spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
*ตั้งค่าถาวร (คลิกตั้งค่าถาวร) |
ตอนที่ 274 หมึกแห่งความแค้น
หลังจากอาจารย์เห็นกระดาษสีหมึกในมือผม กลับแสดงสีหน้าแบบนั้นออกมาอย่างกระทันหัน ผมจึงตกใจในทันที
แต่ไม่รอให้ผมได้พูดออกมาอีกครั้ง อาจารย์ก็คว้ากระดาษสีหมึกในมือผมไป แล้วพูดออกมาอย่างร้อนรน “ ไอ้เด็กเวร ทำไมแกถึงเอาเจ้านี่กลับมาฮะ ของแบบนี้แกแตะต้องได้เหรอฮะ ? ”
ขณะพูด อาจารย์ก็หยิบไฟแช็คที่พกติดตัวเอาไว้ ออกมาเผากระดาษสีหมึกนั้นต่อหน้าต่อตาผม
แต่ขณะที่กระดาษสีหมึกติดไฟ มันกลับดูผิดปกติสุดๆ เพราะไฟที่มอดไหม้นั้นไม่ใช่สีแดง และไม่ใช่สีเขียว แต่เป็นสีหมึก ควันที่ออกมา ก็แสบจมูกมาก กลิ่นเหม็นสุดๆเลยละ
เมื่อเห็นหน้าอาจารย์เต็มไปด้วยความหวาดกลัว และเปลวไฟประหลาดนี้ ผมก็งงสุดๆ
“ อาจารย์ กระดาษสีหมึกนี่มันคืออะไรเหรอ ? ” ผมถามด้วยความสงสัย
อาจารย์มองกระดาษสีหมึกที่กำลังมอดไฟ แล้วพูดกับผมว่า “ เจ้าเด็กนี่ จะให้อาจารย์พูดกับแกยังไงดีนะ
เจ้าสิ่งนี้ชั่วร้ายมากนะรู้ไหม ! ”
ผมเกาหัว “ ก็ผมไม่รู้นิ อาจารย์อธิบายให้ผมฟังหน่อยซิ ! ”
อาจารย์กลอกตาให้ผม หลังจากนั้นถึงพูดว่า “ กระดาษแผ่นนี้เรียกว่าหมึกแห่งความแค้น เป็นตัวกลางที่รวบรวมความแค้นของสิ่งชั่วร้ายเอาไว้ ถ้าคนเป็นพกเจ้าสิ่งนี้ติดตัวเอาไว้ ผ่านไปไม่นาน ใครคนนั้นก็จะโดนพลังด้านลบของมันทำร้าย เบาหน่อยก็แค่เจ็บไข้ได้ป่วย หนักหน่อยก็จิตใจผิดปกติ
หรือแม้แต่เปลี่ยนเป็นคนบ้าก็ว่าได้ ! ”
เมื่อได้ยินอาจารย์พูดถึงขนาดนี้ ผมก็อดทำหน้าสยองขวัญออกมาไม่ได้
คิดไม่ถึงว่าเจ้ากระดาษแผ่นเล็กๆนี้ จะมีความร้ายกาจถึงขนาดนี้
แต่มันก็แปลกนะ ทำไมพวกผีต้องเอาความแค้นมาใส่ในนี้ด้วยละ พอทำแบบนี้แล้ว จะดีกับพวกเขายังไงละ ?
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ผมก็นำคำถามที่อยู่ในใจ ถามออกไปทีละข้อๆ
หลังอาจารย์ฟังจบ ก็เอ่ยปากอธิบายว่า “ เท่าที่อาจารย์รู้ นอกจากเจ้าสิ่งนี้จะสามารถสะสมความแค้นได้แล้ว มันยังเก็บพลังหยินได้อีกด้วย คล้ายกับเป็นตัวกลางที่สามารถรวบรวมสิ่งต่างๆได้ ”
“ เวลาสิ่งชั่วร้ายพวกนั้นอ่อนแอ ก็จะสามารถดึงพลังแห่งความแค้นที่เก็บรวมรวมไว้ในกระดาษหมึกแผ่นนี้ มาเพิ่มพลังให้ตัวเองได้ก่อน ก็เหมือนเกมที่แกเล่นไง พอบาดเจ็บหนักแล้วก็หาตัวช่วยในกระเป๋าน่ะ ! ”
ไม่พูดไม่ได้ อาจารย์อธิบายได้เห็นภาพจริงๆ ทำเอาผมเข้าใจในทันทีเลย
เมื่อคิดถึงคำพูดที่ผีลามกเจิงต้าจือ และผีพี่เก้าคุยกันเมื่อก่อนหน้านี้
ผมก็เริ่มพบว่า เจ้าสิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งที่พวกมันใช้เก็บพลังหยินหรอกเหรอ ?
