spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
*ตั้งค่าถาวร (คลิกตั้งค่าถาวร) |
ตอนที่ 259 หัวโล้น
ในตอนที่โทรศัพท์หาอู่ฮุ่ยฮุ่ย ประจวบเหมาะกับผมมีเวลาว่างและไม่มีธุระพอดี
แล้วก็ไม่ได้คิดอะไรมากก็เลยรับปากไป
สถานที่นัดพบของอู่ฮุ่ยฮุ่ยคือในเขตเมือง เวลาคือวันเสาร์ซึ่งเป็นวันพรุ่งนี้และเธอยังบอกอีกว่าเธอมีเพื่อนสนิทที่อยากจะทำความรู้จักพวกเราสักหน่อยด้วย
ในขณะนั้นผมก็ไม่ได้สนใจ เพราะคิดว่าอาจจะเป็นเพราะเลื่อมใสในอาชีพที่พวกผมเป็นอยู่ พอได้มาเจอก็แค่คนธรรมดาแค่นั้นเอง !
" ฮ่าฮ่า " ผมหัวเราะสองสามครั้งแล้วพูดคุยอีกสองสามประโยค และพูดถึงเวลาที่นัดเอาไว้ของพวกเรา
หลังจากนั้นก็กดวางสายและส่งข้อความทางวีแชทไปหาเหล่าเฟิงและหยางเฉ่ว เพื่อเตรียมการเรื่องเวลา พรุ่งนี้อาจจะนัดเจอกันก่อนหลังจากนั้นค่อยไปร้านอาหารด้วยกัน
หยางเฉ่วอยู่ในเขตเมืองไม่ไกลจากร้านอาหารที่จะไปทาน เมื่อพูดถึงเวลาที่ให้รอพวกเราก็แค่โทรหากันก็สิ้นเรื่องแล้วนี่
เพราะว่าพรุ่งนี้ต้องออกไปทานข้าว และผมของผมในตอนนี้ก็ค่อนข้างยาวแล้วด้วยควรจะออกไปตัดผมซะหน่อย
เดิมที่ผมอยากจะตัดผมทรงสกินเฮด แบบนั้นดูแล้วมีชีวิตชีวา
แต่ใครจะรู้ว่าจะได้เด็กติดโทรศัพท์มาตัดผมให้ผม เมื่อคืนวานเขาต้องไม่ได้หลับตลอดทั้งคืนแน่ๆ
ในมือของเขาถือที่ตัดผม เดินเข้ามาพร้อมขอบตาที่ดำคล้ำทั้งสองข้าง
เด็กคนนี้อาจจะทำให้ทรงผมที่ผมบอกว่าเป็นทรง “ ทรงสกินเฮด ” ให้กลายเป็นหัวโล้นได้ เขายังไม่ได้ถามผมสักประโยค ก็มีเสียง “ ครืดครืด ” ผมตรงกลางของผมก็โดนตัดแหว่งไป
หลังจากที่ผมเห็นว่าผมตรงกลางที่ถูกตัดออกไปจนแหว่ง ทั้งคู่ก็ตะลึงอึงงันไปเลยและเขาก็รีบหยุดตัด
จนกระทั่งเมื่อฝ่ายตรงข้ามพบว่าผมต้องการผมทรงสกินเฮด ไม่ใช่ทรงหัวโล้น ใบหน้าก็เต็มไปด้วยความอับอาย
เจ้าของร้านรีบมาขอโทษผม เขาบอกว่าขอโทษจริงๆและจะตัดผมฟรีให้ก็แล้วกัน
ทุกคนในร้านค้าที่ถนนแห่งนี้รู้จักคนๆนี้เป็นอย่างดี
เจ้าของร้านตัดผมแห่งนี้เป็นพ่อของเพื่อนสมัยเรียนประถมของผม
