spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
*ตั้งค่าถาวร (คลิกตั้งค่าถาวร) |
ตอนที่ 473 ร่วมมือกัน
ผมพูดรวบรัดมาก และรีบเล่าสาเหตุของเรื่องและเป้าหมายของตัวเองให้พวกเขาฟังหนึ่งรอบ
หลังปู่หูลิ่วและยายหูชีฟังจบ ดวงตาก็หลี่ลงจนกลายเป็นเส้นตรง
สุดท้ายก็ได้ยินปู่หูลิ่วพูดกับยายเจ็ดว่า “ น้องเจ็ด นี่คงเป็นสำนักชั่วที่เจ้าแม่พูดถึง ! ”
ยายหูชีพยักหน้าเล็กน้อย “ น่าจะใช่ ”
หลังจากพูดจบ ยายหูชีก็หันมาพูดกับผมอีกครั้ง “ จินถง ครั้งก่อนที่เจ้าแม่ปรากฎตัว เพราะเรื่องนี้หรือเปล่า ? ”
เมื่อได้ยินยายหูชีพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังแบบนั้น ผมก็รีบตอบกลับทันที “ ใช่ครับ ยายเจ็ด คราวก่อนพวกเราโดนปีศาจหลายสิบตนล้อม โชคดีที่เจ้าแม่ปรากฎตัวทัน ไม่อย่างงั้นศิษย์กับอาจารย์ของศิษย์ ต้องจบชีวิตกันตรงนั้นแน่นอนครับ ! ”
หลังยายหูชีฟังผมพูดจบ เธอก็พยักหน้าอีกครั้ง “ ดี ! ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นยายเจ็ดและปู่หูลิ่วของเจ้า
ก็จะไปเป็นเพื่อนเจ้าสักครั้ง ”
ผมตกใจ เผยสีหน้าตื่นเต้นออกมา แล้วรีบทำมือคำนับขอบคุณทันที “ ขอบคุณปู่หูลิ่วและยายเจ็ดมากครับ
นี่เป็นของที่ศิษย์เอามาคารวะ โปรดรับไว้ด้วยครับ ”
ปู่หูลิ่วหัวเราะ “ ฮ่าๆ ” “ หิวจริงๆนั่นแหละ เอามาเถอะ ! กินอิ่มท้องแล้วพวกเราค่อยเดินทางเนาะ ! ”
หลังจากพูดจบ ปู่หูลิ่วก็ตัวสั่น กลายร่างเป็นชายชราคนหนึ่ง
แต่ดูจากอายุแล้ว เขากลับดูมีพละกำลังเป็นพิเศษ ดวงตาเป็นประกาย และทรงพลัง
นอกจากปู่หูลิ่วแล้ว ยายเจ็ดที่อยู่ข้างๆก็แปลงกายเช่นกัน
แต่หลังจากยายเจ็ดแปลงกายแล้ว เธอกลับไม่ใช่ยายแก่ แต่เป็นสาวสวยวัยกลางคนคนหนึ่ง
เธอเป็นผู้หญิงที่สวยมาก ร่างกายอวบเว่อร์ และยังมีเสน่ห์ของจิ้งจอกเล็กน้อย
ผมรีบถอยไปข้างหลังหนึ่งก้าว จากนั้นก็พูดกับปู่หูลิ่วและยายเจ็ดว่า “ เชิญ เชิญเลย…… ”
ปู่หูลิ่วและยายเจ็ดเองก็ไม่เกรงใจ รีบเข้ามาจับไก่ตัวผู้ไปคนละตัว
แล้วอ้าปาก เผยให้เห็นเขี้ยวที่คมกริบ ขนไก่ยังไม่ทันดึงออก พวกเขาก็กัดไปที่คอของไก่ทันที
ไก่ตัวผู้พวกนั้นดิ้นทุรนทุรายสองสามครั้ง จากนั้นก็ไม่หายใจอีก
ในขณะที่ปู่หูลิ่วและยายเจ็ดกำลังเพลิดเพลินกับอาหาร เสี่ยวเหมยกลับยังหน้าบึ้งอยู่
เหมือนไก่ตัวผู้จะไม่ส่งผลกับเธอแต่อย่างใด ถึงตอนนี้แล้วเธอก็ยังไม่แปลงกายลุกมากิน
เมื่อเห็นแบบนั้น ผมก็ยกไก่ตัวนึง ไปไว้ตรงหน้าเสี่ยวเหมย “ เสี่ยวเหมย กินซิ ! ”
เสี่ยวเหมยเหลือบมองผมแวบหนึ่ง แต่สุดท้ายก็เค้นเสียงดัง “ ฮึ ” แล้วอ้าปากงับคอไก่ตัวนั้น
