spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
*ตั้งค่าถาวร (คลิกตั้งค่าถาวร) |
ตอนที่ 342 สกุลเหลียงที่ชายฝั่ง
พอได้ยินอาจารย์พูดแบบนั้น ผมก็ตะลึงไปพักหนึ่ง
สำนักที่ชายฝั่ง ยังมีตระกูลที่ฝึกเต๋าแบบนี้ด้วยเหรอ หรือเหล่าเฟิงก็คือลูกที่พลัดพรากของตระกูลนี้เหรอ
พอคิดถึงตรงนี้ ผมก็รีบถามอาจารย์ทันที “ อาจารย์ เล่าให้ฟังหน่อยซิครับ ว่าไอ้ตระกูลอะไรนั้นเป็นยังไง ! ”
ผมทำหน้าอยากรู้อยากเห็น ตอนนี้ผมยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องลัทธิเต๋าเท่าไหร่
สำหรับรูปแบบอำนาจในปัจจุบัน มันคลุมเครือมาก
พออาจารย์ได้ยินผมถามแบบนั้น กลับส่ายหน้าเล็กน้อย หลังจากนั้นก็พูดว่า “ เรื่องนี้อาจารย์เองก็พูดไม่ค่อยถูก อาจารย์ก็ไม่ค่อยแน่ใจ เคยได้ยินเขาพูดมาเท่านั้น ”
พอพูดถึงตรงนี้ อาจารย์ก็จุดกระบอกสูบยาคู่ใจของเขา สูดเข้าไปหนึ่งครั้ง จากนั้นถึงพูดต่อ “ ฉันได้ยินมาว่า ที่ชายฝั่งเมืองฝูเจี้ยน มีตระกูลเหลียงอยู่ตระกูลหนึ่ง ตระกูลนี้ฝึกเต๋า บรรพบุรุษเคยไปตั้งรกรากที่ทะเลใต้ระยะหนึ่ง ต่อมาก็กลับมาอยู่ในประเทศ และสำนักที่ชายฝั่งนั้นก็ค่อนข้างมีชื่อเสียงเลยทีเดียว ”
“ เพราะตระกูลนี้เลี้ยงผีเก่ง และช่วงก่อนหน้านี้ในประเทศเกิดนิยมเลี้ยงกุมารขึ้นมา บุคคลสำคัญหลายคน ต่างเดินทางนับพันลี้ไปที่สิงคโปร์ มาเลเซีย ประเทศไทยและที่อื่นๆเพื่อเรื่องนี้ และก็เพราะเหตุนี้
ตระกูลเหลียงที่เลี้ยงผีอยู่แล้ว และยังมาจากทะเลใต้ ดังนั้นในช่วงหลายปีนั้น พวกเขาเลยเริ่มมีชื่อเสียงขึ้นในประเทศ…… ”
อาจารย์เริ่มเล่าเรื่องที่เขารู้ ให้ผมฟังอย่างละเอียด
พอผมได้ยินเรื่องพวกนี้จากปากอาจารย์ ผมก็เริ่มรู้จักกับตระกูลเหลียง
อาจารย์บอกว่า ในลัทธิเต๋าตระกูลเหลียงค่อนข้างมีชื่อเสียง และยังทำเงินได้มหาศาลจากการเลี้ยงผีเพียงอย่างเดียว
และภายในตระกูลนี้ยังค่อนข้างซับซ้อน วิชาของตระกูลนี้ยังสืบทอดต่อให้กับคนในตระกูลเหลียงเท่านั้น
อาจารย์สงสัยว่า เฟิงเฉ่วหานอาจเป็นลูกหลานของตระกูลเหลียง
บางทีอาจเป็นเพราะตอนเด็กๆเหล่าเฟิงตามคนในครอบครัวออกทะเล แล้วเกิดเรืออับปางขึ้นมา
คนในครอบครัวของเหล่าเฟิงจึงคิดว่าเขาตายแล้ว ก็เลยไม่ตามหาเขาอีก
แต่เหล่าเฟิงดันได้ไฮ่โถวเปียวช่วยเอาไว้ เจ้าหมอนั้นคงเห็นเขาอายุยังน้อย เหมาะแก่การนำมาทำผีเรือพอดี
ดังนั้นเหล่าเฟิงเลยต้องใช้ชีวิตอนาถอยู่ใต้ท้องเรือกว่าหลายสิบปี จนกระทั่งในปีที่สิบเขาก็ได้โอกาสหนีจากการกุมขังของไฮ่โถวเปียวได้ ต่อมาก็ได้มาเจอกับท่านนักพรตตู๋ และย้ายไปที่ต่างๆ แล้วสุดท้ายก็มาอยู่ที่ตำบลชิงฉือของพวกเรา