ผมจึงให้มันแล้วๆไป ผมก็ไม่อยากจะพูดถึงมันแล้ว ดังนั้นผมจึงโกนผมทั้งหัวจนหัวโล้น
เมื่อผมกลับไปที่ร้าน อาจารย์ก็กวาดสายตามองมาที่ผมและเขาก็ตกใจจนตะลึงเช่นกัน
ถึงยังไงก็ตามนี้มันก็เป็นเรื่องใหญ่ นี่มันยังเป็นครั้งแรกด้วยที่ผมโกนผมจนหัวโล้นแบบนี้
อาจารย์ก็ไม่พูดอะไรเลยได้แต่พยักหน้า “ ไม่เลวนี่ ดูปราดเปรียวดี ! ”
หลังจากพูดจบ อาจารย์ก็ออกไปหาเหล่าฉินเพื่อดื่มชา
ผมลูบๆคลำๆหัวโล้นๆอย่างขมขื่น พรุ่งนี้ผมคงทำได้แต่หัวโล้นแบบนี้ไปพบดาราสาวแล้ว
สองวันต่อมา ผมเปลี่ยนการแต่งตัวให้มันสดใสขึ้นให้เข้ากับหัวโล้น และกล่าวทักทายอาจารย์
เมื่ออาจารย์เห็นผมกำลังจะออกจากบ้าน และบอกผมว่าอย่าออกไปเอ้อระเหยอย่างไม่มีจุดหมายข้างนอก แล้วก็รีบกลับมา
ผมผงกหัวแล้วก็ออกจากบ้านไป
เหล่าเฟิงรอผมอยู่ที่ป้ายรถเมล์แล้ว เมื่อเขาเจอผมเขาก็ตกใจนิดหน่อยต่อมาก็มีเสียงเสียงหนึ่งโผล่ขึ้นมาโดยฉับพลัน “ นายไปทำอะไรของนายมา ? จะไปเป็นนักบวชเต๋าก็ไม่ใช่ หรือจะไปบวชเป็นพระ ? ”
ได้ยินแบบนั้นผมก็โกรธจนเกือบเหลืออดแบบไม่มีทางเลือก ถ้าเป็นคุณ คุณคิดว่าผมอยากจะตัดทรงนี้นักหรือไง !
ผมจึงกลอกตาแล้วพูดว่า “ อากาศมันร้อนฉันเลยตัดให้มันเย็นขึ้นมาหน่อย ! ”
“ พอหิมะตกแล้ว อากาศคงเย็นสบายน่าดู ! ” เหล่าเฟิงพูดด้วยรอยยิ้มหัวเราะ เห็นได้ชัดว่าเขาว่าหัวโล้นๆของผมนั่นน่าตลก
ผมก็ขี้เกียจเกินจะสนใจเขา เมื่อเห็นรถมาก็เดินตรงไปขึ้นรถทันที
หลังจากที่รถถึงสถานี ก็สิบเอ็ดโมงแล้ว
หยางเฉ่วรอพวกเราอยู่ที่นี่แล้ว แต่เธอก็ต้องตกใจที่เห็นผมออกมาพร้อมกับหัวล้านและเหล่าเฟิงด้วยใบหน้าที่ตกตะลึง
“ ติงฝาน ฉันมองไม่ออกจริงๆ ! พอนายหัวโล้นแล้ว มันดูค่อนข้างทันสมัย ” หลังจากที่หยางเฉ่วพูดจบเธอก็อดที่จะแอบหัวเราะ “ หุหุ ” ออกมาไม่ได้
“ มันทันสมัยและยังเย็นสบายมากด้วย ! ” เหล่าเฟิงพูดเสริมทัพ
ผมมองไปที่สองคนนั่นด้วยใบหน้าที่หมดคำพูด เล่าจื้อก็หัวโล้นไม่ใช่เหรอ ? มันน่าตลกตรงไหนกัน ?
