หน้าแรก > ศพ
ตอนที่ 455 สำนักลื่อเย่เฉิน

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

*ตั้งค่าถาวร (คลิกตั้งค่าถาวร)

ตอนที่ 455 สำนักลื่อเย่เฉิน

หลังได้ยินชายชุดดำพูดแบบนั้น ผมกับอาจารย์ก็อึ้งในทันที พวกเราแทบยืนหยุดนิ่งอยู่กับที่

องค์กรตาผียังจัดการไม่เรียบร้อย  ทำไมถึงได้มี “ สำนักลื่อเย่เฉิน ” ออกมาอีกละ ?

 

ผมดูหนังบู๊เยอะไปใช่ไหมเนี่ย และยังมีพวกฝึกวิชามหาเวทดูดดาวกับคัมภีร์ทานตะวันด้วย

ผมทำหน้าตกใจ แต่ไม่รอให้ทางฝั่งพวกเราได้ตอบสนองใดๆ ชายชุดดำที่เหลือ และพวกลูกกระจ๊อกที่ขนกล่องพวกนั้นเข้ามา ก็คุกเข่าลงข้างหนึ่ง หันไปมองทางชายชุดดำคนนั้น จากนั้นก็ตะโกนออกมาเสียงดังลั่น “ ลื่อเย่หวนคืน สำนักเฉินกลับมาผงาด พันปีหมื่นปี ครองทั่วหล้า…… ”

 

เสียงทุกคนดังขึ้นพร้อมกัน แม้แต่คุณหวงที่ถือสมุดอยู่ ก็คุกเข่าลง และตะโกนไปทางชายชุดดำคนนั้น

ผมกับอาจารย์มึนอย่างแท้จริง ตอนนี้เราอดหันมามองหน้ากันไม่ได้ แต่ละคนต่างทำหน้าไปไม่เป็น

 

ผมถึงกับคิดว่านี่เป็นภาพลวงตา ผมเข้ามาอยู่ในฉากหนังเรื่องนึงหรือเปล่า

แต่ ในใจของพวกเรา กลับรู้ดี ว่าทุกอย่างนี้เป็นความจริง

คนตรงหน้าเรา ล้วนไม่ใช่คนธรรมดา

 

ชายชุดดำพวกนั้น ปลดปล่อยไอปีศาจออกมา เห็นได้ชัดว่าเป็นปีศาจในร่างคน หรือไม่ก็ฝึกวิชามารบางอย่าง

แต่ชื่อบริษัทหมิงโลจิสติกส์ถือว่าน่าสนใจพอสมควร หากแยกคำว่า “ หมิง ” ออกจากกัน ก็จะได้คำว่า 

“ ลื่อกับเย่ ” พอดี

 

ดูเหมือน นี่จะเป็นสำนักชั่วร้ายสำนักหนึ่งจริงๆ และคุณหวงก็เข้าร่วมสำนักลื่อเย่เฉินนี้แล้ว และกลายเป็นสาวกคนหนึ่ง

 

ตอนนี้ หลังชายชุดดำได้ยินลูกน้องทุกคนตะโกนแบบนั้นแล้ว ก็สบัดเสื้อคลุม หมุนตัวอย่างรวดเร็ว 

พร้อมเผยให้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของเขา

 

เขาเป็นผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ คิ้วโค้งเรียวเหมือนดาบ ดวงตาเป็นประกายดุจดวงดาว ดูหล่อผิดมนุษย์

เขากวาดสายตามองทุกคนตรงหน้า จากนั้นก็หัวเราะ “ ฮ่าๆๆ ” ออกมา “ ลุกขึ้นเถอะ ! สำนักลื่อเย่เฉินของเราไม่เคลื่อนไหวกว่านับพันปี นี่ก็ถึงเวลากลับมาแล้ว ”

 

“ แต่ศัตรูตัวฉกาจของพวกเราในตอนนี้ ไม่ใช่พวกสำนักฝ่ายธรรมะต่างๆ แต่เป็นองค์กรตาผี ที่ท่านประมุขส่งฉันมาที่นี่ ก็เพราะต้องการให้ฉันปรุงโอสถโลหิตศพเสร็จให้เร็วที่สุด และหาสมาชิกใหม่เพิ่ม พอมีโอสถโลหิตศพแล้ว ตระกูลเหยียนก็จะร่วมมือกับพวกเรา พอถึงเวลานั้นสำนักเราก็จะต้องกลัวองค์กรตาผีอีก 

