spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
*ตั้งค่าถาวร (คลิกตั้งค่าถาวร) |
พลบค่ำต้วนหลิงเทียน เซี่ยวหยูและเซี่ยวฉวินก็เดินออกมาพร้อมๆกัน
ต้วนหลิงเทียนที่เพิ่งเดินข้ามผ่านประตูออกมา ก็สัมผัสได้ถึงสายตาที่จับจ้องมาอย่างดุร้ายในทันทีทันใด
"เจ้าน่ะหรือต้วนหลิงเทียน?" ห่างออกไประยะไกล ผู้บัญชากองกำลังทหารองครักษ์ประจำเมืองหลวงชวีลู่ที่ยืนอย่างเข้มแข็ง ยามนี้จับจ้องมายังต้วนหลิงเทียนด้วยประกายตาเรืองวูบราวเส้นสายอัสนี เขาจับจ้องต้วนหลิงเทียนเอาไว้ตาเขม็งราวกับกลัวว่าต้วนหลิงเทียนจะหายตัวไปอย่างไรอย่างนั้น
ในหมู่นักศึกษาของสถาบันบ่มเพาะขุนพล นักศึกษาชั้นไปที่ 1 ปกติจะมีอายุ 20 ปี และนักศึกษาที่มีอายุเพียง 18 ปีนั้นก็มีน้อยมาก สิ่งสำคัญที่สุดก็คือชายหนุ่มคนนี้สวมชุดสีม่วงคล้ายกลับต้วนหลิงเทียนตามข่าวลือ เขาจึงสามารถระบุตัวต้วนหลิงเทียนได้อย่างง่ายดาย
"พวกเจ้า 2 คนกลับบ้านไปก่อนเถอะ" ต้วนหลิงเทียนหันไปส่งยิ้มให้เซี่ยวหยูและเซี่ยวฉวิน
แต่ทว่าเซี่ยวหยูและเซี่ยวฉวินเองก็ดื้อรั้นไม่ยอมไปเช่นกัน ในฐานะสหายจะให้พวกมันจากไปได้อย่างไร?
สหายย่อมประคับประคองฝ่าฟันปัญหาไปด้วยกัน!
ต้วนหลิงเทียนเพียงยิ้มและไม่คิดคะยั้นคะยอพวกมันแต่อย่างใด ไม่ว่าจะยังไงเรื่องทั้งหมดมันก็แค่เรื่องขำขันไร้เรื่องราวให้กังวลสำหรับเขา
"ข้านี่ล่ะ! ต้วนหลิงเทียน"ต้วนหลิงเทียนเดินออกไปหาชวีลู่ด้วยท่าทางปลอดโปร่งโล่งสบายไร้ความกังวล ราวกับสำหรับเขาชวีลู่หาได้เป็นพยัคฆ์ร้ายแต่เป็นแมวเหมียวตัวน้อยก็เท่านั้น
ชวีลู่จับจ้องต้วนหลิงเทียนอย่างไม่คลาดสายตา "เจ้ากล้าใช้อาคมจารึกสายจู่โจม ทำลายจุดตันเถียนของบุตรชายข้า! เจ้ากล้าทำลายอนาคตและชีวิตที่เหลืออยู่ของเขาจนหมดสิ้น!! ก่อนที่เจ้าจะกระทำการบัดซบนี่ เจ้าเคยคิดถึงผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นบ้างหรือไม่?"
ต้วนหลิงเทียนเพียงยักไหล่ด้วยท่าทีสบายๆ มุมปากเผยรอยยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย "เฮ่ ท่านผู้บัญชาการชวี ข้ากับบุตรท่านนั้นไม่เคยรู้จักมักคุ้นกันมาก่อน ซ้ำยังไม่เคยมีเรื่องราวอันใดก่อนหน้านี้ ท่านไม่คิดจะไถ่ถามข้าก่อนบ้างหรือไร ว่าเพราะอะไรข้าถึงทำลายตันเถียนเขา?"