นำพลังหยินที่เก็บได้ มาใส่ไว้ในกระดาษแผ่นนี้ หลังจากนั้นก็ค่อยนำไปให้นักพรตจางคนนั้น ทำให้ภารกิจของตนเองเสร็จสมบูรณ์
ผมคิดอย่างเงียบๆ และแล้วผมก็คิดว่ามันน่าจะเป็นไปได้อย่างมาก
อาจารย์เห็นผมเงียบไป จึงพูดขึ้นมาขัดความคิดของผมทันที “ เสี่ยวฝาน เมื่อคืนแกไปทำอะไรมา ?
คงไม่ได้ออกไปไล่ปราบผีอีกแล้วหรอกใช่ไหม ? ”
เมื่อได้ยินอาจารย์ถาม ผมก็ได้สติกลับมา
เผยรอยยิ้มแสนขมขื่น “ ใช่ครับ ผมจะเล่าให้ฟัง เมื่อคืนผม เฟิงเฉ่วหาน แล้วก็ยังมีหยางเฉ่วร่วมมือกัน
ไปจัดการผีกระจอกตัวหนึ่ง ผลลัพธ์พอไปถึงที่กลับพบว่า เจ้าผีกระจอกนั้นไม่ใช่แค่ผีกระจอกธรรมดา
แต่เป็นผีลามกตัวหนึ่ง…… ”
ต่อจากนั้น ผมก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานให้อาจารย์ฟังตั้งแต่ต้นจนจบ
อาจารย์ก็ฟังไปอึ้งไป ตอนได้ยินถึงฉากสุดท้าย ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับองค์กรตาผี เขาก็อดสูดหายใจเข้าลึกๆไม่ได้ พร้อมเผยสีหน้ากังวลใจออกมา
เจ้าองค์กรชั่วนี้ไม่ใช่สิ่งที่นักพรตตัวเล็กๆอย่างพวกเราจะต่อกรด้วยได้ มีเพียงสำนักใหญ่ๆเท่านั้น ถึงจะกล้าไปเป็นศัตรูด้วย
แต่ถ้าพูดย้อนกลับไป ตอนเจอ พวกเราจะไปรู้ที่ไหนละว่าอีกฝ่ายเป็นคนขององค์กรตาผีหรือเปล่า
แต่ถึงจะรู้แล้วก็ตาม จะเห็นคนแล้วไม่ช่วยได้เหรอ ? ปล่อยให้เจ้าผีลามกชั่วนั้น พัวพันกับฉิงหมิงเฉ่วไปตลอดชีวิตงั้นเหรอ ?
หลังอาจารย์ฟังเรื่องทั้งหมด ก็สูดหายใจเข้าลึกๆ “ เฮ้อเสี่ยวฝาน ! เจ้าองค์กรชั่วนี้มีอำนาจเยอะจริงๆ
ลูกน้องผียังร้ายกาจขนาดนี้ แล้วพวกคนที่อยู่เบื้องหลังก็ต้องเก่งไม่แพ้กันแน่ๆ เราทำลายเรื่องดีๆของพวกมันครั้งแล้วครั้งเล่า วันข้างหน้าเราต้องระมัดระวังให้มากขึ้นแล้ว ! ไม่อย่างงั้นจะโดนเล่นงานได้ ”
ผมพยักหน้า “ อาจารย์วางใจได้ ผมต้องระวังตัวแน่นอน แต่อาจารย์ เจ้าเจิงต้าจือกับผีผู้ชายอีกตัว เป็นแค่ตัวประกอบเท่านั้น คนที่อยู่เบื้องหลัง ยังมีนักพรตจางและอาจารย์อีกหนึ่งคน ! ตัวอาจารย์คนนี้เราไม่ได้เบาะแสอะไรมากมาย ตอนนี้รู้แค่ว่ามีเขาคนนี้เกี่ยวข้องด้วยเท่านั้น แต่เจ้านักพรตจางนี่ ผมกลับมีเงื้อนงำแล้ว หรือจะพูดได้ว่าหาช่องทางติดต่อ ของเจ้าหมอนี่เจอแล้ว ”
“ หือ ไหนว่ามาซิว่าแกมีเบาะแสอะไร ? ” อาจารย์ก็จริงจังขึ้นมา เขาไม่มีอารมณ์กินข้าวต่อแล้ว
ผมก็ไม่รอช้า รีบหยิบมือถืออกมา เปิดวีแชทให้อาจารย์ดู
บอกว่าขอแค่อีกฝ่ายตอบกลับมา ผมก็จะใช้ประโยชน์จากฐานะลูกค้าขอซื้อกุมารทอง ติดต่อนัดเจ้านักพรตชั่วนี่ออกมา สุดท้ายก็หว่านแหจับทีเดียว ทำลายล้างคนชั่วให้สิ้นซาก
