spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
*ตั้งค่าถาวร (คลิกตั้งค่าถาวร) |
ตอนที่ 481 ข่าวดีข่าวร้าย
จู่ๆก็ได้ยินมู่หลงเหยียนพูดแบบนั้น ผมเลยอดตกใจไปพักนึงไม่ได้
เพราะน้ำเสียงของมู่หลงเหยียนฟังดูโทษตัวเองหน่อยๆ ตัวเธอก็ดูจะเศร้าอยู่พอสมควร
จับหรือฆ่าเจ้าบอสหลิงเทียนนั่นไม่ได้ ถือเป็นอะไรที่น่าเสียดายมาก
แต่เมื่อเป็นแบบนั้นแล้ว ผมก็ไม่แสดงสีหน้าใดๆ หรือแม้แต่บ่นออกมา
สำหรับผม หากไม่ได้มู่หลงเหยียนช่วยเอาไว้ อย่าว่าจะเอาชนะสาวกสำนักลื่อเย่พวกนี้ได้เลย พวกเราคงตายไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว
ผมส่ายหน้า แล้วพูดกับมู่หลงเหยียนว่า “ คราวนี้ต้องขอบคุณที่เธอออกมาทันเวลา ที่เจ้าหมอนั้นหนีไปได้ ถือว่ามันดวงแข็ง คราวนี้ พวกเราต้องขอบคุณเธอมากๆ มีอะไรต้องขอโทษกันด้วยละ ”
พอมู่หลงเหยียนได้ยินผมพูดแบบนั้น เธอก็ยังพูดกับผมด้วยน้ำเสียงซีเรียสเหมือนเดิม “ ถ้าคราวหน้าเจอมัน ฉันจะต้องช่วยจับมาให้นายแน่ๆ ! ”
“ อือ ได้ ” ผมหัวเราะฮ่าๆ
ส่วนมู่หลงเหยียนกลับเปลี่ยนหัวข้อ “ นายเป็นไงบ้าง ? บาดเจ็บหนักไหม ? ”
“ ไม่เป็นไร แผลเล็กน้อยทั้งนั้น แค่ก่อนหน้านี้นางพญามาสถิตร่าง เลยใช้พลังไปจนหมด ตอนนี้เลยค่อนข้างล้าน่ะ ” ผมพูดตามความจริง
หลังมู่หลงเหยียนได้ยินผมพูดแบบนั้น เธอก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาพอสมควร
หลังจากนั้นผมก็เห็นมู่หลงเหยียนกวาดสายตามองรอบๆ แล้วกลับมาพูดกับผมต่อ “ เจ้าเตานี่ น่าจะเป็นเตาที่ใช้หลอมยาจากคนเป็นๆ ที่นายเล่าให้ฟังครั้งก่อนซินะ ? ”
“ อือ ! ใช่ ”
“ ใหญ่จริงๆนั่นแหละ ! ไม่รู้เลยนะเนี่ยว่ามันจะใหญ่ขนาดนี้ ยาที่หลอมออกมา จะมีฤทธิ์ยังไงบ้างนะ ! ”
มู่หลงเหยียนดูสงสัยพอควร
แต่ผมรู้เรื่องที่ไหนละ จึงได้แต่พูดต่อ “ เรื่องนี้ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ฉันได้ยินมันเรียกว่าโอสถโลหิตศพ ”
“ โอสถโลหิตศพ ? ฟังจากชื่อแล้วคงไม่ใช่ของดีอะไร ! ” มู่หลงเหยียนพูดพร้อมขมวดคิ้ว
“ น่าจะเป็นงั้น ตอนนี้เจ้านี่ตกอยู่ในมือพวกเราแล้ว ต้องคิดหาวิธีกำจัดมัน พอถึงตอนนั้นฉันจะรอดูว่าเจ้าสำนักชั่วนั่นจะหลอมยายังไง ” ผมพูดในขณะจ้องเตาหลอมยา
