หน้าแรก > ศพ
ตอนที่ 284 อุทิศตัวเองเพื่อฝึกฝน

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

*ตั้งค่าถาวร (คลิกตั้งค่าถาวร)

ตอนที่ 284 อุทิศตัวเองเพื่อฝึกฝน

มู่หลงเหยียนพูดถึงขนาดนั้นแล้ว ผมจะพูดอะไรได้อีก

 

ทำอะไรไม่ได้ ผมจำต้องตอบตกลงเท่านั้น

 

ดังนั้นเลยพูดกับป่าที่รกร้างว่า “ ก็ได้ ! ถึงตอนนั้นฉันจะซื้อแล้วเผาไปให้นะ ! ”

 

เสียงเพิ่งเงียบลง เสียงของมู่หลงเหยียนก็ดังตามมาติด เพียงแต่ครั้งนี้ฟังดูเสียงหวานขึ้นเท่านั้น 

“ โอเค ! งั้นนายรีบกลับไปเถอะ ! ”

 

ผมพยักหน้า ไม่ได้พูดอะไรต่อ หมุนตัวแล้วเดินออกไปจากที่นี่ทันที

 

หลังเดินออกมาจากป่ากุ่ยหม่า ก็เป็นเวลาสิบโมงแล้ว กว่าผมจะเดินอ้อยอิ่งกลับมาถึงร้านก็เที่ยงวันแล้ว

 

อาจารย์เห็นผมกลับมา จึงรีบถามทันทีว่าทำไมไปนานนัก

 

ผมก็ไม่รอช้า เล่าเรื่องที่ศาลเจ้าหลักเมืองและที่ป่ากุ่ยหม่าให้อาจารย์ฟังทันที

 

พออาจารย์ได้รู้ความคิดเห็นของปู่หูลิ่ว และการวิเคราะห์ของมู่หลงเหยียนแล้ว ก็เป็นเหมือนผมเป๊ะ 

เขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก และสบายใจขึ้นเยอะ

 

ไม่เพียงเท่านี้ ผมยังเล่าเรื่องเรียนวิชาดาบให้อาจารย์ฟังด้วย

 

อาจารย์พยักหน้าเล็กน้อย และพูดว่านี่เป็นเรื่องดี

 

แถมยังบอกในเมื่อเมียแกเป็นคนสอนให้ ก็ต้องไม่ใช่วิชาดาบธรรมดาๆแน่ๆ

 

จึงบอกให้ผมฝึกทั้งเช้าทั้งเย็น จะได้พัฒนาความสามารถในการต่อสู้ของตัวเอง เวลาออกไปท่องทั่วล่า 

จะได้หลบเลี่ยงอันตรายที่ไม่จำเป็นได้……

 

เพราะเมื่อคืนฝึกดาบมาทั้งคืน ตอนนี้ก็เลยเหนื่อยจนแทบขาดใจแล้ว

 

ช่วงบ่ายอาจารย์ให้ผมพักผ่อนดีๆ เขาจะนำเรื่องนี้ไปบอกให้พวกท่านนักพรตตู๋รู้เอง บอกให้ผมไม่ต้องเป็นห่วง

 

ส่วนเรื่องการมีอยู่ของมู่หลงเหยียน อาจารย์รู้ดีอยู่แก่ใจ ผมจึงไม่ต้องเตือนอะไร

 

ผมนอนพักตลอดทั้งบ่าย เมื่อลืมตาตื่นมาอีกครั้งก็ถึงช่วงหัวค่ำแล้ว

 

แต่เป็นเพราะความประทับใจในเพลงดาบ ผมเลยถือดาบไม้ไปที่ลานเล็กด้านหลังร้าน ในเวลาเดียวกันก็ถ่ายวิดิโอเก็บเอาไว้ ไม่อย่างงั้นวันหน้าจะลืมได้

 

เรื่องก็เป็นแบบนี้ เวลาค่อยๆเดินไปเรื่อยๆ ผ่านไปแค่ชั่วพริบตาก็ปาไปสิบกว่าวันแล้ว

 

