spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
*ตั้งค่าถาวร (คลิกตั้งค่าถาวร) |
ตอนที่ 549 ตาสัตว์
ท่านนักพรตตู๋โดนพวกสาวใช้หามเข้าไปด้านในสุสานแล้ว หมอกก็เริ่มหนาขึ้นเรื่อยๆ พวกเราต่างมองไม่ค่อยเห็นแล้ว
ในเวลานี้พอได้ยินอาจารย์พูดแบบนั้น พวกเราก็ไม่คิดจะอยู่ที่นี่ต่อ
ผมพยักหน้าให้อาจารย์ เอื้อมมือไปดึงตัวเหล่าเฟิง ให้เดินออกไปข้างนอกด้วยกัน
ตามที่มู่หลงเหยียนพูด หลังได้ของสามอย่างมาครบแล้ว ที่เหลือก็แค่รอให้ท่านนักพรตตู๋หายดีเท่านั้น
สำหรับผลสุดท้ายจะเป็นยังไง จะมีผลตามมาไหม นั่นเป็นเรื่องที่พวกเราไม่อาจตัดสินได้แล้ว
ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็ออกมาถึงด้านนอกสุสาน ที่นี่อยู่ห่างจากสุสานประมาณ 400-500 เมตรได้
พวกเราไม่ได้ไปไหน ถึงจะกลับไป พวกเราก็คงไม่มีอารมณ์นอนอยู่ดี
ดังนั้น พวกเราเลยคิดจะรอกันอยู่ที่นี่ จนกระทั่งถึงยามเฉินในเช้าวันรุ่งขึ้น พอถึงตอนนั้นแล้วเราจะได้รับท่านนักพรตตู๋กลับไปพร้อมกันเลย
ทุกคนทำตัวเคร่งเครียด พวกเราเป็นห่วงท่านนักพรตตู๋มาก แต่ตอนนี้ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่เฝ้ารออยู่อย่างนี้เท่านั้น
เวลา 6 ชั่วโมง พูดว่านานก็นาน พูดว่าสั้นก็สั้น
พวกเราสามคนรออยู่ด้านนอก รู้สึกแค่เพียงเวลาผ่านไปช้ามาก
และในบางครั้งพวกเรายังได้ยินเสียงกรีดร้องออกมาจากสุสานแห่งนั้นด้วย หรือบางทีก็เป็นกลิ่นแปลกๆ
แต่พวกเราต่างไม่ได้เข้าไปใกล้ เพียงรออยู่ที่เดิมเท่านั้น
ในที่สุด ฟ้าก็สว่างซะที
ดวงตาของทุกคนแดงก่ำ เอาแต่จ้องโทรศัพท์ตาไม่กระพริบ
ยามเฉินหรือก็คือช่วงเวลา 07.00-09.00 น.นั่นเอง ตอนนี้ดูจากเวลา ยังเหลืออีกสิบกว่าวินาที
ในสิบวินาทีสุดท้ายนี้ ทำให้พวกเราแทบจะบินเข้าไปในทันที
ดวงตาของทุกคนต่างเบิกกว้าง จ้องเวลาที่กำลังเคลื่อนตัวไปเรื่อยๆ ในขณะเดียวกันก็หวังว่าเวลาสิบวินาทีนี้จะผ่านไปเพียงแค่กระพริบตา ราวกับพวกเราลืมหายใจด้วยซ้ำในเวลานั้น
ท้ายที่สุด เมื่อมาถึงวินาทีสุดท้าย เหล่าเฟิงก็ดับก้นบุหรี่อย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นก็ตะโกนไปทางสุสานว่า “ อาจารย์ ผมมาแล้ว ! ”
หลังจากพูดจบ ก็ไม่รอให้พวกเราตอบสนองใดๆ เขาพุ่งตัวออกไปคนแรก ตรงไปที่สุสานทันที
ผมและอาจารย์ก็ไม่รอช้า ต่างอยากรู้ว่าท่านนักพรตตู๋เป็นยังไงบ้าง
ดังนั้นหลังเหล่าเฟิงเพิ่งขยับตัว พวกเราก็วิ่งตามไปติดๆ พื้นที่รกร้างไม่กี่เมตร เราใช้เวลาไปแค่ครู่เดียวเท่านั้น
ตอนพวกเรามาถึงสุสานของโจวหยุนอีกครั้ง หมอกของที่นี่ก็จางหายไปหมดแล้ว
เมื่อมองจากระยะไกล ตรงกลางของสุสานนั้น หรือก็คือตรงหลุมศพของโจวหยุน ในเวลานี้มีผู้ชายใส่กางเกงขาสั้นนอนอยู่หนึ่งคน
เพิ่งเห็นใครคนนี้ เหล่าเฟิงก็ใจเต้นแรง รีบตะโกนออกมาว่า “ อาจารย์ ! ”