ขอแค่เรามีสมาชิกเยอะพอ การครอบครองใต้หล้า ก็จะอยู่ใกล้แค่เอื้อมแล้ว ”

 

จิตครอบงำล้นออกมา พร้อมเสียงที่ดังกึกก้อง

เสียงเพิ่งเงียบลง ลูกน้องทุกคนที่คุกเข่าอยู่บนพื้นก็ตะโกนต่อทันที “ ครับท่านหลิง ! ”

 

ท่านหลิงคนนี้โบกมือ “ เอาเถอะ ในเมื่อวัตถุดิบมาครบแล้ว มีงานอะไรก็ไปทำกันเถอะ ! ภายในสามเดือนนี้ เราจะปรุงโอสถโลหิตศพให้เสร็จ ”

 

“ ครับ ! ” ทุกคนขานรับ จากนั้นก็ลุกออกไปทำงานต่อ

ส่วนคนที่โดนเรียกว่าท่านหลิง กลับหันไปมองทางเตาเผาอีกครั้ง เขาเผยสีหน้าพอใจออกมา

 

จากนั้นก็พาชายชุดดำสองสามคนเดินออกไปจากโกดัง ออกไปจากที่นี่ทันที

ตอนนี้ ผมกับอาจารย์คิดว่าเรื่องนี้ยุ่งยากกว่าเดิมอีกหลายเท่า

เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เราควรทำยังไงดี

 

กำจัดปีศาจเหรอ เรื่องนั้นแทบเป็นไปไม่ได้ พวกเรามีแค่สองคน ทำอะไรไม่ได้ทั้งนั้น

เห็นได้ชัดว่าสาวกพวกนี้ เป็นปีศาจในร่างมนุษย์ ถ้าไม่ใช่ครึ่งคนครึ่งปีศาจก็เป็นปีศาจเต็มตัว

 

ผมกับอาจารย์ ยังไม่แข็งแกร่งพอที่จะต่อกรกับคนขนาดนี้ได้

ถ้าผมสองคนโดนจับได้ ต้องตายอย่างเดียวแน่นอน

 

ในขณะที่ผมกำลังลังเล จู่ๆอาจารย์ก็พูดกับผมว่า “ เสี่ยวฝาน เรื่องนี้เกินกว่าที่คิดเอาไว้เยอะ และเรื่องนี้ก็เกินขอบเขตความสามารถของพวกเราแล้ว นี่เป็นเรื่องใหญ่ระดับโลกแล้ว พวกเรารีบออกไปกันเถอะ ! ”

อาจารย์ขมวดคิ้ว พูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม

 

แต่ผม กลับไม่ค่อยอยากไป

อาจารย์พูดถูกทุกอย่าง ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้

 

สิ่งที่พวกเรากำลังเผชิญหน้าอยู่ ไม่ใช่วิญญาณร้ายเพียงตัวเดียว แต่เป็นสำนักที่ทรงอำนาจสำนักหนึ่ง

ผมกับอาจารย์ ไม่พอเป็นของเล่นให้พวกมันด้วยซ้ำ

 

เรื่องนี้ไกลเกินความสามารถของพวกเราสองคนจริงๆ ถึงพวกเราจะออกไป ก็ไม่ผิดซะทีเดียว

แต่ปัญหาก็คือ ถ้าพวกเราออกไปแล้ว คนที่เกิดปีหยินเดือนหยินทั้ง 23 คนนั้น ก็จะไม่รอดเลยสักคน

 

พอคิดได้แบบนั้น ผมก็ขมวดคิ้ว แล้วพูดกับอาจารย์ว่า “ อาจารย์ พวกเรายังออกไปไม่ได้ ถ้าพวกเราไปแล้ว 23 คนนั้นก็จะตายนะอาจารย์ ”

 