ผมเลยถือโอกาสเล่าเรื่องเด็กติดโทรศัพท์เมื่อวาน ที่ตัดผมของผมออกไปกระจุกหนึ่ง
ให้ทั้งสองคนฟัง ทั้งสองคนก็หัวเราะ “ ฮ่าฮ่า ” ขึ้นมาอีก
หลังจากที่ทั้งสองคนหัวเราะเยาะผมแล้วพักหนึ่ง ก็รีบไปที่ร้านอาหารทันที
ครั้งนี้ผมเกรงใจอู่ฮุ่ยฮุ่ยมาก สถานที่ที่เธอเชิญผมมาทานข้าวนั้นเป็นเป็นโรงแรมระดับไฮเอนด์ในเมือง
นั่นก็คือโรงแรมหนานเทียน
การทานอาหารที่นี่ สามารถทานได้ทุกสิ่งทุกอย่างตามสบายและหรูหรามาก
เมื่อไปถึงประตูก็ ผมโทรหาอู่ฮุ่ยฮุ่ย
ปลายสายรับโทรศัพท์อย่างรวดเร็ว อู่ฮุ่ยฮุ่ยที่ได้ยินพวกเรามาถึงประตูแล้วก็ให้เราเดินเข้าไปที่ห้องส่วนตัวได้เลยเพราะเธอมาถึงก่อนแล้ว
หลังจากวางสายก็สอบถามพนักงานที่อยู่ตรงประตูว่าตำแหน่งห้องส่วนตัวอยู่ที่ไหน หลังจากนั้นก็ขึ้นลิฟต์ไป
นี่เป็นเวลาทานอาหารพอดี คนรวยที่มาทานข้าวที่นี่จึงเยอะมาก ไม่ถึงกับคนมืดฟ้ามัวดิน แต่ที่นั่งก็เต็มอย่างรวดเร็ว
ในไม่ช้าผมก็มาถึงประตูห้องส่วนตัวของอู่ฮุ่ยฮุ่ย ผมก็เคาะปะตู หลังจากนั้น ผมก็ได้ยินเสียงของอู่ฮุ่ยฮุ่ย “ เชิญเข้ามา……. ”
ผมเปิดประตูเข้าไปด้วยความยินดี
ทันทีที่ผมเปิดประตูก็เห็นภายในห้องส่วนตัวที่ตกแต่งอย่างสวยงามและหญิงสาวที่นั่งอยู่
นานมากแล้วที่ไม่ได้เจออู่ฮุ่ยฮุ่ย เมื่ออู่ฮุ่ยฮุ่ยเห็นพวกเรา ก็มองมาที่หัวโล้นๆของผมเป็นพิเศษด้วยใบหน้าที่ตะลึงงัน ดูเหมือนว่าพอผมโกนผมจนหัวโล้น มันจะเป็นเรื่องที่แปลกมาก
แต่ว่าหลังจากนั้นเธอก็ลุกขึ้นยืนด้วยความดีใจ “ มาถึงกันแล้ว นั่งก่อนสิ ฉันจะได้ให้พนักงานเสิร์ฟอาหารขึ้นโต๊ะ ! ”
พวกเราสามคนก็ไม่เกรงใจและแยกกันนั่งลง
หลังจากที่นั่งเสร็จเรียบร้อย ผมก็เอ่ยปากพูดกับอู่ฮุ่ยฮุ่ย “ ไม่ใช่ว่ามีเพื่อนที่อยากแนะนำให้พวกเรารู้จักเหรอ ? ทำไมมีเธอแค่คนเดียวล่ะ ? ”
อู่ฮุ่ยฮุ่ยยิ้ม “ เธอรถติดอยู่ แต่ว่าใกล้จะมาถึงแล้ว แต่ติงฝาน นายหัวโล้นแบบนี้ก็มีเอกลักษณ์ดีนะ ฉันก็เกือบจำไม่ได้ ”
“ มันเป็นเอกลักษณ์มาก ! อีกนิดเดียวก็เกือบจะใช้แทนหลอดไฟได้แล้วละ ! ” หยางเฉ่วที่เดิมทีไม่ให้เกียรติที่นั่งอยู่ข้างๆก็พูดเหน็บแนมผม
ผมกลอกตามองค้อนและพร้อมที่จะพูดแก้ต่างสักประโยคสองประโยค
แต่ในเวลานี้ก็มีเสียง “ ตึกตัก ” ดังเข้ามาและประตูก็ถูกเปิดออก มีหญิงสาวหน้าตาสวยเดินเข้ามาอย่างรีบร้อน