ในช่วงสิบกว่าวันนี้ ผมฝึกดาบทุกวัน ฝึกจนมือเท้าล้า แต่ผมก็ฝึกเพลงดาบได้จนคุ้นชินแล้ว ให้ทำจากหลังไปหน้าก็ไม่มีปัญหา

 

ไม่ใช่แค่นั้น ผมยังให้เหล่าเฟิงมาประลองกับผมสองสามกระบวนท่า

 

ผมละไม่อย่าจะบอกเลย ตั้งแต่ได้เรียนวิชาดาบนี้ พลังต่อสู้ในการใช้ไม้ ก็เพิ่มขึ้นมากจริงๆ การเคลื่อนไหวของร่างกายก็ดีขึ้นไม่น้อย

 

ไม่ใช่เพียงเท่านั้น สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ ผมพบว่าช่วงนี้ พลังในร่างกายของตัวเองก็เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน

 

เมื่อวานนี้เอง ผมก็ทะลวงชั้นเต้าฉือจงชี มาสู่ขั้นเต้าฉือเตียนเฟิงได้แล้ว

 

อาจารย์ตกใจมาก บอกว่าผมเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ดี มีพรสวรรค์ในการฝึกได้ดีมาก

 

และยังบอกว่า ถ้าผมใช้ความเร็วระดับนี้ในการพัฒนาต่อไป ไม่แน่ปลายปีหน้า ผมอาจจะเลื่อนไปถึงขั้นเต้าชือเลยก็ได้

 

แต่ผมผ่านประสบการณ์เสี่ยงตายมาตั้งหลายครั้ง  เลยรู้ดีว่าพละกำลังและพลังเป็นสิ่งสำคัญ แต่ผมก็ยังรู้สึกว่าตัวเองมีพลังไม่พอ

 

ผมไม่ชอบที่ตัวเองพัฒนาได้ช้า เลยถามอาจารย์ว่ามีวิธีอะไรที่ทำได้เร็วกว่านี้ไหม สุดท้ายกลับโดนอาจารย์ด่ายกใหญ่

 

เขาบอกว่าลำดับขั้นที่ต่ำกว่าเต้าชือ เป็นขั้นตอนการวางรากฐาน ค่อยๆปล่อยให้มันพัฒนาเป็นเรื่องดีที่สุด ไม่อย่างนั้นจะไม่ส่งผลดีกับการฝึกในอนาคต

 

เขายังบอกว่า ตอนเขายังหนุ่มเขาใช้เวลาฝึกจากขั้นเต้าฉือมาเป็นเต้าชือ ต้องใช้เวลากว่าสองปีเต็มๆ

 

แต่ผมใช้เวลาแค่ครึ่งปี ก็ฝึกจากศูนย์มาจนถึงเต้าฉือเตียนเฟิงในตอนนี้แล้ว ความเร็วขนาดนี้ถือว่าน่าตกใจมากแล้ว

 

อาจารย์เลยบอกให้ผมไม่ต้องใจร้อน ค่อยๆเดินไปเรื่อยๆอะไรประมาณนั้น

 

แต่ยังไง ความเร็วในการฝึกของผมก็เร็วมากอยู่แล้ว เขาเลยบอกให้ผมไม่ต้องใส่ใจกับเรื่องพวกนี้ 

ไม่อย่างงั้นจิตใจจะสับสนวุ่นวายได้

 

นอกจากฝึกเดินพลังเพิ่มในช่วงหลายสิบวันนี้แล้ว ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก

 

จางจึเทาที่หนีไปก็ไม่ปรากฎตัวออกมา หรือแม้แต่ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆเลย

 

ในเวลาเดียวกันพวกเราก็กลับไปเยี่ยมฉิงหมิงเฉ่ว ชีวิตของเธอกลับมาเป็นปกติดังเดิมแล้ว 

และไม่มีสิ่งผิดปกติใดๆอีก

 

แถมยังขอบคุณพวกเรามากๆในโทรศัพท์ และยังบอกว่าช่วงนี้เธอกับอู่ฮุ่ยฮุ่ยทำงานด้วยกัน และยังบอกพวกเราว่าถ้ามีโอกาสก็แวะมาที่เมืองภาพยนตร์บ้าง……