“ เสี่ยวฝาน แกดูสถานการณ์ดีๆ ที่นี่ก็เหมือนองค์กรตาผี เรื่องนี้มันอยู่เหนือความสามารถของพวกเราแล้ว พวกเราได้แค่มอง จากนั้นก็เอาข่าวนี้ไปบอกกับพวกสำนักใหญ่ๆพวกนั้นเท่านั้น ”

 

“ พวกเราเป็นเพียงผู้ฝึกตนธรรมดา เดิมทีก็เข้ามายุ่งพวกนี้ไม่ไหวอยู่แล้ว ! ” อาจารย์พูดต่อด้วยเสียงอันแผ่วเบา

เขาหวังว่าเราจะไม่โดนจับได้ก่อน และอยากให้ออกไปจากที่นี่ได้เร็วๆ

 

แต่ผมกลับไม่เห็นด้วย เพราะผมได้ตัดสินใจแล้ว

ตอนนี้ เสียงผมดังขึ้นอีกครั้ง “ อาจารย์ สู้กับสำนักลื่อเย่เฉินอะไรนี่พวกเราไม่มีทางสู้ไหวแน่นอน 

แต่พวกเราช่วยคนพวกนั้นได้นะอาจารย์ ! อาจารย์เคยสอนผมว่า พวกเราคนปราบภูติผี เป็นนักพรตผู้รักคุณธรรม เราจะปล่อยให้ชีวิตทั้ง 23 ชีวิตจบลงทั้งๆแบบนี้ไม่ได้นะอาจารย์ ”

 

ผมไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นพ่อพระ แต่ยังไงก็ไม่ใช่สัตว์เลือดเย็นที่เห็นคนที่กำลังจะตายแล้วไม่ช่วยอย่างแน่นอน

 

อาจารย์เห็นผมทำหน้าแน่วแน่ และท่าทางที่หนักแน่น เลยอดถอนหายใจออกมาไม่ได้ “ ก็ได้ ! อาจารย์จะเอาร่างพุๆพังๆนี่ ไปบ้าเป็นเพื่อนแกสักครั้ง ว่ามา แกมีวิธีอะไรหรือยัง ? ”

 

เมื่อเห็นอาจารย์เห็นด้วย ผมก็พูดกับอาจารย์ด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ อาจารย์ ดูคนพวกนั้นซิ หลังโดนขนเข้ามาในโกดังแล้ว ก็โดนขังอยู่ในห้องข้างหลัง ”

หลังจากพูดจบ ผมก็ชี้ไปที่ห้องหลังเตาเผา มันเป็นห้องที่มีคนเฝ้าอยู่หน้าห้อง

 

ในเวลาเดียวกันก็พูดต่อ “ ตรงนั้นมีของเกะกะวางอยู่ตั้งเยอะ เราสามารถใช้พวกมันซ่อนจากสายตาด้านหน้าได้ ขอแค่พวกเราจัดการยามสองคนที่เฝ้าประตูอยู่ได้ จากนั้นก็ปล่อยพวกนั้นออกมาแบบไร้เสียง เดินออกมาตามกองข้าวของพวกนั้น จากนั้นก็หนีออกไปทางหน้าต่างที่พวกเราเข้ามา…… ”

 

พออาจารย์ได้ยินผมพูดแบบนั้น ก็อดดึงหน้าลงไม่ได้ ต่อจากนั้นก็พยักหน้าให้ผมเล็กน้อย “ ได้ แต่ต้องระวังให้ดี ถ้ามีอะไรแปลกๆเกิดขึ้น ต้องฟังอาจารย์ รีบออกไปจากที่นี่ทันทีนะ ”

 

ผมเองก็เข้าใจดี ว่าที่นี่อันตรายมาก แต่ในเมื่อเลือกทางเดินนี้แล้ว ผมก็ไม่เคยคิดว่าจะได้อยู่อย่างสงบสุข

ผมพยักหน้า จากนั้นก็ใช้กองข้าวของที่กองซ้อนกันในโกดัง แอบเข้าไปกับอาจารย์อย่างระมัดระวัง 

พวกเราแอบเข้าไปตรงที่ 23 คนนั้นโดนขังอยู่ได้ทีละนิด

 

