spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
*ตั้งค่าถาวร (คลิกตั้งค่าถาวร) |
ตอนที่ 275 เปลี่ยนแปลง
หลังโอนค่ามัดจำสามหมื่นหยวนแล้ว พวกเราก็ได้สถานที่นัดพบมาอย่างรวดเร็ว โรงงานร้างในเขตชานเมืองทิศเหนือ ดูเหมือนจะคล้ายกับที่ฉิงหมิงเฉ่วพูดเอาไว้พอสมควร
ระยะเวลาสามวันที่อีกฝ่ายพูดถึง ทางเราก็ไม่ได้ขัดข้องใดๆ
จึงตอบตกลงทันที แล้วผมถึงได้เก็บโทรศัพท์
อาจารย์เห็นผมเก็บโทรศัพท์ จึงสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดว่า “ ต้นทุนครั้งนี้สูงจริงๆ หลังจากนี้สามวัน
ต้องให้เจ้านักพรมชั่วนี่คืนเงินสามหมื่นมาให้เราให้ได้ ! ”
เมื่อได้ยินอาจารย์พูดถึงขนาดนี้ ผมกลับเผยสีหน้าอึดอัดใจออกมา
อาจารย์ไม่สนใจเรื่องอื่น เขาสนใจแค่เงินสามหมื่นนี้เท่านั้น
ต่อมา เราก็นำเรื่องนี้ไปบอกกับเหล่าเฟิงและท่านนักพรตตู๋ ในเวลาเดียวกันก็โทรไปทักทายหยางเฉ่วที่อยู่ในเมืองด้วย
ผ่านไปไม่นาน ท่านนักพรตตู๋และเหล่าเฟิงก็มาหาเราที่ร้าน เริ่มเรื่องวิธีการรับมือครั้งนี้อย่างละเอียด
สามวัน คนเดียว
เวลายังค่อนข้างเหลือเฟือ พวกเราสามารถเตรียมอาวุธดีๆได้อีกเยอะ
แต่ใครจะเป็นคนไปตามนัดละ ? ใครจะไปเผชิญหน้ากับนักพรตจางเพียงลำพัง กลายเป็นหัวข้อโต้เถียงกันขึ้นมาทันที
ตอนแรก ท่านนักพรตตู๋และอาจารย์เถียงกัน ทั้งสองคนล้วนไม่ยอมถอยให้ใครทั้งนั้น
ผมครุ่นคิดเงียบๆอยู่ครู่หนึ่ง คิดว่าให้อาจารย์และท่านนักพรตตู๋ไปไม่ได้
แม้พวกเขาจะมีพลังเยอะที่สุด สามารถปกป้องตัวเองได้ดีที่สุด
แต่ก็เพราะแบบนั้น พวกเราจะโดนเปิดเผยตัวตนได้ง่ายที่สุด
พอพวกเขาหันกลับมามองผมกับเหล่าเฟิง ที่มีพลังไม่มากนัก เหมือนคนหนุ่มทั่วไปไม่มีอะไรผิดปรกติ
ถ้าผมสองคนไปเจอ จะทำให้เกิดความสับสนมากกว่าเดิม
ดังนั้น ผมเลยพูดความคิดของตัวเองออกมา
หลังอาจารย์และท่านนักพรตตู๋ฟังจบ ก็คิดว่ามันมีเหตุผลพอสมควร
ถ้าอีกฝ่ายมีพลังเยอะละก็ จะรับรู้พลังบนตัวอาจารย์และท่านนักพรตตู๋ได้อย่างง่ายดาย
เมื่อโดนสัมผัสได้ ตัวตนก็จะถูกเปิดเผย ทำให้แผนต่อจากนั้นต้องพังลงทั้งแถบ
ผมและเหล่าเฟิงมีพลังน้อย ยังไม่ถึงขั้นปลดปล่อยพลังได้
ด้วยเหตุนี้ หนึ่งในพวกผมจะต้องเป็นคนไป ซึ่งใครคนนั้นจะต้องปกป้องตัวเองได้ดีพอสมควร
และสร้างความสับสนได้เก่ง
ถ้าให้เลือกระหว่างเหล่าเฟิงกับผม ผมมั่นใจว่าตัวเองเหมาะสมกว่า
เหล่าเฟิงเป็นคนเงียบๆ ปกติก็เย็นชากับทุกคน ปากคอเราะร้าย
ดังนั้นผมเลยเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด ถึงตอนนั้นผมก็ต้องไปจุดนัดพบที่โรงงานร้าง
หลังจากนั้นอาจารย์และคนอื่นๆก็จะค่อยๆตามมา เข้าไปในโรงงานร้างอย่างเงียบๆ ล้อมเขาเอาไว้
