spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
*ตั้งค่าถาวร (คลิกตั้งค่าถาวร) |
ตอนที่ 398 ที่มา
พวกเราไม่เคยเห็นท่านนักพรตตู๋ทำท่าทางแบบนี้มาก่อน ไม่ว่าจะเจอเรื่องใหญ่ขนาดไหน ท่านนักพรตตู่ก็ไม่เคยทำหน้าตาตกใจแบบนี้มาก่อน
แต่ตอนนี้ หลังได้ยินท่านนักพรตตู๋พึมพำชื่อนักพรตที่ “ ไม่มีใครรู้จัก ” ออกมาแบบนั้น แถมยังมีท่าทีแบบนี้ มันก็ทำให้พวกเราทุกคนตีหน้ามึนทันที
“ อาจารย์ อาจารย์ ! ” เหล่าเฟิงเห็นอาจารย์ตัวเองเป็นแบบนั้น เลยเรียกเขาสองรอบ
เหล่าฉินขมวดคิ้วแน่นกว่าใคร “ ตู๋อ่าว นายเป็นบ้าอะไรฮะ ? เจ้าฉินเย่นี่มีภูมิหลังน่าตกใจนักหรือไง ? ”
“ เหล่าตู๋ นายรู้ภูมิหลังของคนคนนี้เหรอ ? ” อาจารย์เองก็ถามเหมือนกัน
ผมและพี่เฟิงทำตาโต ต่างมองท่านนักพรตตู๋ด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น เราเองก็อยากได้ข้อมูลจากปากของเขา
ถึงจะเป็นแบบนั้น แต่ท่านนักพรตตู๋ก็เงียบไปพักหนึ่ง
ต่อมาจู่ๆเขาก็หลับตาลง แล้วถอยหายใจออกมาหนึ่งครั้ง “ คิดไม่ถึง คิดไม่ถึงว่าบนโลกนี้จะมีคนคนนี้อยู่จริงๆ ! ”
ฟังจากน้ำเสียงท่านนักพรตตู๋ ดูเหมือนฉินเย่คนนี้จะร้ายกาจมาก
อาจารย์และเหล่าฉินใจร้อน รีบถามต่อ บอกให้ท่านนักพรตตู๋รีบพูด เลิกลีลาได้แล้ว
ท่านนักพรตตู๋พยักหน้าเบาๆ จากนั้นถึงพูดกับเหล่าฉินว่า “ ศิษย์พี่ พี่ยังจำที่มาของอาจารย์ของเราได้ไหม ? ”
“ ที่มาของอาจารย์เรา ? ” เหล่าฉินทำหน้าสงสัย
“ ใช่ อาจารย์ของพวกเรา ” ท่านนักพรตตู๋พูดยืนยันอีกครั้ง
เหล่าฉินทำหน้าอารมณ์เสีย “ ฉันต้องรู้อยู่แล้ว ฉันไปจุดธูปให้อาจารย์ทุกปี ไม่เหมือนแกหรอกเจ้าโง่
สิบปีแปดปียังไม่ไปสักครั้ง ! ”
ท่านนักพรตตู๋ยิ้มอ่อน ท่าทางไม่โมโห ส่งสัญญาณให้เหล่าฉินพูดต่อ
เหล่าฉินกลอกตา “ อาจารย์ของพวกเราเป็นคนของไป๋ฮัวชาน ศิษย์นอกสำนักไป๋ฮัวกงกลุ่มหวงฮัว ”
เหล่าฉินพูดแบบใจลอย ผมเคยได้ยินเหล่าเฟิงพูดถึงเรื่องนี้แล้ว พวกเขาเป็นศิษย์ในสำนักที่มีชื่อว่าไป๋ฮัวกง
แต่เจ้าสำนักนี่อยู่ที่ไหน มีคนเท่าไหร่ เหล่าเฟิงเองก็ไม่รู้เรื่อง
ในสายตาผม นี่น่าจะเป็นสำนักเล็กๆแห่งหนึ่ง
แต่ในเวลานี้พอได้ยินเหล่าฉินพูดแบบนั้น ผมก็อดมึนไม่ได้ อาจารย์ปู่ของเหล่าเฟิง เป็นศิษย์นอกสำนัก
อะไรคือนอกสำนัก มันก็คือไม่สามารถฝึกวิชาในสำนัก ไม่สามารถเรียนวิชาที่สืบทอดกันมาแบบเฉพาะ
