spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
*ตั้งค่าถาวร (คลิกตั้งค่าถาวร) |
ตอนที่ 471 ฐานะที่น่าตกใจ
ผู้อาวุโสทั้งสองตั้งใจฟังอย่างละเอียด เพราะกลัวว่าตัวเองจะฟังตกหล่นไป
ไม่ใช่แค่นั้น ตอนพวกอาจารย์ลุงฟังเรื่องทุกอย่างจบแล้ว
อีกฝ่ายยังเริ่มถามเราก่อน ว่ามีตรงไหนที่ตกหล่อนหรือยังไม่ได้เล่าให้พวกเขาฟังหรือเปล่า
แต่ตั้งแต่ที่อาจารย์รู้ว่าผู้อาวุโสแห่งสำนักใหญ่ทั้งสองจะมาเยือน เขาก็พูดเช็คกับผมหลายต่อหลายรอบแล้ว
ดังนั้นอาจารย์ไม่มีทางพูดตกหล่นไปแน่นอน และเขาก็พูดได้ละเอียดมากด้วย
พอผู้อาวุโสทั้งสองได้ยินอย่างงั้นก็พยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็เริ่มถามถึงกำลังของอีกฝ่ายจากอาจารย์ผม
และระดับการกลายสภาพต่างๆด้วย
ถามแบบมืออาชีพสุดๆ หรือแม้แต่ละเอียดโครตๆ แม้แต่เรื่องที่กรงเล็บของอีกฝ่ายใช้เวลาประมาณไหนถึงจะงอกออกมา พวกเขาก็ถาม
แต่หลังจากอาจารย์ตอบคำถามทุกอย่างเสร็จแล้ว เฉินจื่ออี้หรือนักพรตเฉินที่ใส่เสื้อลายดอกกลับถามขึ้นมาด้วยสีหน้าสงสัย “ นักพรตติง ไม่ทราบว่าคุณกับศิษย์ฝึกตนไปถึงขั้นไหนแล้ว ? ”
พออาจารย์ได้ยินนักพรตเฉินถามถึงเรื่องพลัง เขาก็อดฝืนยิ้มออกมาไม่ได้ “ ข้าเกิดมาไร้พรสวรรค์ ฝึกตนมา
กว่าสิบปี ตอนนี้ยังอยู่เพียงระดับเต้าชือขั้นกลาง ส่วนศิษย์ของข้าติงฝาน ก็เพิ่งอยู่ระดับเต้าฉือขั้นสุดเท่านั้น ”
หลังนักพรตเฉินได้ยินถึงตรงนี้ สีหน้าสงสัยของเขาก็ชัดเจนยิ่งกว่าเดิม “ นักพรตติง ถ้าอย่างงั้น ระดับพลังของทั้งสองท่านก็อยู่ในขั้นเต้าชือเท่านั้น แต่เมื่อกี้นักพรตติงบอกว่า ก่อนหน้านี้พวกคุณได้ต่อสู้กับปีศาจหลายสิบตนมา แต่ระดับพลังของพวกคุณ สามารถเอาชนะปีศาจหลายสิบตนนั้นได้ยังไง ? ”
พออาจารย์ได้ยินแบบนั้น ก็คลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย “ ท่านคงไม่รู้ นอกจากศิษย์ของข้าจะเป็นลูกศิษย์ของข้าแล้ว เขายังเป็นชูหม่าด้วย ! ที่สามารถมีชีวิตรอดจากวงล้อมของปีศาจหลายสิบตนนั้นได้ ก็เป็นเพราะความช่วยเหลือของเซียนทั้งนั้น ! ”
พอนักพรตหวังและนักพรตเฉินได้ยินคำพูดนี้ ก็ตกใจขึ้นมานิดหน่อย
นักพรตเฉินพูดด้วยน้ำเสียงสงสัย “ โห ไม่ทราบลูกศิษย์คุณเป็นชูหม่าของตระกูลไหน ? ”