 

ช่วงครึ่งนี้ค่อนข้างสงบ และไม่มีภารกิจให้ออกไปทำข้างนอก เมื่อไม่มีภารกิจข้างนอก ก็ไม่มีค่าคอมมิชชั่นและอั่งเปา

 

อาจารย์เหมือนพ่อไก่เหล็ก นอกจากเงินเดือนแล้ว หากไปขอเงินอย่างอื่นกับอาจารย์แทบเหมือนไปแลกชีวิตกับเขา ตาที่จ้องเข้ามานี่ใหญ่พอๆกับโคมไฟเลย

 

เมื่อมองดูปฏิทิน เทศกาลกวงกุ้นยังเหลืออีกห้าวัน

 

แต่เงินในมือกลับไม่พอกับของเซ่นไหว้ในรถเข็น ผมกำลังคิดว่าจะไปยืมเหล่าเฟิงดีหรือเปล่า จะได้เอาตัวรอดไปก่อน

 

ขณะกำลังขมวดคิ้วทำหน้าอย่างกับคนจะร้องไห้ จู่ๆก็มีเสียงของชายแปลกหน้าวัยกลางคนดังขึ้น 

“ ขอโทษทีที่นี่ใช่ร้านติงโย่วซาน ร้านของนักพรตติงหรือเปล่า ? ”

 

จู่ๆก็มีเสียงดังขึ้น ผมจึงดึงสติกลับมาทันที

 

เมื่อเงยหน้าขึ้น ก็พบว่าคนพูดคือชายหนุ่มวัยกลางคน

 

ชายวัยกลางคน อยู่ในชุดสบายๆ ปัดผมไปด้านข้าง ใส่แว่นตากรอบทอง ดูๆไปเป็นคนน่าสนใจมากคนหนึ่ง

 

ชายคนนี้ มาหาอาจารย์ผมถึงร้าน จากประสบการณ์ของผม เรื่องนี้จะต้องเกี่ยวกับธุระที่บ้านแปดสิบเปอร์เซ็นต์

 

ผมเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็คลี่ยิ้มอย่างมีมารยาท “ ใช่ครับ อาจารย์ผมเอง ไม่ทราบพวกคุณมาหาอาจารย์ผมมีเรื่องอะไรเหรอครับ ? ”

 

“ อ่อ ! งั้นก็ดีเลย ในที่สุดก็หาเจอสักที ! ” ชายวัยกลางคนทำท่าทางดีใจขึ้นมาทันที จากนั้นก็หันไปพูดนอกทางนอกร้านว่า “ หาเจอแล้ว ที่นี่แหละ ! ”

 

หลังจากพูดจบ ชายวัยกลางคนคนนั้นก็ค่อนข้างตื่นเต้น เขาพูดกับผมอีกครั้งว่า “ ท่านนักพรตน้อย ไม่ทราบ ไม่ทราบว่าอาจารย์ของคุณอยู่ที่ไหน ? เรามีเรื่องด่วนอยากพบเขา อยากเชิญเขาไปช่วย ! ”

 

“ อาจารย์ผมออกไปทำธุระข้างนอก คุณบอกกับผมก็ได้ ! ถ้าเป็นเรื่องด่วนจริงๆ ผมจะให้อาจารย์กลับมาทันที ! ” ผมค่อยๆพูด

 

ส่วนตัวอาจารย์ ตอนนี้เขากำลังนั่งดื่มชาอยู่กับเหล่าฉินที่สุสาน

 

ถ้าเป็นเรื่องด่วนจริงๆ ผมต้องตามอาจารย์กลับมาแน่นอน แต่ถ้าหากเป็นเรื่องที่ไม่แสบไม่คัน งั้นก็ไม่จำเป็นแล้ว

 

เมื่อชายวัยกลางคนได้ยินผมพูดแบบนั้น ก็ตอบรับว่า “ อือ ” จากนั้นก็พูดต่อทันที “ ท่านนักพรตน้อย 

