้นอีกครั้ง

ลู่หยวนจ้องมองตาค้างด้วยความหวาดกลัว

ก้อนหินแตกๆลอยพุ่งขึ้นฟ้าในทุกทิศทุกทาง  ทันใดนั้น  ปากที่ใหญ่เท่าขบวนรถไฟก็เจาะทะลุออกมาจากพื้นดินข้างใต้

มีฟันแหลมคมใหญ่ยักษ์อยู่เต็มปากขนาดมหึมานั้น  ฟันนั้นมีประมาณ 7-8 แถว  รวมกันแล้วหลายร้อยซี่  เรียงแถวกันเล็กลงเรื่อยๆในแต่ละแถว  ดูราวกับเครื่องบดเนื้อที่น่าขนลุก  อะไรก็ตามที่ถูกมันงับเข้าไปย่อมกลายสภาพเป็นเนื้อบดกองหนึ่ง

ลำตัวส่วนที่เหลือของมันซ่อนอยู่ใต้ดิน  ลู่หยวนไม่สามารถประเมินตำแหน่งที่แน่นอนของสัตว์ตัวนั้นได้  ปากที่ราวกับเครื่องบดเนื้อรวมกับความสามารถในการหลบหลีกของมันสามารถทำให้สัตว์กลายพันธุ์ขั้นสีน้ำเงินต้องก้าวถอยหลังด้วยความกลัว

ลู่หยวนลังเลอยู่แวบหนึ่ง  เจ้าสัตว์กลายพันธุ์ตัวนั้นก็มุดลงใต้ดินไปอีกครั้งเพื่อเตรียมตัวโจมตีครั้งต่อไป  ลู่หยวนทันได้มองเจ้าสัตว์กลายพันธุ์ตัวนั้นแค่แวบเดียวเท่านั้น

“ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป  เราจะไม่มีโอกาสแน่!”  ลู่หยวนรู้สึกสิ้นหวัง  “ถ้าล่อมันออกมาจากใต้ดินไม่ได้  ก็คงทำได้แค่หนี”

ขณะที่กำลังคิดอยู่นั่นเอง  เจ้ากิ้งก่ายักษ์ก็หลบการโจมตีอีกครั้ง  แต่ท้องของมันหลบไม่พ้น  และได้รับบาดเจ็บจากการถูกคอนกรีตที่หนักไม่กี่ร้อยกิโลกระแทกเอา  มันส่งเสียงร้องแหลมยาวด้วยความเจ็บปวด  เลือดเริ่มไหลออกมา  ทำให้มันแทบจะขยับไม่ไหว

หัวใจของลู่หยวนเต้นรัวแรงเมื่อเห็นเช่นนั้น

เจ้าสัตว์กลายพันธุ์ที่ซุ่มโจมตีพวกเขาจากใต้ดินยังคงจู่โจมอย่างต่อเนื่อง

เจ้ากิ้งก่ายักษ์หลบลำบากขึ้นเรื่อยๆ  ตัวของมันถูกหินกระแทกทุกครั้ง  มันสะดุดตลอดเวลา  แต่เจ้ากิ้งก่ายักษ์นั้นฉลาดพอที่จะรู้ว่าควรหลบตรงไหนก่อนที่สัตว์กลายพันธุ์ตัวนั้นจะเจาะขึ้นมาจากใต้ดิน

ความสามารถดั้งเดิมของเจ้ากิ้งก่ายักษ์คือการรับรู้ถึงอันตรายอย่างแม่นยำ  การโจมตีนี้เพียงพอที่จะต่อสู้กับสัตว์กลายพันธุ์ทั่วไปได้

ในชั่วระยะเวลาสั้นๆ  ถนนก็เสียหายไปทั่ว  มันเต็มไปด้วยหลุม  บางหลุมก็ใหญ่จนมาชนกันรวมเป็นหลุมที่ใหญ่ขึ้น

เจ้ากิ้งก่ายักษ์ที่หลบการโจมตีได้ทั้งหมดทำให้สัตว์กลายพันธุ์ที่อยู่ใต้ดินเริ่มหมดความอดทน

คอนกรีตทั่วทั้งเมืองแตกร้าวเสียหายเป็นใยแมงมุมที่กระจายไปทั่วเมือง  อาคารที่อยู่ใกล้ๆสองสามอาคารสั่นไหวอย่างรุนแรงแล้วถล่มลง  ทำให้เกิดคลื่นฝุ่นควันหนาทึบปกคลุมเมือง

หนอนสีดำยาวมากกว่า 10 เมตรทะลุออกมาจากพื้นดินท่ามกลางฝุ่นควัน

มันดูเหมือนจิ้งหรีดขนาดยักษ์ที่มีเปลือกนอกเป็นโลหะสีดำพร้อมด้วยเท้าเล็กๆสั้นๆมากกว่าร้อยคู่  ตัวของมันปกคลุมด้วยเส้นไหมที่หมุนเป็นเกลียวเพื่อช่วยลดแรงเสียดทานเวลาที่มันเจาะพื้นดินให้เจาะได้เร็วขึ้น

บรรยากาศนิ่งสงัดและน่ากลัวเพียงแค่มันปรากฏตัวออกมา

เจ้ากิ้งก่ายักษ์ตะลึงงันและก้าวถอยหลัง  ร่างที่แข็งทื่อของมันสั่นระริกด้วยความหวาดกลัว  และเนื่องจากความเร่งรีบ  มันได้เหยียบลงบนรอยแตกบนพื้นและเกือบจะตกลงไปตาย

สัตว์กลายพันธุ์ตัวนั้นคำรามออกมาและเริ่มเคลื่อนที่ตรงไปยังเจ้ากิ้งก่ายักษ์อย่างรวดเร็ว  ด้วยความเร็วเช่นนี้  มนุษย์ธรรมดาจะมองเห็นเพียงเงาและฝุ่นที่ยังหลงเหลืออยู่เท่านั้น 

ความเร็วของมันราวกับรถไฟด่วน  หินก้อนใหญ่และอาคารมากมายก็ไม่อาจเป็นอุปสรรคกีดขวางมันได้  มันชนปะทะกับทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางทางมัน

“น่ากลัวชะมัด!”

เจ้ากิ้งก่ายักษ์รู้สึกได้ว่าการต่อสู้ครั้งนี้ได้มาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว  ในที่สุดมันก็หายจากอาการหวาดกลัวและส่งเสียงคำรามออกมาดังลั่นขณะที่แกว่งหางไปมาในอากาศ  หางของมันหมุนอย่างรวดเร็วสร้างสายลมใบมีดขึ้นมา  ตึกอาคารโดยรอบทั้งหมดถูกทำลายลงด้วยพลังพายุหมุนที่มาจากหางของมัน

“นี่คือพลังของทักษะ “ฟาดหาง”!”

Copyright © 2019 spoilsoc.com All rights reserved.