“ ตระกูลหู ! ” อาจารย์ตอบทันที
พอหวังเฉิงกานที่อยู่ข้างๆได้ยินว่าเป็นตระกูลหู ก็พยักหน้าเล็กน้อย “ ตระกูลหู น่าจะเป็นตระกูลหูแห่งเขาฉินซินะ ไม่ทราบว่า ศิษย์ของคุณเป็นชูหม่าของเซียนจิ้งจอกลำดับที่เท่าไหร่ ! ”
ลำดับของเซียนจิ้งจอก ก็เหมือนลำดับลูกศิษย์ในลัทธิ
ลำดับแรกคือผู้อาวุโสสูงสุด ลำดับที่สองคือผู้นำ ลำดับที่สามคือหัวหน้า ลำดับที่สี่ก็คือศิษย์ของศิษย์เอกคนปัจจุบันและลำดับอื่นๆ แต่ไม่ว่ายังไงหากตัวเลขยิ่งเยอะขึ้นเท่าไหร่ ลำดับก็จะยิ่งต่ำขึ้นเท่านั้น
หลังอาจารย์ฟังจบ ก็อดไม่ได้ที่จะทำตัวมั่นหน้า หรือแม้แต่ดูภูมิใจขึ้นพอสมควร
อาจารย์สูดหายใจยาวๆ แล้วพูดกับผมว่า “ เสี่ยวฝาน บอกผู้อาวุโสทั้งสอง ว่าแกเป็นชูหม่าของใคร ! ”
นักพรตหวังและนักพรตเฉินหันมามอง พอเห็นอาจารย์พูดแบบนั้น ก็เป็นธรรมดาที่ผมจะไม่กล้ารอช้า
ผมก้าวไปข้างหนึ่งก้าว แล้วทำมือคารวะท่านผู้อาวุโสทั้งสองแล้วพูดว่า “ ท่านผู้อาวุโสทั้งสอง ผู้น้อยเป็น
ชูหม่าของเผ่าจิ้งจอก ! เป็นศิษย์ของนางพญาจิ้งจอก ”
ผมค่อยๆพูดทีละประโยค แต่หลังจากผมพูดจบ ผู้อาวุโสที่นั่งอยู่บนโซฟา ด้วยท่าทางที่สบายๆ
กลับดูเหมือนโดนฟ้าผ่าในวินาทีนั้น “ พรึบ ” สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปทันที
เดิมทีนักพรตเฉินที่ใส่เสื้อลายดอกคนนั้นกำลังดื่มชาอยู่ พอฟังผมพูดจบ เขาก็ “ ฟู่ ” พ้นน้ำชาออกมาทันที ทำเอาบนโต๊ะเต็มไปด้วยน้ำทันที
โชคดีที่ไม่มีใครอยู่ตรงหน้า ไม่อย่างนั้นคงกระอักกระอ่วนกว่านี้
เพาะนักพรตเฉินสำลักน้ำออกมา เขาเลยเริ่มไอต่อ “ แค่กๆๆๆ อะ อะไรนะ ? ชู ชูหม่าของเผ่าจิ้งจอก แค่กๆๆ ”
นักพรตเฉินคนนี้ยังพูดไม่จบ นักพรตหวังที่ถือแส้ขนหางจามรีอยู่ๆก็ลุกขึ้นยืนทันที
เขาทำหน้าช็อก ดวงตาเบิกกว้าง พูดอย่างไม่อยากเชื่อ “ เป็น เป็นศิษย์ของนางพญาจิ้งจอก ? ”
เหมือนอาจารย์จะรู้ว่าผู้อาวุโสจะเป็นแบบนี้ตั้งแต่แรก เขาดูมีความสุขเป็นพิเศษ หรือแม้แต่ทำตัวได้ใจออกมาเล็กน้อยด้วย
พอผมเห็นท่านผู้อาวุโสทั้งสองตกใจแบบนั้น ตัวผมเองก็ค่อนข้างตกใจพอสมควร
แต่ก็ยังพูดต่อ “ ใช่ครับ ผู้น้อยไม่ได้เป็นชูหม่าของเซียนท่านไหน แต่เป็นชูหม่าของทั้งเผ่าจิ้งจอก