มู่หลงเหยียนพยักหน้าเล็กน้อย “ เรื่องนี้นายจัดการเถอะ อือใช่ ฉันมีข่าวดีจะบอกนายด้วยนะ ! ”
“ หือ ข่าวดีอะไร ? ” ผมพูดด้วยความสงสัย
“ อือ ! ยังจำหินลี่ลั่วที่นายเอากลับมาครั้งก่อนได้ไหม ? ”
หินลี่ลั่ว เรื่องนี้ผมต้องจำได้อยู่แล้ว
นั่นเป็นสิ่งที่เหล่าเฟิงแลกมาด้วยชีวิต เป็นของที่พวกเราเสี่ยงชีวิตเอากลับมา
ผมพยักหน้าเบาๆ จากนั้นมู่หลงเหยียนก็คลี่ยิ้มออกมา แล้วพูดต่อ “ เดิมทีคิดว่าจะบอกนายพรุ่งนี้ แต่คิดไม่ถึงว่าคืนนี้จะได้มาอยู่ที่นี่ ”
“ ก่อนที่ฉันจะมา พวกเราใช้เจ้าหินลี่ลั่วก้อนเล็กๆก้อนนั้น แล้วก็มีน้ำลี่ลั่ว ทดลองปลูกหญ้าหยินฉ่าวชุดแรก และผลที่ออกมาคือเราสามารถรักษาวิญญาณที่ไม่มีที่มาของวิญญาณได้สำเร็จ ตอนนี้พวกเราได้ความรู้ขึ้นมาอีกหน่อย ขอแค่มีหินลี่ลั่วก้อนนั้นอยู่ ต่อไปก็ยังสามารถปลูกหญ้าหยินฉ่าสได้อีกเยอะ ”
พอได้ยินคำพูดนี้ ในใจผมก็อดมีเสียงดัง “ กึก ” ไม่ได้ นี่มันเป็นเรื่องที่ดีจริงๆ
ตอนนี้ปลูกชุดแรกได้แล้ว ชุดสอง ชุดสามก็คงอยู่อีกไม่ไกล……
ใบหน้าเปื้อนยิ้ม “ จริงเหรอ ? แบบนั้นก็เยี่ยมไปเลย ”
ถ้าเป็นแบบนั้น อันตรายทั้งหมดที่พวกเราเผชิญ ความทุกข์ทรมานทั้งหมดที่ต้องแบกรับ ในการเดินทางไปเขาเขี้ยวหมาป่า ก็ไม่ได้สูญเปล่าไปทั้งหมด
ต่อไป พวกหุ่นเชิดที่ออกมาจากองค์กรตาผี
เช่นพวกมู่หลงเหยียน ก็จะไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีหญ้าหยินฉ่าวให้ใช้อีกแล้ว และเรื่องวิญญาณไม่เสถียร
หรือวิญญาณแตกสลายด้วย
“ อือ ! พอมีหญ้าหยินฉ่าวชุดแรกแล้ว ต่อไปพวกเราก็จะปลูกหญ้าหยินฉ่าวได้มากกว่าเดิม แบบนี้พวกเราก็จะมีเวลาสู้กับองค์กรตาผีได้มากกว่าเดิม ฉันเชื่อว่าต้องมีสักวัน ที่จะกำจัดพวกมันได้สิ้นซาก แก้แค้นทุกสิ่งที่พวกมันเคยทำเอาไว้ ! ” มู่หลงเหยียนดูดีใจมาก
ผมรู้สึกได้ เพราะปลูกหญ้าหยินฉ่าวสำเร็จ ท่าทีที่มู่หลงเหยียนปฏิบัติต่อผม เลยดูเหมือนจะดีกว่าเมื่อก่อนมาก
อาจเป็นเพราะเรื่องนี้ ตอนไล่ตามหลิงเทียนไป และทำให้เขาหนีไปได้ มันเลยทำให้เธอเสียใจ รู้สึกเหมือนติดหนี้ผม