สำหรับเผ่าจิ้งจอก ผมค่อนข้างรู้จักดีทีเดียว
หลังแปลงกายเป็นมนุษย์แล้ว พวกเขาจะดูดีพอสมควร แม้แต่ปู่หูลิ่วที่แปลงกายเป็นคนแก่ ก็ยังจัดอยู่ในประเภทคนแก่ที่หล่อเหลา
แต่ตอนพวกเขากินอาหาร สภาพตอนกินแบบนั้นทำให้ผมไม่กล้าเอ่ยชมจริงๆ
ปากเต็มไปด้วยเลือดสดๆ ขนไก่เต็มปาก ฉีกร่างเหยื่ออย่างไม่ใยดี เป็นฉากนองเลือดดีๆนี่เอง
หากคนทั่วไปมาเห็น ต้องอ้วกออกมาแน่ๆ
แต่สำหรับผม ฉากนี้เป็นสิ่งที่ผมชินชานานแล้ว และแทบไม่ได้มีอาการใดๆออกมา
ผ่านไปพักหนึ่ง หลังพวกเขากินอิ่มแล้ว ผมก็เห็นยายเจ็ดเช็ดปาก จากนั้นก็พูดกับผมว่า “ เสร็จแล้วจินถง พวกเราอิ่มแล้ว ออกไปกันได้แล้ว ! ”
ปู่หูลิ่วเองก็พยักหน้า ส่วนหูเหมยยืนอยู่ข้างๆ ไม่ได้พูดอะไร
ผมเองก็ไม่ลังเล ตอบยายหูชีว่า “ ครับ ” จากนั้นเซียนจิ้งจอกทั้งสามตน ก็เดินออกมาจากศาลเจ้าหลักเมืองด้วยร่างมนุษย์
ที่นี่อยู่ห่างจากร้านผมไม่ไกลมาก บวกกับพวกเขากลายร่างเป็นมนุษย์ เลยไม่ผิดข้อห้ามใดๆ
ผมเดินนำพวกเขา ผ่านไปไม่นานผมก็พาปู่หูลิ่ว ยายหูชี และเสี่ยวเหมยมาที่ร้าน
เพิ่งถึงหน้าประตู ฉู่ยเฉิงจิงก็เห็นพวกเรา
พอยัยนี่เห็นเสี่ยวเหมย เธอก็ดีใจขึ้นมาทันที
เพราะเดินทางไปที่เขาเขี้ยวหมาป่าด้วยกัน และเธอกับเสี่ยวเหมยยังเข้ากันได้ดีมาก
ผลลัพธ์เพิ่งเจอหน้ากัน ฉู่ยเฉิงจิงก็ดีใจ รีบโบกมือให้เสี่ยวเหมยทันที “ เสี่ยวเหมย เสี่ยวเหมย…… ”
เสี่ยวเหมยเองก็เห็นฉู่ยเฉิงจิง ทันใดนั้นท่าทางเย็นชาดุจน้ำแข็งของเธอ ก็มีรอยยิ้มปรากฎขึ้นมาทันที “ จิงจิง ! ”
ขณะพูด เสี่ยวเหมยก็วิ่งเข้าไปหา เหมือนสองคนนี้เป็นเพื่อนสนิทที่ไม่ได้เจอหน้ากันนานแล้ว
เพิ่งเจอหน้าก็จับมือ และหัวเราะกันคิกคัก
ปู่หูลิ่วและยายหูชีหันมามองหน้ากันพักหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เพียงเดินตามผมเข้าไปข้างในเท่านั้น
แต่ตอนที่ผมเข้าไปในบ้าน กลับพบว่าในบ้านมีคนเพิ่มมาอีกสามคน คือท่านนักพรตตู๋ เหล่าเฟิงและเหล่าฉิน
พวกเขารู้ข่าวหลังผมออกจากบ้าน และมารออยู่ที่นี่นานแล้ว
ท่านนักพรตตู๋ เหล่าเฟิงและคนอื่นๆ ก็รู้เรื่องสำนักลื่อเย่เฉิน ตั้งแต่ที่พวกเราหนีรอดจากสาวกสำนักลื่อเย่เฉินนั่นได้แล้ว
ตอนนี้ผู้อาวุโสสำนักเหมาชานและอู่ตัง ก็มาเตรียมจะกำจัดสาขาสำนักลื่อเย่เฉินนี่แล้ว
พวกท่านนักพรตตู๋ ไม่ยอมอยู่เฉยๆอยู่แล้ว
ผมมองตาเหล่าเฟิงแวบหนึ่ง หน้าเจ้านี่ยังเย็นชาหน้าตายด้านไม่มีผิด แต่อย่างน้อยเขาก็ยังพยักหน้าให้ผม
ถือเป็นการทักทายกันก็ว่าได้
ผมเองไม่ได้พูดจาไร้สาระ พยักหน้าให้เขาเช่นกัน จากนั้นก็พาปู่หูลิ่วและยายหูชีเข้าไปข้างใน
พวกเราเพิ่งเข้ามาข้างใน สายตาของคนอื่นก็จับจ้องมาที่ร่างของพวกเราแล้ว