"ฮึ่ม!" สีหน้าของชวีลู่คล้ำลงก่อนที่จะแค่นเสียงสบถเย็นชาออกมา "ข้าไม่อยากรู้ว่าทำไมเจ้าถึงกระทำการบัดซบถึงขั้นทำลายตันเถียนบุตรชายข้า และมันหาได้สำคัญที่ข้าจะต้องรู้ไม่...แต่ทุกอย่างที่ข้ารู้! คือวันนี้เจ้าต้องตาย!!"
"โอ้ ท่านมั่นใจว่ากระทำได้?" ต้วนหลิงเทียนไม่ประมาท มือข้างหนึ่งรีบแตะสัมผัสไปที่แหวนมิติที่จารึกอาคมกร่อนกระดูกเอาไว้ด้วยความเร็วสูงเป็นการเตรียมพร้อม ก่อนที่เขาจะมองชวีลู่ด้วยสายตาดูแคลน
"เดี๋ยวเจ้าจะได้รู้ว่า เพราะอะไรข้าถึงมั่นใจ!" ประกายตาของชวีลู่ยิ่งมายิ่งอำมหิต จิตสังหารแผ่ซ่านออกมาอย่างท่วมท้น มันค่อยๆก้าวเดินออกมาด้วยท่าทางดุร้ายราวกับจะเหยียบย่ำชั้นฟ้า
"ชวีลู่!" ทว่าทันใดนั้นเอง เงาร่างๆหนึ่งพลันกระพริบวูบไหวพุ่งมาจากด้านในสถาบันบ่มเพาะขุนพล มาขวางระหว่างชวีลู่และต้วนหลิงเทียนเอาไว้ด้วยความเร็วสูง
เมื่อเห็นชวีลู่ขยับเดินมาเตรียมลงมือ ต้วนหลิงเทียนก็เริ่มโคจรพลังงานต้นกำเนิดไปรอไว้ที่แหวนมิติ เมื่อมันพุ่งเข้ามาเขาจะได้เปิดใช้อาคมกร่อนกระดูกฆ่ามันทิ้งในพริบตา ... แต่ทว่ากลับปรากฏร่างๆหนึ่งตรงหน้าของเขาโดยฉับพลันทำให้ต้วนหลิงเทียนต้องระงับความคิดที่จะเปิดใช้อาคมกร่อนกระดูกทันที
"อ่า ท่านรองผู้อำนวยการ!" ต้วนหลิงเทียนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยที่เห็นชายชรา แต่จะอย่างไรต้วนหลิงเทียนก็ยังกล่าวทักทายเขา
"เฮ่อ ต้วนหลิงเทียน เจ้านี่หนอ... ก่อปัญหาได้ทุกวันจริงๆ " ชายชราที่สวมชุดคลุมสีเทา หรือ รองผู้อำนวยการสถาบันบ่มเพาะขุนพลจ่านฉง ส่ายหัวออกมาพร้อมรอยยิ้ม
ต้วนหลิงเทียนเพียงยกมือขึ้นมาถูจมูกก่อนที่จะหัวเราะเขินอายออกมา
"จ่านฉง!" ชวีลู่ที่กำลังจะลงมือพลันชะงักเท้าลงทันที สีหน้าของเขาหมองลง ก่อนที่จะมองไปยังจ่านฉงแล้วกล่าววาจา "ข้าเองก็เคารพสถาบันบ่มเพาะขุนพลและให้เกียรติ ไม่ได้บุกเข้าไปฆ่าต้วนหลิงเทียนด้านในแล้ว..แล้วเหตุใดท่านถึงยังคิดหยุดยั้งข้า ในเมื่อตอนนี้มันอยู่นอกสถาบันบ่มเพาะขุนพล? "
จ่านฉงเพียงยิ้มบางๆ "ผู้บัญชาการชวี ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ได้คิดวุ่นวายเรื่องราวอันใดของท่าน หากท่านคิดลงมือนอกสถาบันบ่มเพาะขุนพล....แ”
"แล้วเหตุใดท่านยังไม่หลบไปอีก?" สายตาของชวีลู่เย็นชาลง ก่อนที่จะกล่าวขัดคำของจ่านฉงด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
