spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
*ตั้งค่าถาวร (คลิกตั้งค่าถาวร) |
ตอนที่ 535 ผ่านด่าน
คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าหูเหมยจะปรากฎตัวขึ้นในเวลานี้ มันเป็นอารมณ์เหมือนฝนตกได้ทันเวลาพอดี !
และการปรากฎตัวครั้งนี้ ยังเป็นหูเหมยในร่างจริงอีกด้วย
ถึงหูเหมยจะเทียบกับปู่หูลิ่วและยายหูชีไม่ได้ แต่เธอก็เป็นจิ้งจอกที่บำเพ็ญจนบรรลุแล้ว มีตบะมากกว่าร้อยปี
หากมีเธออยู่ การทำให้คนธรรมดาไม่กี่คนสับสน เป็นเรื่องง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วย
เห็นได้ชัดว่าผมตื่นเต้นและตกใจมาก ทันใดนั้นผมก็เผลอพูดออกไปว่า “ หูเหมย เธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ? ”
หูเหมยเหลือบตามองผม จากนั้นก็เลื่อนไปมองธูปสั้นในมือผม “ นายเองก็ไม่ได้กำลังจะเรียกพวกเรามาเหรอ ? ”
น้ำเสียงของหูเหมยยังคงเรียบนิ่ง ไม่มีอารมณ์ปะปนอยู่มากนัก
ผมเกาหัว “ ก็ใช่ หูเหมยเธอรีบช่วยพวกเราผ่านด่านเร็ว ถ้าศพในรถโดนจับได้ขึ้นมา ถึงกระโดดลงไปในหวงเหอพวกเราก็ไม่มีวันล้างมลทินได้แน่ ! ”
พอเธอได้ยินผมพูดแบบนั้น ก็พูดขึ้นมาเบาๆ “ วางใจได้ มีฉันอยู่ พวกเราไม่มีทางโดนจับได้แน่ๆ ”
หลังจากพูดจบ หูเหมยก็นั่งนิ่งๆอยู่ข้างๆเบาะคนขับเช่นนั้น
ส่วนเหล่าเฟิงที่อยู่ด้านนอก ได้หยิบซองบุหรี่ออกมาแล้ว
“ พี่ตำรวจ รถพวกเรามีปัญหานิดหน่อย พี่รอก่อนนะ รอหน่อยเดียว…… ” หลังจากพูดจบ เหล่าเฟิงยังยื่นบุหรี่ออกไปด้วยรอยยิ้ม
แต่เหล่าเฟิงไม่เหมาะกับการ “ พูดคุย ” จริงๆ ปกติเขาก็ทำตัวเป็น “ คนเย็นชาพูดน้อย ” ในเวลานี้บอกให้เขาออกไปถ่วงเวลาเอาไว้ก่อน รอยยิ้มของเขาอันนั้นก็ดูฝืนทนยิ่งกว่าอะไรดี
ไม่ว่าจะมองยังไงก็ดูอึดอัดใจ มันแข็งทื่อสุดๆ
ตำรวจไม่สนไก่อ่อนอย่างเหล่าเฟิง “ พวกเราไม่สูบบุหรี่ ! นายไปทางนั้น ให้เราดูว่ารถพวกนายมีปัญหาอะไร คงไม่ได้ขนของเถื่อนมาหรอกนะ ! ”
หลังจากพูดจบ ตำรวจคนนั้นก็จ้องเหล่าเฟิงอย่างดูถูก โบกมือให้ตำรวจนายนึงที่อยู่ด้านหลัง จากนั้นก็เดินเข้ามาทางพวกเราทันที
พอเหล่าเฟิงเห็นแบบนั้น ก็คิดจะเข้าไปขวางไว้
เพราะศพศพนี้ ต้องโดนจับได้แน่ๆ นี่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับครึ่งชีวิตที่เหลือของพวกเรา
แต่ไม่รอให้เหล่าเฟิงได้พูดขึ้นมาอีกรอบ ผมก็เปิดไฟ เปิดกระจก จากนั้นก็ตะโกนไปทางเหล่าเฟิงว่า
“ เหล่าเฟิงเรียบร้อยแล้ว นายกลับมาได้แล้ว ! ”
พอเหล่าเฟิงได้ยินผมพูดแบบนั้น ก็อดอึ้งไปพักนึงไม่ได้
คิดว่าครั้งนี้เชิญเซียนได้เร็วจริงๆ แต่พอได้ยินผมพูดด้วยความมั่นใจแบบนั้น เขาก็ผ่อนคลายลง และอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา
ต่อจากนั้น ตำรวจสองนายนั้นก็มาหยุดอยู่ตรงหน้ากระจกด้านหน้ารถ
ผมเห็นอีกฝ่ายชัดเจนแล้ว เขาคือบอสใหญ่ของตำรวจในตำบลเรา
ดูเหมือนจะชื่อว่าซุนคายเฉียง พวกเราที่นี่ชอบเรียกเขาว่าสารวัตรซุน
แต่เจ้าหมอนี่กับผมไม่เคยคบหาอะไรกัน อย่างมากที่สุดก็แค่รู้ว่าบ้านผมทำธุรกิจกับคนตาย
เมื่อเห็นสารวัตรซุนเดินเข้ามา ผมก็พูดพร้อมรอยยิ้ม “ ท่านสารวัตรซุน ดึกขนาดนี้แล้ว ทำไมยังตั้งด่านอีกละครับ ? ”
ตำรวจที่โดนเรียกว่าสารวัตรซุนกวาดตามองผม “ โห ! ที่แท้ก็เสี่ยวฝานแห่งร้านขายของเช็งเม้งนี่เอง !