ผมเงียบไปเล็กน้อย คิดว่าการเดาของอาจารย์ดูสมเหตุสมผล ไม่แน่เหล่าเฟิงอาจเป็นลูกหลานตระกูลเหลียงอะไรนั่นจริงๆก็ได้
ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ งั้นเหล่าเฟิงก็แค่ต้องไปพิสูจน์ตัวตน และก็จะได้กลับไปอยู่กับครอบครัวตัวเองใหม่
ถ้าเป็นแบบนั้น ก็คงดีสุดๆไปเลยละ
ผมไม่มีพ่อแม่ตั้งแต่เด็ก ผมรู้ดีว่าความรู้สึกคิดถึงพ่อแม่มันเป็นยังไง
“ ถ้าเป็นแบบนั้น งั้นเดี๋ยวผมจะไปบอกเหล่าเฟิงว่า ถ้ามีโอกาสเราจะพาเขาไปที่นั้นด้วยกัน ! ” ผมพูด
อาจารย์กลับสูดควันจากกระบอกสูบ “ เรื่องนี้เอาไปพูดวันหลังเถอะ ! จะเป็นแบบนั้นหรือเปล่าก็พูดยาก
แต่ในเมื่อหาวิธีแยกวิญญาณเจอแล้ว งั้นพวกเราก็ต้องรอดู ว่าจะหาแก่นหยินแดงได้อีกไหม ให้เสี่ยวเฟิงได้กลับมามีชีวิตที่อิสระ ไม่ต้องผูกติดกับพี่ชายของเขาอีก ! ”
ผมพยักหน้าเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
ตอนนี้ดูเหมือน เราจะทำได้แค่นี้แล้ว
ผมและอาจารย์ยังคุยต่ออีกสองสามประโยค หลังจากนั้นก็มีลูกค้าเข้าร้าน แล้วก็ลูกค้าอีกคน เราเลยหยุดคุยกันเท่านั้น แล้วเริ่มต้อนรับลูกค้า
สองสามวันต่อจากนั้น อาการของเหล่าเฟิงและเหล่าฉินก็ฟื้นตัวได้ดีมาก และเร็วมาก
ส่วนพี่เฟิง เขาไม่ได้ออกมาอีกเลย
แต่พวกเรารู้ดี ตอนนี้พี่เฟิงไม่ต้องให้เหล่าเฟิงใช้ยากระตุ้นออกมาแล้ว ถ้าเขาจะออกมา ก็ออกมาได้เอง
แล้วก็ยังมีเจ้าแมวแก่และยัยแก่องค์กรตาผี ก็หายไปเช่นกัน
การปรากฎตัวของพวกเขา เป็นเพียงแค่ชั่วครู่เท่านั้น
แต่พวกเราก็ไม่ได้ชะล่าใจ ไม่ดูถูก และประมาทศัตรู
โดยเฉพาะเวลาออกจากตำบลชิงฉือ นั่นเป็นสิ่งที่พวกเราต้องระวังเป็นพิเศษ
เพราะตำบลชิงฉือเป็นสถานที่พิเศษ ตอนนี้ยังมีปู่หูลิ่วคอยระวังให้ พวกเรามีคนเยอะ เลยไม่ต้องกลัวขนาดนั้น
แต่พอออกจากตำบลชิงฉือ ออกจากระยะของถนนนรก
สาวกของเจ้าองค์กรชั่วนั่นก็จะไม่สนทั้งกฎหมายและศีลธรรม ใครจะไปรู้ว่ามันจะลอบโจมตีเราจากข้างหลังหรือเปล่า
ช่วงสองสามวันนี้ นอกจากทำงานแล้ว พอมีเวลาว่างผมก็ฝึกวิชา และเดินลมปราณ
ด้วยพลังในร่างกายผมตอนนี้ หากอยากจะก้าวไปอีกขั้น จะต้องขึ้นไปถึงขั้นเต้าชือให้ได้เร็วที่สุด
แต่การฝึกจะต้องใช้เวลา ทำทุกอย่างให้เสร็จในคราวเดียวมันเป็นไปไม่ได้ ผมเลยต้องพยายามต่อไปเรื่อยๆ
เวลาผ่านไปอีกวันหนึ่ง ผมเก็บของปิดร้าน กำลังจะเอนตัวนั่งเล่นเกมบนโซฟา
แต่ในตอนนั้นเองจู่ๆผมก็ได้รับข้อความ หยางเฉ่วที่เป็นคนส่งมา
มันเป็นข้อความเสียง ผมเลยกดฟังทันที “ มหาลัยฉันปิดเทอมแล้ว พรุ่งนี้นายมาช่วยฉันขนของที่มหาลัยหน่อยนะ ! ”