ทว่าตอนนี้เองมีรถม้าขนาดใหญ่แลดูหรูหรากำลังเดินทางมาจากระยะไกล และดึงดูดความสนใจของทุกคนไปหมดสิ้น แม้กระทั่งชวีลู่เองยังอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วออกมา
รถม้าคันนั้นแน่นอนว่ากำลังมุ่งหน้ามาทางประตู ทว่าทหารองครักษ์กลับพรวดออกไปปิดเส้นทาง ขวางกั้นเอาไว้
"ไสหัวไป!" สารถีขับรถม้า อันเป็นชายชราร่างสูงใหญ่เพียงกล่าววาจาดุดันห้วนสั้น ก่อนที่จะฟาดฝ่ามือระเบิดพลังงานต้นกำเนิดที่เกรี้ยวกราด กระแทกออกไปบังอย่างเบาๆ บังเกิดเป็นคลื่นพลังไร้สภาพกวาดร่างทหารทั้งหลายจนกระเด็นกระดอนออกไป
"ไป!" ชายชราคนดังกล่าวหยิบแส้ขึ้นมาหวดฟาดไปยังด้านหลังม้าก่อนที่จะกล่าววาจา เร่งม้าให้เดินทางไปต่อโดยไม่แยแสเหล่าทหารที่ถูกซัดไปนอนกองกระอักเลือด
"หืม?" ต้วนหลิงเทียนมองไปยังชายชราก่อนที่จะบังเกิดความรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
หากเขาจดจำไม่ผิดชายชราคนนี้เป็นถึง ผู้อาวุโส 3 ของตระกูลต้วน....และคนระดับใดกันที่ผู้อาวุโส 3 ของตระกูลต้วนถึงขั้นลดตัวมาขับรถม้าให้เช่นนี้ ?...บุคคลในรถม้าต้องมีสถานะสูงส่งอย่างแน่นอน!
ต้วนหลิงเทียนบังเกิดความอยากรู้อยากเห็นอย่างมาก
จะเป็นใครกันหนอ?
"ชวีลู่ เจ้านำทหารมาละเล่นอันใดกัน!"เสียงชายชราคนหนึ่งพลันดึงขึ้นมาจากด้านในรถม้า
ต่อมา อาวุโส 3 ต้วนชิว ก็เดินไปเปิดประตูรถม้า รอรับคนที่ก้าวออกมาจากรถม้าด้วยความเคารพ
"หืม! ผู้อาวุโสหลัก!" ต้วนหลิงเทียนที่กำลังจับจ้องอยู่ เมื่อเห็นร่างชายชราอันเป็นผู้อาวุโสหลักของตระกูลต้วนก้าวเดินออกมา อดไม่ได้ที่เขาจะรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
สถานะของผู้อาวุโสหลักของตระกูลต้วนนั้น มีความแตกต่างจากผู้อาวุโสหลัก ของตระกูลซูและตระกูลเซี่ยวอย่างยิ่ง
นี่เพราะต้วนเฉิน ผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้อาวุโสหลักของตระกูลต้วนคนนี้ เป็นถึงอดีตประมุขของตระกูลต้วน ทำให้สถานะของเขาในตระกูลต้วนนั้นเรียกได้ว่าสูงส่งกว่าผู้อื่นทั้งหมด
สีหน้าของชวีลู่พลันหมองคล้ำลง เขาเองก็ได้ยินเรื่องราวที่ต้วนหลิงเทียนเดินทางกลับตระกูลไปกราบกรานบรรพชนเพื่อรับสถานะทายาทสายหลักของตระกูลต้วนดังเดิมอยู่บ้าง แต่เขาไม่คิดเลยว่าต้วนหลิงเทียนจะสำคัญถึงขั้นที่มีชายชราผู้นี้ออกหน้า