คนส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่หน้าโกดัง หรือไม่ก็ข้างนอก กลับกันด้านในสุดของโกดังหลังนี้ กลับว่างเปล่า 

มีเวรยามเฝ้าน้อยมาก

 

เนื่องจากคนพวกนี้จะคิดได้ยังไง ว่ามีคนมาถึงที่นี่ แถมยังมาช่วยพวกคนที่โดนพวกเขาเรียกว่าวัตถุดิบ

ผ่านไปไม่นาน ผมและอาจารย์ก็เข้ามาใกล้ห้องนั้น

และตรงประตู ก็มียามเฝ้าอยู่สองคน

 

ท่าทางของยามสองคนนี้ดูสบายๆมาก เพียงได้ยินหนึ่งในนั้นพูดว่า “ เหล่าฉู นายกลายร่างปีศาจไปถึงขั้นไหนแล้ว ? ”

พอได้ยินคำว่า “ กลายร่างปีศาจ ” สามคำนี้ ผมกับอาจารย์ก็เงี่ยหูฟังทันที

 

และคนที่โดนเรียกว่าเหล่าฉู ก็ค่อยๆหันมา

แต่พอเขาหันมาเท่านั้นแหละ ผมและอาจารย์ก็เห็นหน้าอีกครึ่งของเขาอย่างชัดเจน

 

หน้าอีกครึ่งหนึ่งของเขา ประหลาดมาก

ครึ่งหน้านั้น มีขนสัตว์งอกออกมาจำนวนมาก ดวงตาและริมฝีปากก็ดูเหมือนจะผิดรูป ทรงหูทั้งยาวทั้งแหลม หรือแม้แต่มีเขี้ยวงอกออกมาให้เห็นด้วย

 

หลังผู้ชายคนนั้นหันไปมองคนถามแล้ว เขาก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงสบายๆ “ ฉันกลายร่างไปถึงขั้นสองแล้ว และเดี๋ยวก็จะถึงขั้นสามแล้ว ถ้าเลื่อนไปขั้นสามสำเร็จ ฉันก็จะสามารถควบคุมพลังของตัวเองได้อย่างอิสระ พอถึงเวลานั้นฉันก็จะไม่ต้องกลัวว่าจะตายเร็วอีกแล้ว ”

 

หลังจากพูดจบ ชายคนนั้นยังยกมือขึ้นข้างหนึ่ง

เพียงแต่มือข้างนั้นของเขา กลับมีขนเต็มไปหมด มันไม่เหมือนมือคนอีกต่อไปแล้ว เป็นเหมือนอุ้งเท้าสัตว์

 

พออีกคนเห็น ไม่เพียงไม่กลัว กลับกันยังทำท่าทางอิจฉา “ เหล่าฉู ฉันละอิจฉานายจริงๆ พอเข้าขั้นสองแล้วฉันกลับล้มเหลว ไม่รู้ว่าร่างกายของฉันในตอนนี้ จะพัฒนาไปถึงขั้นสามได้ไหม ”

 

หลังจากพูดจบ ชายคนนั้นก็ไอติดกันสองสามครั้ง

พอผู้ชายที่กลายเป็นปีศาจครึ่งตัวแล้วได้ยินดังนั้น ก็ยิ้มออกมาเบาๆ “ ไม่ต้องคิดมาก ! มะเร็งของนายไม่ทำให้ตายเร็วขนาดนั้นหรอก ถ้ากลายร่างไปถึงขั้นสองแล้ว เลือดปีศาจและพลังปีศาจข้างใน ก็จะเปลี่ยนร่างกายไปทีละนิดๆเอง ”

 

“ ถึงร่างกายจะกลายเป็นแบบฉันในตอนนี้ ไม่ได้ดูดีเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ตายแน่นอน ถ้าไปถึงขั้นสามแล้ว 

ขอแค่กินยาเม็ดปีศาจตามเวลา ก็จะควบคุมร่างกายได้เอง นายจะเป็นเหมือนปกติเลยละ พอถึงตอนนั้น 

พวกเราก็ไม่ตายอีกแล้วละ…… ”

Copyright © 2019 spoilsoc.com All rights reserved.