ขนของ เรื่องนี้หยางเฉ่วบอกกับผมเมื่อหลายวันก่อนแล้ว และผมก็ได้ตกลงไปแล้ว
ดังนั้นผมเลยตอบกลับทันที “ ได้ ! เธอจะเดินทางกี่โมง ! ”
ข้อความเพิ่งถูกส่งไปแป๊บเดียว หยางเฉ่วก็ตอบกลับมา “ รถไฟออกบ่ายสาม นายมาตอนเที่ยงก็แล้วกัน ! ”
ผมไม่ได้ลังเลอะไรมากนัก ตอบกลับเธอตรงๆ “ ได้ ! ”
หลังจากพูดจบ หยางเฉ่วยังถามผมเรื่องอาการของเหล่าเฟิง และเล่นเกมกับผมอีกสองตา……
เมื่อถึงวันรุ่งขึ้น ผมบอกอาจารย์ว่าจะออกไปข้างนอก
พออาจารย์ได้ยินว่าผมจะเข้าเมือง เขาก็เตือนผมซ้ำแล้วซ้ำอีก บอกให้ผมระวังตัวดีๆ
ผมออกไปคนเดียว ต้องกลับบ้านก่อนฟ้ามืด จะได้ไม่ตกเป็นเป้าของศัตรู
ในเรื่องนี้ ผมรู้ดีอยู่แล้ว จึงพยักหน้าตอบรับ แล้วหลังจากนั้นก็นั่งรถมาที่มหาลัยศิลปะชิงชานทันที
พอมาถึงหน้ามหาลัย ก็เป็นเวลาพักเที่ยงพอดี
ผมโทรศัพท์หาหยางเฉ่ว บอกว่ามาถึงแล้ว
หยางเฉ่วได้ยินว่าผมมาถึงแล้ว เลยดูดีใจเป็นพิเศษ บอกให้ผมรอที่หน้ามหาลัยแป๊บหนึ่ง เดี๋ยวเธอจะออกมา
ผมวางโทรศัพท์ แล้วรอเธออยู่ที่หน้ามหาลัย
แม้มหาลัยจะปิดภาคเรียนแล้ว แต่ก็ยังมีนักศึกษาจำนวนมากที่ไม่ได้รีบกลับบ้านทันที ในเวลานี้ยังมีคนเดินเข้าออกหน้ามหาลัยกันอย่างว่าเล่น
เพราะเป็นมหาวิทยาลัยศิลปะ จึงมีผู้หญิงค่อนข้างเยอะ และยังมีสาวสวยเยอะอีกด้วย แต่น่าเสียดายที่หน้านี้ไม่ได้เป็นหน้าร้อน แต่ละคนต่างใส่ชุดมิดชิดกันทั้งนั้น
ผ่านไปแป๊บเดียว ผมก็เห็นหยางเฉ่วออกมา
ข้างๆเธอยังมีเพื่อนอีกคน ผมเองก็รู้จัก จูจู ตัวเอกในเรื่องผีเด็กทารกเมื่อครั้งก่อน
เมื่อเห็นทั้งสองคนออกมา ผมก็ฉีกยิ้มทักทายทันที
ไม่รอให้ผมได้พูดทักทาย จูจูที่อยู่ข้างๆหยางเฉ่วก็โบกมือทักทายผมก่อน “ ท่านนักพรตติง ! ”
“ สวัสดี ! ” ผมหัวเราะฮ่าๆ
ทั้งสองคนรีบเดินมาข้างผมอย่างรวดเร็ว ในเวลาเดียวกันผมก็ได้ยินหยางเฉ่วพูดขึ้นมาว่า “ อยากกินอะไร ? ฉันเลี้ยงข้าวเที่ยงเอง ! ”
หยางเฉ่วใช้น้ำเสียงขี้เล่นหน่อย ท่าทางดูใจกว้างมาก
ผมเองก็ไม่เกรงใจ “ เมื่อกี้ฉันเห็นข้างมีร้านชาบูแกะอยู่ พวกเราไปกินชาบูแกะกันเถอะ ! ”
“ ดีซิดีซิ ! ฉันได้ยินเพื่อนบอกว่า ร้านนั้นทำอร่อยมากเลยนะ ” จูจูพูดต่อ
หยางเฉ่วก็ไม่ได้ลังเล พยักหน้ารับทันที
ต่อจากนั้นพวกเราก็เดินมาที่ร้านชาบู เดิมทีพวกเราคิดแค่จะมาหาข้าวเที่ยงกินแค่นั้น แต่แล้วเรื่องไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น
ทุกครั้งที่ออกมากินข้างนอกบ้าน โดยเฉพาะเวลากินข้าวกับพวกผู้หญิง ผมจะต้องดวงซวยทุกทีซิ
เรายังกินชาบูไปไม่ถึงครึ่ง ก็มีคนเข้ามาหาเรื่องแล้ว……