"ข้าน้อยขอคารวะผู้อาวุโสต้วนเฉิน" ชวีลู่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนที่จะมองไปยังต้วนเฉินและประสานมือคารวะออกมา
"ชวีลู่ นี่เจ้าไม่คิดว่าทำเกินไปหน่อยหรือ ถึงนำผู้คนมามากมายขนาดนี้ ซ้ำยังคิดลงมือกับเด็กน้อยที่มีอายุเพียง 18 ปีเช่นนี้ด้วยตัวเอง?" สายตาที่สงบนิ่งของต้วนเฉินจับจ้องไปยังชวีลู่
ทันใดนั้นเองชวีลู่พลันรู้สึกถึงแรงกดดันที่ถาโถมเข้ามา เขาทำได้เพียงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนที่จะกล่าวออกมาอย่างไม่ยินยอมว่า "อาวุโสต้วนเฉิน ข้าชวีลู่มาที่นี่เพื่อล้างแค้นให้กับบุตรชายของข้า! ... ตัวข้าย่อมรู้ดีว่าต้วนหลิงเทียนเป็นอัจฉริยะไร้ผู้ต้านของตระกูลต้วน แต่เขาได้ทำลายตันเถียนของบุตรชายข้า มันทำลายอนาคตทั้งชีวิตของบุตรชายข้า!! "
"ตัวข้ายังได้ให้คำมั่นต่อบุตรชายไปแล้ว ตราบใดที่ข้าชวีลู่ยังมีลมหายใจอยู่ ต้วนหลิงเทียนจะมิมีวันได้เห็นตะวันในวันพรุ่ง ... ข้าต้องขออภัยด้วยผู้อาวุโส แต่ข้าคงต้องขอลงมือสะสางเรื่องราวหนี้แค้นนี้ก่อน แล้วข้าค่อยไปขอขมาอาวุโสในภายหลัง"
น้ำเสียงของชวีลู่ไม่ได้มีวี่แววของความเคารพเลยสักนิด
"ฮึ่ม! ชวีอวิ๋นนับว่ามีบุตรประเสริฐนัก... ดี ดีนัก!" ต้วนเฉินหรี่ตาลงเล็กน้อยก่อนที่จะทอประกายเรืองวูบ "ไหนเจ้าลองกระทำตามที่เจ้าต้องการให้ดูหน่อย ข้าอยากรู้นักมีข้าอยู่ที่นี่ทั้งคน ต้วนหลิงเทียนจะมิมีวันได้เห็นตะวันในวันพรุ่ง ได้อย่างไร!!"
"อาวุโสต้วนเฉิน ข้ายังยึดถือว่าท่านเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่ง แต่ท่านอย่าให้มันมากเกินไปนัก!" สีหน้าของชวีลู่เคร่งขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเผยท่าทีต่อต้านออกมาอย่างเห็นได้ชัด
“มากเกินไป? ฮ่าๆๆๆ” ต้วนเฉินเริ่มหัวเราะออกมาดังลั่น ทว่ามันหาใช่เพียงเสียงหัวเราะอย่างเดียวไม่ ทุกคราที่เขาหัวเราะกลิ่นอายและแรงกดดันอันน่าพรั่นพรึงค่อยๆแผ่ซ่านออกมา
ต้วนหลิงเทียนที่อยู่ไม่ไกลย่อมจับสัมผัสนี้ได้ทันที ม่านตาของเขาหดแคบลง รู้สึกประหลาดใจไม่น้อย "ที่แท้ผู้อาวุโสหลักผู้นี้เป็นถึงผู้ฝึกยุทธ์ครึ่งก้าวธรรมชาติด้วยเช่นกัน...จริงสินะ จะอย่างไรเขาก็เคยเป็นประมุขรุ่นก่อน ย่อมหมายความว่าเขาแข็งแกร่งที่สุดในตระกูล"
ครึ่งก้าวสู่ธรรมชาติ!
ม่านตาของชวีลู่เองก็หดตัวลง เขามองไปยังต้วนเฉินด้วยความประหลาดใจ "ท่าน ... ที่แท้ท่านเป็นถึงผู้ฝึกยุทธ์ครึ่งก้าวสู่ธรรมชาติ!"