ได้แต่ฝึกพวกวิชาทั่วไป นี่ก็คือศิษย์นอกสำนัก
แต่ไม่รอให้ผมได้คิดอีกหน่อย ท่านนักพรตตู๋ก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง “ ใช่ สำนักไป๋ฮัวกง ตอนมีชีวิตอาจารย์อยากเป็นศิษย์ในสำนักไป๋ฮัวกงมาตลอด มีครั้งหนึ่งอาจารย์กับศิษย์ในสำนักไป๋ฮัวกงดื่มเหล้าด้วยกัน
ผมได้ยินพวกเขาคุยกันตอนเมาแล้ว และสิ่งที่พวกเขาพูดถึงกัน ก็ดันเป็นฉินเย่ชื่อนี้พอดี ”
“ หรือว่าฉินเย่จะเป็นคนสำนักไป๋ฮัวกงงั้นเหรอ ? ” เหล่าฉินตกใจและสงสัย
ท่านนักพรตตู๋ส่ายหน้าเบาๆ “ ไม่แน่ใจ แต่ผมได้ยินพวกเขาบอกว่า คนที่เจ้าสำนักของพวกเรารัก
มีชื่อว่าฉินเย่ ! ”
“ อะไรนะ มีเรื่องนี้ด้วยเหรอ ? คนที่ของเจ้าสำนักของเรารัก ? ” เหล่าฉินช็อกในทันที
แต่พวกเราที่ยืนอยู่ข้างๆ กลับไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ รู้สึกงงมาก นี่มันข่าวซุบซิบบ้าบออะไร
เพราะพวกเราไม่เข้าใจสำนักไป๋ฮัวกง ยิ่งไม่รู้จักเจ้าสำนักอะไรนั่น ตอนเริ่มฟังเลยค่อนข้างมึนๆหน่อย
แต่ต่อจากนั้น ผมก็เริ่มเข้าใจ
สำหรับสำนักไป๋ฮัวกงนี้ ผมก็เข้าใจเพิ่มขึ้นมาอีกหน่อย
จากคำพูดของท่านนักพรตตู๋และเหล่าฉิน ผมพบว่าสำนักไป๋ฮัวกงไม่ใช่สำนักเล็กๆอะไรทั้งนั้น แต่เป็นสำนักขนาดยักษ์
จากปากของท่านนักพรตตู๋ เมื่อเจ้าสำนักไป๋ฮัวกงออกมา จะสามารถทำให้โลกแห่งเต๋าสั่นคลอนได้ทันที และสำนักอื่นๆต้องยอมก้มหัวให้
พอพูดถึงตรงนี้ เห็นได้ชัดว่าท่านนักพรตตู๋ค่อนข้างตื่นเต้น น้ำลายเขานี่กระเซ็นเป็นสายๆเลยทีเดียว
แต่ก็ไม่รู้ว่ามันจริงหรือแค่โม้
แต่สิ่งที่มั่นใจได้ก็คือ สำนักที่ชื่อไป๋ฮัวกงนี้ร้ายกาจมาก ผู้นำของพวกเขาเป็นผู้หญิง
แต่ละสำนักต่างให้ความสำคัญ กับการขึ้นครองตำแหน่งของผู้หญิงคนนี้มาก
และผู้อาวุโสที่ชื่อว่าฉินเย่คนนั้น ก็เป็นคนที่ผู้หญิงทรงอำนาจและแข็งแกร่งมากคนนั้นรัก นอกจากนี้เขายังเป็น “ ผู้พิทักษ์ ” ของสำนักไป๋ฮัวกงแห่งนี้อีกด้วย
มีครั้งหนึ่งที่พวกลัทธิชั่วมาบุก จนเกือบทำให้สำนักไป๋ฮัวกงต้องล้มสลาย สุดท้ายก็ได้ฉินเย่คนนี้ออกโรง พลิกสถานการณ์กลับมา ปกป้องสำนักไป๋ฮัวกงเอาไว้ได้
แต่นอกจากเรื่องพวกนี้แล้ว ท่านนักพรตตู๋ยังเล่าเพิ่มอีกหน่อย บอกว่าตอนเขารินเหล้าให้อยู่ข้างๆ ได้ยินศิษย์ในสำนักคนนั้นพูดว่า ฉินเย่ไม่เพียงเป็นคนที่เจ้าสำนักรัก เป็นผู้พิทักษ์ของสำนักไป๋ฮัวกง แต่ยังมีพลังระดับสูงอีกด้วย