ถ้าหาโอกาสได้ ก็จะกำจัดเจ้านักพรตจางอะไรนั่นให้สิ้นซาก ไม่ให้เกิดภัยร้ายขึ้นอีกในอนาคต
พวกเราคุยเรื่องแผนการกันคร่าวๆ และขั้นตอนต่างๆในนั้น
หลังจากนั้นก็คุยเรื่องรายละเอียดต่างๆ และเหตุการณ์หรือเรื่องราวต่างๆที่อาจเกิดขึ้นว่าเราควรเตรียมอาวุธอะไรไปบ้าง
การลงมือครั้งนี้ เป็นการสู้กับนักพรตชั่ว
การรับมือกับนักพรตชั่วไม่เหมือนกับการสู้กับผีร้ายผีดิบ ผีร้ายผีดิบพวกนี้ล้วนไม่มีปัญญา สู้ไม่ได้ก็ยังหนีได้ วันหลังค่อยกลับมาคิดบัญชีใหม่ก็ยังได้
แต่กับนักพรตชั่วมันไม่เหมือนกัน ถ้าเกิดข้อผิดพลาดหรือช่องโหว่ในระหว่างนั้น ไม่เพียงแผนจะล่ม
อาจถูกฆ่าด้วยซ้ำไป อันตรายที่ต้องเผชิญจึงสูงกว่าภูติผีวิญญาณหลายเท่า……
ระยะเวลาสามวันก็ไม่ได้นาน เพียงชั่วพริบตาก็มาถึงแล้ว
วันนี้ผมกินอาหารเย็นกันตั้งแต่หัวค่ำ หลังจากนั้นก็หอบอาวุธ แล้วไปรวมตัวกับท่านนักพรตตู๋และคนอื่นๆ จากนั้นก็เดินทางไปทางเหนือของเมืองทันที
ก่อนออกเดินทาง ผมโทรศัพท์ไปหาหยางเฉ่วเรียบร้อยแล้ว
เธอจะรอเราอยู่ที่ทางเหนือของเมือง พอถึงเวลารวมตัว เธอจะเล่าเรื่องโรงงานร้างให้พวกเราฟังอีกที
เมื่อพวกเราไปถึงถนนทางตอนเหนือของเมือง ก็เป็นเวลา 21.30 น. แล้ว
ในเวลาเดียวกันก็ได้พบกับหยางเฉ่วในที่ที่นัดกันเอาไว้ หยางเฉ่วทักทายพวกเราสั้นๆ หลังจากนั้นก็พาพวกเราไปที่โรงงานร้างทันที
ที่นี่อยู่ในเขตเมืองที่ต้องได้รับการพัฒนา โรงงานจึงถูกย้ายออกไปไกลมาก รอบๆไม่มีบ้านเรือนอยู่
ส่วนเรื่องการพัฒนาถูกระงับเอาไว้ชั่วคราว
ดังนั้นสถานที่แห่งนี้จึงวังเวงมาก ถนนถูกปิดกั้น ไม่มีรถวิ่งผ่านสักคัน
ต่อจากนี้ครึ่งชั่วโมง พวกเราต้องเดินกันลูกเดียว
ระหว่างทาง หยางเฉ่วก็อธิบายขนาดและรูปร่างคร่าวๆของโรงงานให้พวกเราฟัง
หรือแม้แต่หยิบแผนที่ทำเองขึ้นมา นี่เป็นสิ่งที่หยางเฉ่วสำรวจเองทั้งหมด ภูมิประเทศและขนาด
ล้วนไม่มีทางผิดพลาดอย่างแน่นอน
หลังทำความเข้าใจภูมิประเทศแล้ว พวกเราก็เข้าใจหลายๆอย่างมากขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นไล่ตามหรือหนี ก็มีประโยชน์กับพวกเราทั้งนั้น
หลังอาจารย์และคนอื่นๆนำแผนที่ มาปรับใช้อย่างรวดเร็ว
เมื่อเข้ามาใกล้โรงงานแล้ว อาจารย์และคนอื่นๆก็แยกจากผม พวกเขาออกจากถนนใหญ่ อ้อมไปข้างๆโรงงาน หลังจากนั้นก็ซุ่มอยู่กับที่
แบบนี้ก็สามารถพ้นจากสายตาของคนอื่น และปิดบังตัวเองได้สูงสุดด้วย
ส่วนผมก็เดินบนทางหลัก ก้าวขาใหญ่ๆเข้าไปในโรงงานร้าง
ขอแค่ทางฝั่งผมเกิดอะไรขึ้น เพียงตะโกนหนึ่งครั้ง อาจารย์และคนอื่นๆก็จะเข้ามาจากรอบข้าง พอโดนโจมตีทั้งหน้าหลังแล้ว นักพรตคนนั้นก็ไม่มีทางติดปีกหนีไปได้ง่ายๆแล้ว
ขณะคำนวณในใจ ผมก็ระวังรอบข้างไปพร้อมๆกัน