ไม่มีอะไรหรอก เบื้องบนสั่งการมา พวกเราก็แค่ทำตามเท่านั้น อ่อใช่ พวกใบขับขี่อะไรนั่น เอามาบันทึกไว้แป๊บนึง แล้วก็ช่วยเปิดประตูหน่อย เราขอตรวจดูแป๊บเดียวก็ได้แล้ว ”
ขณะพูด ตำรวจอีกนายหนึ่งก็เดินมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูรถ
ผมหันไปมองหูเหมยที่นั่งอยู่เบาะหน้า หูเหมยเพียงพยักหน้าเบาๆ เธอไม่ได้พูดอะไรออกมา
แต่ผมสัมผัสได้ลางๆ ว่าหูเหมยปลดปล่อยพลังออกมาอ่อนๆแล้ว
ต่อจากนั้น ผมก็เห็นสารวัตรซุนตัวสั่น และกระพริบตาไปมา
เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ดวงตาของสารวัตรซุน ก็มีบางอย่างเปลี่ยนไป
ในเวลานี้ม่านตาที่เคยเป็นสีน้ำตาลของเขา ได้กลายเป็นสีน้ำตาลอมเหลืองแล้ว มันเป็นเหมือนกับดวงตาของหูเหมยไม่มีผิด
เมื่อเห็นถึงตรงนี้ ผมก็มั่นใจในทันที ว่าหูเหมยได้ลงมือแล้ว
ตอนนี้ สารวัตรซุนต้องมนต์เรียบร้อยแล้ว
ในขณะที่คิดแบบนี้ แต่สีหน้าของผมกลับไม่เปลี่ยนไป ผมยังคงคลี่ยิ้มเช่นเดิม “ ได้ได้ได้ ! ”
หลังจากพูดจบ ผมก็ปลดล็อคประตู จากนั้นก็รีบเอาใบขับขี่ออกมา ยื่นให้สารวัตรซุน
สารวัตรซุนรับมาดูแวบหนึ่ง จากนั้นก็ตรวจสอบตัวตนของผม
จากภาพลักษณ์ภายนอก เขาเป็นเหมือนกับคนปกติ เพียงเข้าใกล้เท่านั้นถึงจะพบว่า ดวงตาของสารวัตรซุนเปลี่ยนไป
ส่วนตำรวจอีกนาย หลังจากเปิดประตูด้านหลังแล้ว ก็เข้ามาตรวจสอบในรถทันที
ส่วนศพผู้หญิงศพนั้น ก็อยู่ติดกับที่นั่งคนขับของผม
อย่าว่าเข้ามาตรวจในรถเลย แค่ยื่นหัวเขามา ก็เห็นแล้ว
ผมกังวลสุดๆ คอยมองทุกอย่างผ่านกระจกมองหลัง
แต่ผมกลับต้องแปลกใจ หลังตำรวจนายนั้นเข้ามาแล้ว เขากลับไม่เห็นศพแม้แต่น้อย ราวกับศพนั้นกำลังล่องหนอยู่
มันชัดเจน หูเหมยได้ร่ายมนต์ใส่อีกฝ่าย ตั้งแต่ก่อนที่เขาจะเข้ามาในรถแล้ว
ตอนนี้ตำรวจทั้งสองนายนี้ เหมือนกับคนปกติทุกอย่าง แต่ในความจริงแล้วพวกเขาได้หลงเข้าไปในภาพลวงตาแล้ว
ดวงตาของพวกเขา ได้เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอมเหลืองเรียบร้อยแล้ว
ก่อนจะหลุดพ้นจากสถานการณ์แบบนี้ ในสายตาของเขา ต้องไม่มีศพผู้หญิงคนนี้อยู่อย่างแน่นอน
อีกฝ่ายตรวจรถผมอยู่พักหนึ่ง หลังจากนั้นก็ลงไปจากรถ
สารวัตรซุนเห็นลูกน้องของตัวเองลงมาจากรถ และไม่ได้แสดงท่าทีใดๆออกมา จึงส่งใบขับขี่คืนผม
แล้วพูดว่า “ ไปได้แล้วๆ ! ”
หลังจากพูดจบ เขาก็โบกมือให้จุดตรวจ ต่อจากนั้นก็มีคนมาเอารั้วกั้นออก ตัวยึดบนหลังคาก็โดนถอดออก
ผมเห็นว่าปลอดภัยแล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา จากนั้นก็รีบสตาร์ทรถทันที “ ขอบคุณครับสารวัตรซุน ! ”
หลังจากพูดจบ ผมก็ส่งสัญญาณให้เหล่าเฟิงขึ้นรถ
เหล่าเฟิงเองก็ไม่รอช้า รีบเข้าไปนั่งที่เบาะหลังทันที
ต่อจากนั้น ผมก็ขับรถตรงเข้าไปในตำบลชิงฉือทันที
ส่วนสารวัตรซุนและตำรวจอีกนาย หลังจากพวกเราขับออกไปแล้ว จู่ๆพวกเขาก็ตัวสั่น และมึนหัวอยู่พักหนึ่ง
เสี้ยววินาทีต่อมา ดวงตาที่เคยเป็นสีน้ำตาลอมเหลืองของพวกเขา ก็กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง……
หลังขับผ่านด่านตรวจมาแล้ว หัวใจที่เคยเต้นรัวของผมก็กลับมาสงบอีกครั้ง
ผมและเหล่าเฟิง ต่างถอนหายใจออกมายาวๆ
คิดว่าพวกทางการ น่ากลัวยิ่งกว่าวิญญาณร้ายซะอีก
พวกเราเพิ่งถอนหายใจออกมา หูเหมยก็พูดกับผมและเหล่าเฟิงว่า “ พวกนายสองคนไปไหนมา ?