หลังพูดจบแล้ว เหล่าเฟิงก็วิ่งเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง
ส่วนผมกับอาจารย์ ก็จ้องใครคนนั้นตาไม่กระพริบ
รูปร่างของใครคนนั้นเหมือนท่านนักพรตตู๋จริงๆ แม้จะไม่ได้ใส่เสื้อผ้าและกางเกง แต่เราก็มองเห็น
ว่าผิวกายของเขาไม่มีขนสัตว์หรือลักษณะต่างๆของสัตว์แล้ว
หรือจะพูดอีกอย่างว่า สภาพทุกอย่างหลังกลายเป็นปีศาจของท่านนักพรตตู๋ ได้หายไปหมดแล้ว
อย่างน้อยหากมองจากภายนอกแล้ว ท่านนักพรตตู๋ก็ยังมีสภาพเหมือนคนอยู่
พวกเราเร่งฝีเท้า ผ่านไปไม่นานพวกเราก็มาถึงตรงหน้าท่านนักพรตตู๋
เหล่าเฟิงเห็นตัวท่านนักพรตตู๋ไม่ได้มีร่องรอยของปีศาจอยู่ จึงรู้สึกดีใจมาก
เขาประคองตัวท่านนักพรตตู๋ให้ลุกขึ้น หลังจากนั้นก็ตะโกนใส่เขา “ อาจารย์ อาจารย์…… ”
หลังเหล่าเฟิงตะโกนออกมาสองสามครั้งแล้ว ท่านนักพรตตู๋ก็ค่อยลืมตาขึ้น
แต่ในวินาทีที่ท่านนักพรตตู๋ลืมตาขึ้น สีหน้าของพวกเราสามคน ก็เปลี่ยนไปทันที
เพราะพวกเราพบว่า ในวินาทีที่ท่านนักพรตตู๋ลืมตาขึ้น ดวงตาคู่นั้นของเขาผิดไปจากคนธรรมดาอย่างชัดเจน
ดวงตาของท่านนักพรตตู แดงสุดๆราวกับเป็นสีเลือดไม่มีผิด และยังเป็นสีแดงธรรมชาติมาก
และม่านตาของเขา ก็ไม่เหมือนคนทั่วไป มันเป็น “ ดวงตาแนวตั้ง ” ของสัตว์
เมื่อเห็นภาพนี้ ในใจของผมและอีกสองคนที่เหลือก็อดไม่ได้ที่จะมีเสียงดัง “ กึก ” นึกถึง “ ผลที่ตามมา ” ที่ผีผู้ชายพูดไว้เมื่อวานทันที
หรือว่าดวงตาคู่นี้ของท่านนักพรตตู๋ จะเป็นผลตามมาที่ว่า
พวกเราเพิ่งคิดถึงตรงนี้ ท่านนักพรตตู๋ก็มองเห็นพวกเราอย่างชัดเจนแล้ว หลังจากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงงุนงงหน่อยๆ “ ที่ ที่นี่ที่ไหน ? ”
“ อาจารย์ ฟื้นแล้วเหรอ ! ที่นี่คือสุสานข้างอ่างเก็บน้ำ พวกเราพาอาจารย์มาขจัดพิษปีศาจที่นี่ ! ” เหล่าเฟิงพูดด้วยความดีใจ
เหมือนท่านนักพรตตู๋ยังมึนอยู่ เนื่องจากตอนกลายร่างเป็นปีศาจ เขาแทบเสียสติไปทั้งหมด
ดังนั้น พวกเราเลยรีบเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เขาฟังสั้นๆ
พอฟังจบแล้ว ท่านนักพรตตู๋ก็อดรู้สึกซาบซึ้งไม่ได้ “ ลำ ลำบากทุก ทุกคนแล้วจริงๆ ! ”
เหล่าเฟิงส่ายหัว “ ไม่เป็นไรอาจารย์ ตอนนี้อาจารย์รู้สึกยังไงบ้าง ? ”
“ ใช่เหล่าตู๋ นายรู้สึกยังไงบ้าง ? ” ท่านนักพรตตู๋เองก็ย่อตัวลง ถามอาการของท่านนักพรตตู๋
แม้ท่านนักพรตตู๋จะอ่อนแอ แต่ในเวลานี้ก็ยังคลี่ยิ้มออกมา ในเวลาเดียวกันก็พยักหน้าให้พวกเรา
“ อือ ! พอได้ เพียงสิ่งที่มองเห็น เหมือนจะเปลี่ยนเป็นสีแดงทั้งหมด ! ”
ทุกคนขมวดคิ้ว มองออกแล้วว่าทำไมท่านนักพรตตู๋ถึงเป็นแบบนั้น
เพราะดวงตาของท่านนักพรตตู๋ ไม่ได้กลับมาเป็นเหมือนเดิม
นี่เป็นแค่ดวงตาของสัตว์ การมองเห็นย่อมต่างจากคนปกติอยู่แล้ว