แถมยังพูดอีกว่าว่าในมือของเขามีกระบี่เหล็กนิลอยู่ด้านหนึ่ง ตัวเนื้อเหล็กเหมือนสีโคลน แถมยังมีจิตวิญญาณดาบสถิตอยู่ และเขายังเอาดาบเล่มนั้นกลับมาจากเหวในนรกอีกด้วย……
ท่านนักพรตตู๋พูดเรื่องพวกนี้แบบจริงจังสุดๆ ตอนนั้นเขาได้ยินเต็มสองหู คิดว่ามันต้องเป็นเรื่องจริงอย่างแน่นอน
แต่ผมที่ยืนอยู่ข้างๆ กลับไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่
ถ้าพูดว่านักพรตฉินคนนี้ร้ายกาจมาก เป็นที่ชื่นชมของเจ้าสำนักของพวกเขา มีที่มาจากสำนักไป๋ฮัวกง
เคยช่วยสำนักไป๋ฮัวกงเอาไว้ ผมคิดว่ามันไม่แปลกเลยสักนิด
สามารถใช้ก้นบุหรี่เพียงครึ่งม้วนทำให้หมอผีที่แข็งแกร่งเกือบตายได้ พลังระดับนี้ย่อมไม่ธรรมดาอยู่แล้ว
และเขาก็หล่อจริงๆ ถึงจะเข้าขั้นลุงแล้ว แต่ก็ยังหล่ออยู่
ตอนเป็นหนุ่มต้องโดดเด่นกว่าใคร เจ้าสำนักหญิงมาหลงรักก็เป็นเรื่องปกติสุดๆ
แต่เจ้ากระบี่เหล็กนิลนั้น ผมคิดว่าเป็นแค่เรื่องที่ศิษย์สำนักไป๋ฮัวกงนั้นคุยโวมากกว่า
เอากลับมาจากเหวในนรกอะไร ใครจะเชื่อ นี่มันไม่ใช่เรื่องไร้สาระหรือไง
คนเป็นจะไปที่นรกได้หรือไง ไปแล้วยังกลับมาอีก ยิ่งไปกว่านั้นยังบอกว่าไปที่เหวในนรก และยังเอาของกลับมาบนโลก แถมยังมีชีวิตอยู่จนถึงวันนี้ได้
เรื่องนี้มันฟังดูไกลจากความจริงมาก แต่ท่านผู้อาวุโสฉินและความสัมพันธ์ระหว่างสำนักไป๋ฮัวกง
เรื่องนี้สามารถเชื่อได้ ส่วนเรื่องอื่นผมไม่เก็บมาใส่ใจ
ต่อจากนั้น พวกเราก็ไม่ได้ยืนคุยอยู่ตรงนั้นต่อ หลังเล่าเรื่องทุกอย่างที่เจอในคืนนี้
และทำให้ตาแก่ทั้งสามคนตกใจครั้งแล้วครั้งเล่าเสร็จแล้ว พวกเราก็เริ่มจัดการศพสองศพในรถ
ในที่นี้เหล่าฉินใหญ่สุด ดังนั้นเรื่องเผาศพเลยไม่มีใครเข้าไปยุ่ง
ด้วยเหตุนี้ พวกเราเลยดันศพเข้าเตาเผากันในคืนนั้น
สำหรับตัวท่านหลงฉวนตัวจริง ท่านนักพรตฉินและความสัมพันธ์ระหว่างสำนักไป๋ฮัวกง พวกเราไม่ได้คิดถึงพวกมันอีก
เรื่องนี้ผ่านไปแล้ว สิ่งที่พวกเราควรทำต่อไป มีแค่ไปพักผ่อนฝึกฝนให้หนักกว่าเดิม ทำให้ตัวเองเลื่อนระดับไปอีกขั้นให้เร็วที่สุด
เพราะผมและเหล่าเฟิงต่างบาดเจ็บ ดังนั้นเรื่องเผาศพเลยยกให้เหล่าฉินเป็นคนจัดการ ผมและเหล่าเฟิงต่างถูกอาจารย์ของแต่ละคนพากลับบ้าน
ในบ้านผมจุดธูปให้มู่หลงเหยียน เพิ่งจุดธูปเสร็จ เสียงมู่หลงเหยียนก็ดังขึ้นที่ข้างหูผม “ กลับมาก็ดีแล้ว