เนื่องจากทั้งน้ำลี่ลั่วและหินลี่ลั่ว ล้วนเป็นสิ่งที่พวกเราเสี่ยงอันตรายเอาออกมาจากรังศัตรูในเขาเขี้ยวหมาป่า
หากไม่มีพวกเรา หากพวกเธอคิดจะเอาของพวกนี้ออกมา หรือแม้แต่คิดจะเข้าไป มันก็คงเป็นไปไม่ได้ด้วยซ้ำ
หรืออาจเป็นเพราะมีความคิดแบบนี้อยู่ หรือพวกเราสองคนรู้จักกันมานานพอสมควรแล้ว
แต่ไม่ว่ายังไง ตอนนี้เวลามู่หลงเหยียนเห็นหน้าผม รอยยิ้มบนใบหน้าเธอก็มีเยอะกว่าเมื่อก่อนมาก
และยังไม่ได้ทำตัวเย็นชาเหมือนเมื่อก่อนด้วย
ขณะมองมู่หลงเหยียนยิ้ม ผมเองก็ฉีกยิ้มตามเธอ แต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไรออกมาดี
ส่วนมู่หลงเหยียนกลับพูดกับผมว่า “ เจ้ากาก ต้องขอบใจนายมาก เราถึงปลูกหญ้าหยินฉ่าวสำเร็จได้
ครั้งนี้ฉันจับตัวเจ้าปีศาจชั่วนั่นไม่ได้ แต่ต่อไปฉันต้องช่วยจับมันมาให้ได้แน่นอน ”
ขณะมองมู่หลงเหยียนขอบคุณผมด้วยสีหน้าจริงจัง ผมก็รู้สึกไม่ชินอยู่หน่อยๆ
ผมเกาหัวตามเคย “ เอ่อ เอ่อเรื่องเล็กน่า ถ้าไม่ใช่เพราะเธอ ฉันคงตายไปตั้งนานแล้ว เรื่องแบบนี้
จะขอบคุณอะไรกัน ! ส่วนเจ้าปีศาจนั่น มันต้องได้รับผลกรรมของตัวเองอย่างแน่นอน ”
พอมู่หลงเหยียนเห็นผมเป็นแบบนั้น “ ฮ่าๆ ” เธอก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “ ตกลง ! งั้นฉันไม่ขอบใจนายแล้ว แต่หลังนายกลับไปแล้ว ต้องไปหาฉันที่บ้านด้วยนะ ฉันมีของจะให้ ”
“ ของ ? ของอะไร ? ” ผมพูดด้วยความสงสัย
มู่หลงเหยียนกลับส่ายหัวเบาๆ “ ของตอนที่ฉันมีชีวิต ! ”
“ ของตอนที่เธอยังมีชีวิต ? ” ผมทำหน้าสงสัย ความอยากรู้อยากเห็นพุ่งสูงกว่าเดิมทันที
แต่มู่หลงเหยียนแค่พยักหน้าให้ ไม่ได้ตอบกลับ
เดิมทีผมอยากจะถามต่อ แต่ร่างของมู่หลงเหยียนกลับเริ่มเลือนลาง
ในเวลานี้ได้ยินเสียงมู่หลงเหยียนพูดแค่ว่า “ โอเค เวลาของฉันจะหมดแล้ว จำไว้พอกลับไปแล้ว
อย่าลืมมาหาฉันที่บ้านนะ ฉันไปก่อนละ ! ”
หลังจากพูดจบ มู่หลงเหยียนที่เคยยืนอยู่ตรงหน้าผม ก็มีเสียงดัง “ ปัง ” ร่างเธอระเบิดกลายเป็นควัน
และจางหายไปในที่สุด
ขณะมองร่างมู่หลงเหยียนหายไป ผมก็อดสูดหายใจเข้าลึกๆไม่ได้
วันนี้ผมรู้สึกว่ามู่หลงเหยียนทำตัวเป็นมิตรกับผมมากกว่าเมื่อก่อน หรือจะบอกว่าเธอดูอ่อนโยนกว่าเดิม