แต่สถานที่แห่งนี้วังเวงและทรุดโทรมมาก คืนนี้ยังเป็นคืนที่เมฆบดบังพระจันทร์ ข้างนอกจึงมืดเป็นพิเศษ มองเห็นได้เพียงระยะห้าเมตรเท่านั้น
เมื่อผมมาถึงประตูโรงงาน ประตูเหล็กถูกสนิมกินนานแล้ว หน้าประตูยังมีป้ายโทรมๆขนาดใหญ่ติดอยู่ โรงงานปุ๋ยต้าฟุ
ผมไม่ได้คิดมาก เพียงเดินเข้าไปเท่านั้น
หลังจากเดินเข้าไป ก็เป็นทางเดินเส้นหนึ่ง
เมื่อเดินมาสุดทางแล้ว ก็จะเจอเข้ากับห้องเล็กๆห้องหนึ่ง
แต่ที่นี่เต็มไปด้วยวัชพืชและขยะ และยังมีร่องรอยว่าเคยโดนเผามาก่อน
หลังจากกวาดสายตามองรอบๆ ผมก็ไม่พบสิ่งผิดปกติอะไร จึงเดินไปข้างห้องเล็กๆนั้น เพื่อหาที่นั่งรอแถวๆนี้
เวลามีคนเข้ามา ผมจะได้รู้ตั้งแต่วินาทีแรก และตัวอีกฝ่ายเองก็จะได้รู้ตัวตั้งแต่ตอนแรกเช่นกัน
เพียงแค่อากาศเริ่มหนาวขึ้น ดึกดื่นค่อนคืนขนาดนี้ นั่งรออยู่ข้างนอกก็ค่อนข้างหนาวจริงๆนั่นแหละ
ผมจามสองสามครั้ง กอดเสื้อแน่น และก็จุดบุหรี่ขึ้นมา
แม้ผมจะไม่เห็นร่องรอยของพวกอาจารย์ แต่ผมเชื่อว่า ตอนนี้พวกเขาน่าจะซ่อนตัวอยู่มุมใดมุมหนึ่ง
คอยมองดูผมจากความมืดมิด ขอแค่ผมร้องออกมา พวกเขาต้องออกมาทันทีอย่างแน่นอน
ผมนับเวลาถอยหลัง ทนต่อความหนาวเย็นเอาไว้ รอแล้วรอเล่า ในที่สุดตัวเองก็รอจนถึงเที่ยงคืน
แต่นักพรตจางที่ผมรออยู่ กลับไม่ออกมาปรากฎตัวสักที
ผมจึงเริ่มร้อนใจ เจ้าหมอนี่คงไม่ได้ลืมแล้วหรอกมั้ง ?
ผมลุกขึ้น มองออกไปที่ทางเดินพักหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ไม่เห็นใครเข้ามา เงาคนแม้แต่ครึ่งก็ไม่มี
ผมเลยถอนหายใจ ดูจากสภาพแล้วเจ้าหมอนี่ต้องมาสายแน่ๆ
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ผมก็กำลังจะกลับไปนั่งรอที่เดิม
แต่ในช่วงที่ผมหมุนตัว กลับพบว่าห่างออกไปห้าเมตร มีร่างของใครบางคนปรากฎขึ้นบนอากาศแล้ว
ร่างนั้นสวมใส่เสื้อคลุมสีดำตัวใหญ่ คล้ายเสื้อกันฝน มองเห็นหน้าตารูปร่างไม่ชัด ตอนนี้เขากำลังจ้องผมอยู่ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
คนคนนั้นปรากฎตัวขึ้นอย่างกระทันหัน ผมยังไม่ได้เตรียมใจ จึงตกใจในทันที
แต่หลังจากทำใจให้สงบลงแล้ว เจ้าหมอนี่ก็น่าจะเป็นคนที่ติดต่อกับผม นักพรตจางคนนั้น
ผมเลยสูดหายใจเข้าลึกๆ คิดจะใช้เรื่องที่เตรียมเอาไว้ก่อนหน้านี้ทักทายเขา
แต่ไม่รอให้ผมได้พูดออกมา จู่ๆในชุดคลุมดำนั้น ก็หัวเราะ “ ฮ่าๆ ” อย่างน่าขนลุกขึ้นมา
เสียงนั้นค่อนข้างทุ่มต่ำและแหบแห้ง ฟังแล้วรู้สึกไม่สบายอย่างมาก
ผมขมวดคิ้ว ค่อนข้างสงสัย มันขำอะไรวะ ?
แต่ทันใดนั้นเอง ผมก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูอยู่หน่อยๆ และมันยังเป็นเสียงผู้ชายที่แหบเล็กน้อย ดังเข้ามาในหูของผม “ ทำให้คนประหลาดใจได้จริงๆ คิดไม่ถึงว่าลูกค้าของฉันจะเป็นแก ติงฝาน…… ”