อาจารย์พยักหน้าเล็กน้อย คิดว่าวิธีนี้เป็นไปได้
แต่เขาก็ยังบอกผมอย่างเคร่งขรึม ถ้าจะไปต่อสู้กับเจ้านักพรตจางคนนี้ ห้ามทำกันตามลำพัง จะต้องเรียกเขากับท่านนักพรตตู๋ไปด้วย
มีเพียงวิธีนี้เท่านั้น ที่จะทำให้พวกเขาสบายใจ
สำหรับเรื่องนี้ เป็นธรรมดาที่ผมจะเข้าใจอยู่แล้ว
นักพรตจางที่พูดถึง ตำแหน่งที่น้อยที่สุดก็อาจจะเป็นหัวหน้าหน่วยย่อยขององค์กรตาผี
ถ้าจะไปสู้กับหัวหน้าน้อยนั่นจริงๆ พวกเราก็ไม่กล้าไปกันตามลำพังเหมือนกัน
เนื่องจากสายงานของพวกเรา ใช้ชีวิตอยู่บนคมดาบ ประมาทไปเพียงนิดเดียว ก็อาจตายโดยไม่ได้ฝัง
หรือแม้แต่คนเก็บศพให้ตัวเองก็ยังไงมีเลยด้วยซ้ำ
ดังนั้นผมเลยรับปากกับอาจารย์ว่า ถ้ามีข่าวคราวอะไรแล้ว ผมจะรีบมาบอกเขาทันที จะไม่ทำตัวประมาทเด็ดขาด
ตกบ่าย ผมนอนหลับอยู่ในห้อง ส่วนอาจารย์ออกไปคุยกับท่านนักพรตตู๋ที่ร้านยาไป๋ฉ่าวพักหนึ่ง
นำเรื่องที่ผมและเหล่าเฟิงเล่าให้ฟัง วิเคราะห์กันอย่างละเอียดอีกรอบหนึ่ง
ผู้อาวุโสทั้งสองต่างเห็นพ้องต้องกัน ขอแค่มีโอกาสที่เหมาะสม จะต้องลงมือ……
เมื่อเรื่องมาถึงจุดนี้ ผมก็เฝ้ามองโทรศัพท์มาสามวันสามคืนแล้ว
จนกระทั่งช่วงสายของวันที่สี่ ในที่สุดเขาก็กดรับผมเป็นเพื่อน
รอมาตั้งหลายวันขนาดนี้ ในที่สุดก็ได้เป็นเพื่อนกับนักพรตจาง
ผมจึงไม่ลังเลแต่อย่างใด รีบส่งข้อความไปหานักพรตจางคนนี้ทันที “ สวัสดีครับท่านนักพรตจาง
ผมอยากได้กุมารสักองค์ ”
ผมเองก็ไม่พูดอ้อมค้อม เปิดประเด็นทันที
ผ่านไปแค่แป๊บเดียว อีกฝ่ายก็ตอบกลับมาว่า “ มีสามประเภท โชคลาภ อายุยืน ปกป้องนายไล่ศัตรู ”
คำพูดพวกนี้เข้าใจง่ายมาก ก็คือกำลังถามผมว่าอยากได้แบบไหน
ผมก็ไม่ลังเล ตอบกลับเป็นประเภทแรกทันที โชคลาภ
ส่งข้อความไปไม่ถึงสิบวินาที อีกฝ่ายก็ตอบกลับมาว่า “ 120,000 หยวน ! ค่ามัดจำ 30,000 หยวน ”
ดีนักนะ คิดไม่ถึงว่าแค่กุมารตัวเล็กจะแพงถึงขนาดนี้ แถมยังต้องจ่ายค่ามัดจำเยอะขนาดนั้นด้วย
ตัวผมจะมีเงินเยอะขนาดนั้นได้ยังไง ? จึงรีบเอาเรื่องนี้ไปบอกอาจารย์
อาจารย์ก็ไม่ลังเลแต่อย่างใด เค้นเสียงดัง ฮึ บอกว่าขอแค่ล่อเจ้านักพรตชั่วนี่ออกมาได้ สามหมื่นก็สามหมื่นเถอะ เขาบอกให้ผมตกลงไปก่อน แล้วเดี๋ยวเขาจะโอนให้ผม
เมื่ออาจารย์รับปากแล้ว ผมก็ตอบว่า ตกลงทันที ในเวลาเดียวกันก็ขอเวลาและสถานที่นัดพบจากอีกฝ่าย
นักพรตจางก็ไม่ได้รีบตอบกลับผมทันที แต่รอให้ผมโอนเงินค่ามัดจำสามหมื่นไปแล้ว อีกฝ่ายถึงตอบกลับผมว่า “ สามวันหลังจากนี้ เวลาเที่ยงคืน ที่โรงงานร้างในเขตชานเมืองทางด้านทิศเหนือของเมืองชิงฉือ
มาคนเดียวเท่านั้น ”