เป็นศิษย์ของนางพญาจิ้งจอก ! ”
ผมพูดยืนยันอีกรอบ หลังนักพรตหวังและนักพรตเฉินฟังจบ พวกเขาก็ดูประหลาดใจสุดๆ พร้อมกันนั้นยังสูดหายใจเข้าลึกๆหนึ่งครั้ง
ชูหม่าของทั้งเผ่าจิ้งจอก ในสายตาของคนทั่วไป จะมีใครสามารถมีวาสนา และฐานะแบบผมได้
สำหรับผม เจ้าสิ่งนี้ยังไม่ได้มีอิทธิพลอะไรมากนัก
แต่ในสายตาของผู้อาวุโสที่อยู่ในสำนักใหญ่ๆพวกนี้ ผมไม่ได้แค่โชคดี แต่ทั้งหมดนี่เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อสุดๆ
นี่ไม่ใช่แค่ชูหม่าของเซียนทั่วไป ผมเป็นถึงชูหม่าของทั้งเผ่า และยังเป็นเผ่าจิ้งจอก หนึ่งในเผ่าปีศาจที่ยิ่งใหญ่ด้วย
เขาฉินมีเนื้อที่ทอดยาวหลายพันลี้ ในนั้นมีป่าดึกดำบรรพ์อยู่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ เซียนตระกูลหูมีมากน้อยขนาดไหนก็ไม่รู้
แต่ผมละ ! กลับเป็นชูหม่าของเผ่าจิ้งจอกทั้งเผ่า
นี่หมายความว่าอะไร มันหมายความว่าผมเป็นมนุษย์ผู้ส่งสารของเผ่าจิ้งจอกแห่งเขาฉิน เป็นตัวแทน
และเป็นหน้าเป็นตาของเผ่าจิ้งจอก
หรือจะพูดอีกอย่างคือ ผมก็คือเผ่าจิ้งจอกแห่งเขาฉิน หาเรื่องผมก็คือหาเรื่องเผ่าจิ้งจอกแห่งเขาฉินทั้งเผ่า
หากคบหากับผม ก็เหมือนมีเผ่าจิ้งจอกแห่งเขาฉินเป็นเพื่อน
ทันใดนั้น ผู้อาวุโสทั้งสองท่านก็คิดถึงจุดนี้ และเรื่องพวกนี้ได้
แต่ที่ทำให้ตกใจคือ คิดไม่ถึงว่านักพรตตัวเล็กๆในชนบท จะเป็นหน้าเป็นตาของเผ่าจิ้งจอก
แล้วแบบนี้จะไม่ให้พวกเขาตกใจ หรือช็อกได้ยังไง
หากสร้างสัมพันธ์อันดีกับผม ก็เท่ากับได้สร้างความสัมพันธ์กับเผ่าจิ้งจอกแห่งเขาฉิน สำหรับลัทธิในยุคนี้ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ดียิ่งกว่าดีแน่นอน
จนกระทั่งผ่านไปสองสามวินาทีแล้ว ผู้อาวุโสทั้งสองท่านถึงสงบสติอารมณ์ได้อีกครั้ง
ตอนนี้ สามารถสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน ว่าผมมีตัวตนอยู่ในสายตาของผู้อาวุโสทั้งสองแล้ว
และดูจากท่าทาง พวกเขาไม่ได้นิ่งเงียบเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว ตอนนี้เปลี่ยนเป็นกันเองขึ้นไม่น้อย
ตอนนี้ผมเห็นเพียงนักพรตเฉินที่ใส่เสื้อลายดอกคนนั้นทำมือคำนับอาจารย์ผม “ ข้ามีตาหามีแววไม่