เรื่องใหญ่ เรื่องใหญ่จริงๆ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชีวิตของลูกชายผม ถ้าอาจารย์ของคุณไม่ออกโรง ลูกชายเราอาจต้องตาย ! ”

 

คำพูดของชายวัยกลางคนเพิ่งเงียบลง ผู้หญิงวัยกลางคนอีกคนหนึ่งก็รีบวิ่งเข้ามาในร้าน

 

ผมไม่ได้สนใจอะไรมากนัก เพียงพูดต่อ “ พวกคุณนั่งลงก่อน มีเรื่องใหญ่อะไร ? พวกคุณช่วยเล่าให้ผมฟังก่อน ! ”

 

ผมพูดอย่างเยือกเย็น ช่วงหลายปีมานี้ สถานการณ์แบบนี้ทำให้ผมชินชาแล้ว ทุกคนที่มาถึงที่นี่มักมาขอความช่วยเหลือ บอกให้ช่วยชีวิตกันทั้งนั้น

 

แต่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นแค่ตกใจกลัวกันไปเอง ดังนั้นผมจึงต้องวิเคราะห์สถานการณ์ของพวกเขาก่อน

 

ชายหญิงวัยกลางคนคู่นี้ก็นั่งลง ผู้หญิงที่เพิ่งเข้ามาเห็นผมทำหน้าเยือกเย็น เธอจึงรีบพูดขึ้นมาทันที 

“ นักพรตน้อย ! รีบเรียกอาจารย์ของคุณมาเถอะ ! เรื่องเป็นแบบนี้ ลูก ลูกชายของฉันโดนผีผู้หญิงสิงร่าง โดนดูดพลังหยางไปเกือบหมดแล้ว นี่เพิ่งผ่านไปแค่ครึ่งเดือน คนก็ผอมจนไม่เหลือเค้าของคนแล้ว…… ”

 

ขณะพูด หญิงวัยกลางคนคนนี้ก็ร้องไห้ออกมา

 

หลังจากนั้นเธอก็หยิบโทรศัพท์ออกมา ให้ผมดูรูปลูกชายของเธอ

 

แต่ตอนผมเห็นรูปนี้ ผมก็ตะลึงทันที

 

ด้านในมีสองภาพ ภาพหนึ่งเป็นเด็กหนุ่มที่มีสไตล์ มีสง่าราศีสมวัย

 

ส่วนอีกภาพหนึ่งกลับผอมเหลือแต่กระดูก เบ้าตาเว้าลึก เหมือนคนแก่ไม่มีผิด

 

ถ้าไม่บอกว่านี่เป็นคนคนเดียวกัน คงไม่มีใครเชื่อมโยงกันได้ว่าทั้งสองคนเกี่ยวข้องกัน

 

แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ผมพบว่าผมเคยเจอคนในภาพมาก่อน

 

ไม่ใช่แค่เคยเจอ ถ้าจะพูดให้ชัดเจนก็คือ ผมเคยอัดเขามาก่อน

 

เมื่อหลายสิบวันก่อน อู่ฮุ่ยฮุ่ยเชิญพวกเราไปกินข้าวที่โรงแรมหนานเทียนต้า ขากลับผมดันไปเจอลูกเศรษฐีกำลังลังแกเสี่ยวม่าน ผมเลยยื่นมือเข้าไปช่วย ทำข้อมือของเจ้าลูกเศรษฐีนั่นเคลื่อน

 

และเจ้าลูกเศรษฐีนั่น ก็เหมือนกับเด็กหนุ่มในรูปนี่เป๊ะ !

 

ผมใจหาย นี่มันไม่ใช่เจ้าชายหลงฟาผู้เย่อหยิ่งชอบใช้อำนาจ ขับรถลัมโบร์กินีพาสาวเที่ยวหรอกเหรอ ?

 

นี่เพิ่งผ่านไปครึ่งเดือน ทำไมถึงมีสภาพไม่ต่างจากผีอย่างงี้ละ ?

Copyright © 2019 spoilsoc.com All rights reserved.