ไม่เย็นชากับผมแล้ว
ความรู้สึกแบบนี้มันวิเศษมาก ผมรับรู้ได้ ว่าระยะห่างระหว่างผมกับเธอขยับเข้าใกล้กันขึ้นเรื่อยๆ
อาจไม่ถึงขั้นความสัมพันธ์ของชายหญิง แต่ผมก็คิดว่ามันคงอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแล้ว
พอคิดถึงเรื่องอื่นแล้วก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที เห็นอยู่ชัดๆว่านั่นเมียตัวเอง แต่พอเจอหน้าเธอแล้ว
ผมกลับมีความรู้สึกตื่นเต้นและหัวร้อนเหมือนกำลังตามจีบสาว……
มู่หลงเหยียนเพิ่งหายไปพักหนึ่ง ปู่หูลิ่ว ยายหูชีและหูเหมยก็กลับมา พวกเขาวิ่งมาพร้อมร่างจิ้งจอก
เมื่อเข้ามาในโกดัง พวกเขาก็สะบัดตัว กลายร่างเป็นมนุษย์
พวกเขาเห็นผมกำลังยืนพิงเตาหลอมยาอยู่ จึงรีบเดินเข้ามาหาทันที
“ ชูหม่า ตอนนี้รู้สึกยังไงบ้าง ? ” ปู่หูลิ่วชิงพูดคนแรก
ผมเห็นพวกเขาสามคนกลับมาแล้ว เลยพยายามยืนขึ้นอีกครั้ง
ผมฉีกยิ้มให้ปู่หูลิ่ว “ ปู่หูลิ่ว ผมไม่เป็นอะไร ตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว ”
“ ร่างกายจินถงดีกว่าคนทั่วไปจริงๆ หลังโดนเจ้าแม่สถิตร่างแล้ว ก็กลับมายืนได้เร็วถึงขนาดนี้ เป็นอะไรที่หายากจริงๆ ! ” ยายหูชีพยักหน้าเบาๆ เธอดูชอบร่างกายของผมมาก
ผมยิ้มแล้วถามสถานการณ์ข้างนอกเป็นยังไงบ้าง ปู่หูลิ่วและยายหูชีเล่าให้ผมฟังสั้นๆ
บอกว่าพวกสาวกพวกนั้นวิ่งป่าราบ ไปคนละทิศละทาง
พวกเราคนน้อย ตามไล่ฆ่าไม่ทันอยู่แล้ว
ดังนั้นจากสาวกนับร้อย น่าจะมีคนหนีไป 70-80 ได้
“ 70-80 คน ! ” ผมอดตกใจไม่ได้
หนีไปได้เยอะขนาดนั้น แถมตัวหัวหน้ายังหนีไปได้ ถึงพวกเราจะทำลายฐานนี้ให้สิ้นซาก มันก็ไม่มีความหมายเท่าไหร่
เพราะพวกมันอาจรวมตัวกันใหม่ แล้วกลับมาสร้างฐานในที่ที่ลับตามากกว่าเดิม
ถ้าเป็นแบบนั้น คราวนี้นอกจากพวกเราจะทำลายเตาหลอมยาที่ได้แล้ว ก็ไม่ได้ทำตามเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ได้
หรือแม้แต่ความวุ่นวายในวันนี้ จะทำให้พวกเราเข้าไปอยู่ในบัญชีดำของสำนักลื่อเย่ด้วย
หากวันใดสำนักลื่อเย่ของพวกมันกลับมาอีกครั้ง พวกเราจะต้องโดนคิดบัญชีเป็นรายแรกแน่ๆ……