ไม่ทราบว่าศิษย์ของนักพรตติงเป็นชูหม่าของเผ่าจิ้งจอก เสียมารยาทแล้วๆ ”
ขณะพูด นักพรตหวังก็ทำมือคำนับ
อาจารย์ค่อนข้างได้ใจ หรือแม้แต่ดูตัวลอยเลยก็ว่าได้
“ ฮ่าๆๆ ! ไม่หรอกๆ ศิษย์ของผมมีวาสนา ! วันข้างหน้า ยังต้องพึ่งพาท่านนักพรตทั้งสองอยู่ ! ” อาจารย์พูดด้วยรอยยิ้ม
นักพรตเฉินโบกมือ “ นักพรตติงถ่อมตัวไปแล้ว ในเมื่อติงฝานเป็นชูหม่าของเผ่าจิ้งจอก วันข้างหน้าก็ต้องมีอนาคตที่สดใสแน่นอน และทางสำนัก ย่อมมีตำแหน่งให้เขาอยู่แล้ว ”
เพราะเรื่องที่ผมเป็นชูหม่าของเผ่าจิ้งจอก ส่งผลให้หยุดการสนทนาของพวกเขาไว้ชั่วคราว จากนั้นพวกเขาก็เริ่มเอ่ยชมตัวผมแทน
มันทำให้ผมเขินมาก แต่สุดท้าย เราก็ได้ยินนักพรตหวังแห่งสำนักอู่ตังพูดว่า “ นักพรตติง ที่พวกเรามาในวันนี้ นอกจากจะทำความเข้าใจสำนักลื่อเย่เฉินแล้ว พวกเราอยากจะไปดูสาขาย่อยของสำนักชั่วนั่นด้วยตัวเอง ”
“ นักพรตติง พวกเราสามารถร่วมมือกันได้ถ้าถึงเวลาที่เหมาะสมแล้ว คืนนี้เราไปจัดการสำนักลื่อเย่นั่นกันเถอะ ”
นักพรตหวังสะบัดแส้ในมือ พร้อมพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
ส่วนผมที่ได้ยินคำพูดนี้อยู่ข้างๆ กลับรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาหน่อยๆ
ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ ก็คงเยี่ยมไปเลย
จัดการเจ้าสำนักยื่อเย่เฉินบ้าบออะไรนี่ให้เรียบร้อย สิ่งที่ต้องกังวลในวันข้างหน้าก็จะน้อยไปหนึ่งอย่าง
ที่ที่พวกเราอยู่ก็จะได้สงบขึ้นอีกหน่อย พวกเราเองก็ไม่ต้องเสี่ยงอันตรายขนาดนั้นแล้ว
ผมเห็นด้วยสุดๆ แต่ผมเป็นผู้น้อย เลยเข้าไปพูดแทรกไม่ได้ ได้แต่ยืนฟังอยู่ข้างๆเท่านั้น
พออาจารย์ได้ยินแบบนั้น กลับขมวดคิ้ว “ แค่พวกเรา จะไหวเหรอ ? ”
อาจารย์รู้สึกไม่ค่อยเชื่อสิ่งที่ได้ยิน ไม่ว่าจะพูดยังไง จำนวนคนของอีกฝ่ายก็มีมากกว่าหลายร้อยคน
แค่พวกเราไม่กี่คน อาจารย์รู้สึกว่ามันไม่มีหวังจริงๆ
แต่ใครจะรู้ว่านักพรตเฉินจื่ออี้แห่งสำนักเหมาชานจะหัวเราะ “ ฮ่าๆๆ ” ออกมา “ ใช่ พวกเราไม่กี่คนนี่แหละ ”
หลังจากพูดจบ นักพรตเฉินก็ล็อคสายตามาที่ตัวผม แล้วพูดต่อ “ ถ้าเรียกเซียนตระกูลหูมาช่วยได้
เราก็จะเหมือนเสือติดปีกเลยละ…… ”