ทันทีที่เธอเข้ามาในห้อง เธอก็เอ่ยปากขอโทษขอโพย “ ขอโทษทุกท่านด้วยที่ฉันมาช้า ขอโทษจริงๆ ! ”
“ เสี่ยวเฉ่ว เธอมาที่นี่แล้ว รีบนั่งลงเลย ! ”อู่ฮุ่ยอุ่ยพูดอย่างดีอกดีใจให้หญิงสาวคนนี้นั่งลง
ถึงแม้ว่าผมจะไม่รู้จัก แต่ว่าผู้หญิงคนนี้ก็คงจะเป็นเพื่อนสนิทของอู่ฮุ่ยฮุ่ยที่เธอเคยบอกเอาไว้
แต่อย่าทำเป็นพูดไป ผู้หญิงคนนี้สวยจริงๆมองดูไม่เบื่อเลย
ผมสีดำหยักศกเล็กน้อย ดวงตาคู่นั้นกลมโตดูแล้วสดใส จมูกที่งดงามและปากกระจับเล็กสีชมพูระเรื่อ
เธอสวมเสื้อขนแกะสีดำ คู่กับกางเกงรัดรูปสีดำและรองเท้าสีขาว ดูแล้วน่ารักและสะอาดบริสุทธิ์
หลังจากที่ผู้หญิงคนนั้นนั่งลง เธอก็ได้ยินอู่ฮุ่ยฮุ่ยพูดว่า “ ฉันจะแนะนำให้ทุกคนรู้จัก นี่คือเพื่อนสนิทของฉัน ฉิงหมิงเฉ่ว ”
เห็นได้ชัดว่าผู้หญิงที่ชื่อฉิงหมิงเฉ่วเตื่นเต้น เธอที่เพิ่งจะนั่งลงไปก็ รีบลุกขึ้นยื่น
ถึงกับโค้งคำนับพวกเรา เห็นได้ชัดว่าเธอสุภาพมาก “ ทะ…ทุก ทุกท่านสวัสดีค่ะ ฉะ…ฉัน ฉันชื่อ
ฉิงหมิงเฉ่ว กะ…กรุณาชี้แนะด้วยค่ะ ! ”
เมื่อเห็นว่าฝ่ายตรงข้ามสุภาพขนาดนี้ พวกเราก็ยิ้มเล็กน้อยและตอบเธอกลับอย่างสุภาพเช่นกัน
ต่อจากนั้น อู่ฮุ่ยฮุ่ยก็แนะนำฉิงหมิงเฉ่วให้รู้จักกับพวกเราทั้งสาม
ฉิงหมิงเฉ่วเป็นคนที่สุภาพมากราวกับว่าเธอกลัวสิ่งที่เธอพูดออกมาจะผิดและทำให้พวกเราทั้งสามคนไม่พอใจ
นี้ทำให้ในใจของผมงงงวย แต่เมื่อเห็นท่าทางที่ประหม่าของเธอ ผมรู้สึกว่านี่อาจจะเป็นนิสัยของอีกฝ่าย
ที่เป็นคนสุภาพและมีมารยาท
หลังจากนั้นไม่นาน พนักงานก็ยกอาหารมาเสิร์ฟ
บนโต๊ะมีแต่อาหารดีๆ หมูเห็ดเป็ดไก่ปลามีหมด รสชาติก็ไม่เลวเลยทีเดียว !
พวกเราก็ไม่เกรงใจอู่ฮุ่ยฮุ่ย กินกันอย่างเต็มที่ บรรยากาศก็เต็มไปด้วยความกลมกลืนกันมาก
หลังจากดื่มด่ำกับอาหารมากพอแล้ว ผมกลับบังเอิญพบว่าสายตาของฉิงหมิงเฉ่วกระพริบระยิบระยับแบบคลุมเครือ มองมาที่พวกเราทั้งสามคนเป็นบางครั้ง และกระซิบกระซาบกับอู่ฮุ่ยฮุ่ย ดูเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างกับพวกเรา
ผมมองดูพวกเธอสักพัก ก็เห็นพวกเธอเหมือนมีอะไรอยากจะพูดจริงๆ แต่ไม่รู้ว่าจะเอ่ยปากยังไง
ดังนั้นผมจึงหยั่งเชิงถามพวกเธอ “ ฮุ่ยเอ๋อร์ มีอะไรหรือเปล่า ? ”