หลังหายดีแล้วมาหาฉันที่จวนมู่หลงด้วยนะ ! ”
หลังจากพูดจบเสียงมู่หลงเหยียนก็หายไป ผมมองป้ายวิญญาณ พยักหน้าให้เบาๆ แล้วพูด “ ได้ ” แค่คำเดียว
อาจารย์ใส่ยา พันแผลให้ผม จากนั้นก็บอกให้ผมเอายาหลงเฉียนที่นางพญาจิ้งจอกให้มาตอนซูหม่าออกมากินหนึ่งเม็ด
เจ้าของสิ่งนี้นางพญาให้ผมมาสามเม็ด ฤทธิ์ยาน่าทึ่งสุดๆ มันทำมาจากน้ำลายมังกรและสมุนไพรล้ำค่าในหุบเขา มีผลต่ออาการบาดเจ็บแบบน่าเหลือเชื่อ
หลังกลืนยาลงไปแล้ว ผมก็รู้สึกร้อนนิดหน่อยที่ท้อง แต่ก็รู้สึกสบายมาก
ต่อจากนั้น ผมก็กลับเข้าไปในห้อง นอนพักผ่อนให้เต็มที่ตลอดทั้งคืน
พอมาถึงเช้าวันรุ่งขึ้น แม้แผลจะยังอยู่ แต่ผมที่กินยาหลงเฉียนเข้าไปแล้ว และรู้สึกว่าทั้งตัวเต็มไปด้วยพลัง
และในร่างกายมีพลังอยู่มากมาย
นี่น่าจะเป็นผลมาจากยาหลงเฉียน ผมไม่ปล่อยให้ฤทธิ์ยาหลงเฉียนเสียไปเปล่าๆ
รีบนั่งขัดสมาด ฝึกเดินลมปราณประมาณหนึ่งชั่วโมง
ผมรู้สึกสดชื่นสุดๆ ความเจ็บปวดก็ลดลงมาเยอะมาก
ของที่นางพญาจิ้งจอกให้ เป็นของล้ำค่าจริงๆ ถึงว่าตอนนั้นพวกผู้อาวุโสจิ้งจอก ต่างทำท่าทางน้ำลายไหลเป็นแถบๆ
หลังจากใส่เสื้อผ้าเรียบร้อย ผมก็ออกไปข้างนอก ตอนนั้นเห็นอาจารย์กำลังนั่งดูทีวีอยู่พอดี รายการทีวีมีชื่อว่า “ เรื่องสยองในเมือง ”
และรูปภาพในรายการนี้ ก็คือสถานที่ที่พวกเรากินของปิ้งย่างเมื่อคืนพอดี
พอเห็นแบบนั้น ผมก็อดสงสัยขึ้นมาไม่ได้
ในเวลาเดียวกัน ก็ได้ยินพิธีกรหัวมันแพรบถือไมค์คนนั้น พูดด้วยน้ำเสียงมีเลศนัย “ ครึ่งเดือนเจ็ดประตูนรกเปิดออก แค่เมื่อคืนนี้ ประตูนรกกลับเปิดออกมาอีกครั้ง ผู้อาศัยที่อยู่รอบๆต่างบอกว่า เมื่อคืนที่นี่มีกลุ่มทหารผีปรากฎขึ้น เพื่อให้ได้ข้อมูลเพิ่ม พวกเราเชิญเถ้าแก่ร้านปิ้งย่างที่อยู่ที่นี่เมื่อคืน หรือคุณโจวมาเล่าเหตุการณ์ให้ทุกคนฟังครับ ! ”
หลังจากพูดจบ เขาก็ยื่นไมค์ไปให้ผู้ชายตัวอ้วนที่อยู่ข้างๆ เขาก็คือเถ้าแก่ร้านปิ้งย่างที่ตกใจจนติดเกียร์หมาออกไปเมื่อคืน
เถ้าแก่คนนั้นตื่นเต้นมาก ดวงตาเบิกกว้างพูดใส่ไมค์เสียงดังลั่น “ จริงๆ ผมเห็นจริงๆ ไม่ใช่ทหารผี
แต่เป็นปีศาจ มันมีขนยาวออกมาเหมือนสัตว์ประหลาด ท่าทางดุร้ายมาก แถมยังพูดได้อีกด้วย แต่ตอนนั้นยังมีนักพรตอีกสองคนด้วย แต่นักพรตทั้งสองคนนั้น กลับดูเด็กมาก…… ”
ขณะมองเถ้าแก่ร้านปิ้งย่างให้สัมภาษณ์ ผมกลับยิ้มอ่อน แล้วไม่ได้สนใจเรื่องนี้อีก……