ถึงได้เอาศพกลับมาอีกละ ? ”
พอได้ยินหูเหมยพูดแบบนั้น ผมก็ถอนหายใจอีกรอบ “ เสี่ยวเหมย เธอคงไม่รู้ คืนนี้พวกเราไปเจอคนชั่วคนหนึ่งมาอีกแล้ว…… ”
“ คนชั่ว ? หรือว่าจะเป็นสาวกของสำนักลื่อเย่ ? ” หูเหมยขมวดคิ้ว ท่าทางดูค่อนข้างโมโห
ที่ซี่โครงเธอหักเป็นเพราะเจ้าปีศาจชั่วนั่น ตอนนี้เธอยังรู้สึกเจ็บอยู่หน่อยๆอยู่เลย
พอได้ยินคำว่าคนชั่ว เธอก็โมโหขึ้นมาเป็นธรรมดา
ผมส่ายหัว “ ไม่ใช่ แค่หมอผีชั่วคนหนึ่ง เก่งเรื่องเลี้ยงผี แถมร้ายกาจมากด้วย ”
“ ศพผู้หญิงที่อยู่ข้างหลัง ก็คือนายจ้างของเขา เธอจ้างหมอผีมาฆ่าเพื่อนฉัน สุดท้ายพาตัวเองไปตายแทน
ฉันไม่มีทางเลือก เลยต้องเอาศพเธอกลับมากำจัด ไม่งั้นปัญหาได้มาหาถึงที่แน่…… ”
ผมอธิบายสั้นๆ เล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้หูเหมยฟัง
หลังฟังจบ ผมก็ถามหูเหมยอีกรอบ “ เสี่ยวเหมย ทำไมเธอถึงรู้ว่าฉันจะจุดธูปละ ? ก่อนหน้านี้ฉันยังไม่ทันได้จุดธูปเลย เธอก็มาหาแล้ว…… ”
พอหูเหมยได้ยินผมถามแบบนั้น ก็อดกลอกตาไม่ได้ “ ฉันกำลังหาอะไรกินอยู่แถวนี้ บังเอิญเห็นรถนายผ่านมาพอดี แถมในรถนายมีกลิ่นศพแรงขนาดนั้น เห็นได้ชัดว่าต้องมีอะไรอยู่แน่ๆ อาศัยแค่ฝีมือกระจอกๆของพวกนาย จะหลบสายตาพวกตำรวจได้งั้นเหรอ ? ดังนั้นฉันเลยต้องมาลงมือเองไง ! ”
นี่ก็สมเหตุสมผมแล้ว ผมก็ว่าอยู่อะไรจะบังเอิญขนาดนั้น ในขณะที่ผมกำลังจุดธูป หูเหมยก็เข้ามาในรถแล้ว
ที่แท้เธอก็หาอะไรกินอยู่แถวนี้ และตัวเธอก็เป็นสัตว์ มีประสาทสัมผัสเร็วผิดปกติ สามารถรับรู้ได้ว่าในรถของผมผิดปกติไป และยังมองว่าพวกผมห่วย เลยออกมาช่วยนี่เอง
ผมอดรู้สึกซาบซึ้งใจไม่ได้ แล้วสุดท้ายก็พูดขอบคุณกับหูเหมย
แต่หูเหมยกลับไม่สนใจผม หลังเข้าตัวตำบลแล้ว เธอก็ลงไปจากรถ แล้วจากนั้นก็หายตัวเข้าไปในความมืดทันที
ส่วนพวกเรา ก็ขับไปที่สุสานต่อ
เมื่อมาถึงหน้าสุสาน เราก็เห็นเหล่าฉินถือไม้เท้า ยืนรอพวกเราอยู่เงียบๆ……