ผมเห็นทุกคนหันมามองกันหมด เลยไม่ลังเล แนะนำให้ทุกคนรู้จักทันที “ ผู้อาวุโสทุกท่าน สองท่านนี้คือเซียนผู้อาวุโสที่ผู้น้อยเชิญมา ท่านนี้คือปู่หูลิ่ว ท่านนี้คือยายหูชี ”
ผมแนะนำแบบจริงจังสุดๆ ปู่หูลิ่วและยายหูชีเองก็ไม่วางท่า เป็นเหมือนนักพรตอย่างเราๆ พวกเขาทำมือคำนับทุกคนในบ้าน
จากนั้น ผมก็รีบแนะนำนักพรตหวังและนักพรตเฉินให้ปู่หูลิ่วและยายหูชีรู้จัก ในเวลาเดียวกันก็แนะนำให้ยายเจ็ดรู้จักกับอาจารย์ผมและคนอื่นๆด้วย
เมื่อทำแบบนี้แล้ว ทุกคนก็ถือว่ารู้จักกันแล้ว
ตอนนี้ ได้ยินเพียงหวังเฉิงกานผู้อาวุโสแห่งสำนักอู่ตังพูดกับปู่หูลิ่วและยายหูชีว่า “ ครั้งนี้ท่านเซียนทั้งสองยินดีออกมาจากเขามาช่วยเหลือ ข้ารู้สึกเป็นเกียรติมากจริงๆ ”
“ ฮ่าๆๆ ! นักพรตหวังเกรงใจไปแล้ว เรื่องของชูหม่าก็คือเรื่องของพวกเรา อีกอย่างเจ้าสำนักชั่วนี่ก็เป็นภัย
ถึงเราจะเป็นจิ้งจอก แต่ก็มีหน้าที่ทำคุณแทนสวรรค์ ” ปู่หูลิ่วตอบกลับเป็นชุด
พอนักพรตเฉินจื่ออี้ที่อยู่ข้างๆได้ยินแบบนั้น ก็พูดต่อทันที “ ตอนนี้ก็เย็นมากแล้ว ในเมื่อมาครบแล้ว
พวกเราก็ออกเดินทางกันเถอะ ! หลังสอดแนมศัตรูให้แน่ชัดแล้ว เราก็จะลงมือกันคืนนี้เลย ”
ทุกคนมาเพื่อเจ้าสำนักลื่อเย่เฉินนี่ทั้งนั้น หลังได้ยินนักพรตเฉินพูดแบบนั้น แต่ละคนต่างพยักหน้าตกลงทันที
ต่อจากนั้น ทุกคนก็ไม่มัวลีลา หยิบอาวุธของตัวเอง แล้วออกไปทันที
เพราะพวกเรามีทั้งหมด 12 คน ดังนั้นนอกจากรถผมแล้ว เหล่าฉินยังไปขับรถขนศพออกมาจากสุสานด้วย
หลังจากนั้นรถของพวกเราทั้งสองคน ก็พาทุกคนมาที่ฐานที่มั่นของเจ้าสำนักชั่วนั่นในเขตชานเมือง
หรือก็คือไปที่บริษัทหมิงโลจิสติกส์
หลังจากนั้นประมาณสองชั่วโมงกว่าๆ พวกเราก็ทิ้งระยะห่างจากบริษัทหมิงโลจิสติกส์ประมาณ 500 เมตร จอดรถจากนั้นก็เอารถไปซ่อนไว้
เมื่อลองมองดูเวลา ตอนนี้ 6 โมงเย็นแล้ว
เมื่อเห็นทุกคนอยู่ครบ ผมก็อธิบายที่ตั้งของบริษัทหมิงโลจิสติกส์ให้ทุกคนฟังอย่างละเอียด
ทุกคนคิดว่าควรเดินเข้าไปตามทางไหล่เขาที่อยู่ด้านข้าง
เหมือนกับที่ผมและอาจารย์ทำเมื่อครั้งที่แล้ว หนึ่งจะไม่โดนจับได้ง่ายๆ และสองยังแอบเข้าไปได้ง่ายๆด้วย
ดังนั้น พวกเราเลยออกจากถนนหลัก เข้ามาตามทางไหล่เขาที่อยู่ข้างๆ
ถึงป่าของที่นี่จะไม่เขียวชอุ่ม แต่ก็ยังมีทางลาดที่เอาไว้ใช้เป็นที่กำบังตัวได้ ยังไงก็ไม่น่าจะโดนจับได้ง่ายๆ
หลังตัดสินใจเสร็จ ผมและอาจารย์ก็เริ่มพาทุกคนแอบเข้าไปอย่างระมัดระวัง ค่อยๆเข้าใกล้เจ้าบริษัทที่ดูเหมือนจะทำการค้าเกี่ยวกับการขนส่ง แต่แท้ที่จริงแล้วมันคือฐานที่มั่นของสำนักชั่ว……