แต่ไม่รอให้พวกเราอธิบาย จู่ๆก็มีเสียงเบาๆของผู้หญิงคนหนึ่ง ดังมาจากหลุมศพที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล “ พิษปีศาจในร่างกายท่านนักพรตได้ถูกขับออกมาทางจุดลมปราณทั้งแปดแล้ว แม้จะขับออกมาแล้ว
แต่ดวงตาไม่อาจกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ ดังนั้นดวงตาของท่านนักพรต จะเป็นแบบนี้ตลอดไป ”
จู่ๆเสียงนี้ก็ดังขึ้น ทุกคนจึงหันไปทางเสียงนั้นทันที
ส่วนผมฟังออกตั้งแต่วินาทีแรก เสียงนี้ไม่ใช่เสียงของใครอื่น มันก็คือเสียงของผีผู้หญิงนามโจวหยุน
เมื่อวานคนที่ทำพิธี ก็น่าจะเป็นโจวหยุน
ตอนนี้พอได้ยินคำพูดของโจวหยุนแล้ว ดวงตาคู่นั้นของท่านนักพรตตู ก็คงกลับมาเป็นปกติไม่ได้อีกแล้ว
เพิ่งคิดมาถึงตรงนี้ เหล่าเฟิงก็รีบถามขึ้นมาว่า “ ไม่ทราบว่ายังมีวิธีอื่นอีกไหม ที่จะทำให้ตาอาจารย์กลับมาเป็นเหมือนเดิม ”
“ ไม่มี ! ” โจวหยุนพูดสั้นๆ เธอตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนคลายมาก
เหล่าเฟิงเริ่มท้อขึ้นมาทันที แต่ท่านนักพรตตู๋กลับไม่คิดแบบนั้น เขาลุกขึ้นยืนโดยมีเหล่าเฟิงเป็นคนประคอง หลังจากนั้นก็หันไปทางหลุมศพ แล้วพูดกับโจวหยุนว่า “ ขอบคุณแม่นางมากที่ช่วยชีวิต ถึงต่อไปตาจะเป็นแบบนี้ แต่ข้าก็พอใจมากแล้ว ! ”
หลังพูดจบแล้ว ท่านนักพรตตู๋ยังโค้งตัวให้หลุมศพของโจวหยุน
แต่โจวหยุนกลับหัวเราะออกมา “ ฮ่าๆๆ ” “ ไม่ต้องขอบคุณหรอก ถ้าจะขอบคุณก็ไปขอบคุณติงฝานเถอะ ! ถ้าไม่ได้เป็นเพราะเห็นแก่หน้าเขากับพี่สาว ฉันขี้เกียจเข้ามายุ่งเรื่องพันนี้จะตาย ! ”
พอท่านนักพรตตู๋ได้ยินคำพูดนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะหันมามองหน้าผม
แต่ผมเข้าใจดี หลักๆเลยคือเห็นแก่หน้ามู่หลงเหยียน
ผมไม่กล้ายอมรับว่าตัวเองจะมีเกียรติ ถึงขนาดทำให้โจวหยุนฟังผมได้
แต่ตอนนี้ผมก็ทำมือคารวะไปทางหลุมศพของโจวหยุน “ คราวนี้ขอบใจมากจริงๆ วันหน้าจะต้องมา
เซ่นไหว้ให้ดีๆแน่นอน ! ”
หลังฟังจบ โจวหยุนก็ตอบกลับมาอย่างคนขี้เกียจ “ เรื่องเซ่นไหว้ไม่ต้องแล้ว ศึกใหญ่กำลังจะมาถึง
นายเอาเวลาไปพัฒนาตัวเองเถอะ ! ไม่อย่างนั้นพอถึงเวลานั้นนายจะมาเป็นตัวถ่วงพี่สาวเปล่าๆ ! ”
ศึกใหญ่ที่โจวหยุนพูดถึง น่าจะเกี่ยวข้องกับการล้างแค้นองค์กรตาผี และมันเทียบไม่ได้กับการต่อสู้ในเขาเขี้ยวหมาป่าเมื่อครั้งนั้นเลย
ผมไม่ได้พูดมาก เพียงทำมือคารวะ แล้วตอบกลับว่าได้ !
โจวหยุนหาวสองสามครั้ง เหมือนเธอจะค่อนข้างง่วง “ เอาแบบนี้ก็แล้วกัน ! ฟ้าสว่างแล้ว ฉันก็ง่วงแล้ว
แยกย้ายกันเถอะ ! ”
เสียงเพิ่งเงียบลง พวกเราก็สัมผัสได้ว่าความเย็นที่อยู่รอบๆ ได้หายไปอย่างรวดเร็ว และเสียงของโจวหยุนก็ไม่ได้ดังขึ้นมาอีก
ทุกคนเข้าใจดีว่าโจวหยุน “ ไปแล้ว ” เราเลยไม่คิดจะอยู่ที่นี่ต่อ
ทุกคนรู้สึกซาบซึ้งใจมาก ต่างทำมือคารวะหลุมศพของโจวหยุน หลังจากนั้นถึงได้ประคองท่านนักพรตตู๋ให้หมุนตัวเดินออกไป……