"เหอะ! ข้ากับบิดาเจ้าชวีอวิ๋นเป็นคนรุ่นเดียวกัน หากเจ้าเฒ่านั่นตัดผ่านไปแล้ว เหตุใดข้าจึงตัดผ่านไปด้วยไม่ได้ นี่เจ้าคิดว่าข้าด้อยกว่ามันงั้นหรือ?" ต้วนเฉินอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอย่างเย้ยหยันเมื่อเห็นสีหน้าชวีลู่
ในขณะเดียวกันเหล่านักศึกษาของสถาบันบ่มเพาะขุนพลที่อยู่รอบๆ ล้วนจับจ้องมาด้วยประกายตาเรืองวูบ
แน่นอนว่าพวกมันย่อมไม่รู้ว่าผู้ฝึกยุทธ์ครึ่งก้าวธรรมชาติคืออะไร พวกมันคิดว่าต้วนเฉินเป้นผู้ฝึกยุทธ์ระดับธรรมชาติ อันเป็นระดับสูงสุดในอาณาจักร
"สวรรค์ ผู้อาวุโสหลักของตระกูลต้วน เป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับธรรมชาติ!"
"อย่างที่คิดไว้มิมีผิด ผู้อาวุโสหลักของตระกูลนั้น ข้าได้ข่าวว่าเขาเคยเป็นถึงประมุขตระกูลต้วนมาก่อน ความแข็งแกร่งหาได้ธรรมดาไม่"
"วันนี้ต้วนหลิงเทียนคงอยู่รอดปลอดภัยแล้วหากถึงขั้นมีตัวตนผู้ฝึกยุทธ์ระดับธรรมชาติมาคุ้มครองมันเอาไว้เช่นนี้ แม้ชวีลู่จะเป็นผู้บัญชาการกองกำลังทหารองครักษ์แล้วจะอย่างไร ข้าเกรงว่ามันเองก็ต้องจนปัญญาเช่นกัน"
...
สีหน้าและท่าทางการแสดงออกของชวีลู่เริ่มย่ำแย่ลงไปเรื่อยๆ หลังจากที่ได้ยินบทสนทนาของนักศึกษาและชาวเมืองที่มุงดูโดยรอบ
เขาเองไม่คาดคิดเลยว่าตระกูลต้วนจะทำถึงขั้นส่งผู้ฝึกยุทธ์ระดับครึ่งก้าวธรรมชาติมาคุ้มครองต้วนหลิงเทียนเช่นนี้!
ถึงแม้ว่าตัวเขาจะสั่งกองกำลังทหารองครักษ์นับพันร่วมตั้งค่ายกลประสานจู่โจมต้วนเฉินพร้อมกันกับเขา แต่มันก็ไร้ประโยชน์ หากต้วนเฉินต้องการพาต้วนหลิงเทียนฝ่าออกไปมันเป็นเรื่องที่ง่ายดายอย่างยิ่ง มิหนำซ้ำหากต้วนเฉินบังเกิดจิตอำมหิตเกรงว่าทั้งหมดคงต้องตกตายอย่างโง่งม
"กลับ!" เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ชวีลู่ก็ไร้หนทางเลือก เขาเลือกที่จะถอยไปตั้งหลักก่อนเสียจะดีกว่า เขาทำได้เพียงทิ้งสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยจิตสังหารของเขาไปที่ต้วนหลิงเทียนเท่านั้น
คิ้วของต้วนหลิงเทียนขมวดขึ้นเล็กน้อย แน่นอนว่าไม่ใช่จิตสังหารราวลมแผ่วเบาของชวีลู่ แต่เป็นเพราะถูกขัดจังหวะสังหารชวีลู่ เพราะสำหรับเขาหากชวีลู่รั้นที่จะลงมือต่อเขา มันก็ไม่ต่างอะไรกับฆ่าตัวตาย!
แต่จะอย่างไรก็ตามด้วยการปรากฏตัวของผู้อาวุโสหลักวันนี้ ก็ทำให้เขาประหยัดค่าใช้จ่ายสำหรับจารึกอาคมกร่อนกระดูกไปได้ 1 จารึก
กองกำลังทหารองครักษ์เดินทางมาด้วยความเกรี้ยวกราดเต็มกำลัง แต่ตอนนี้พวกมันทำได้เพียงย่ำต๊อกกลับค่ายอย่างอับจนหนทาง ประชาชนและนักศึกษาบางส่วนที่ชมดูอยู่อดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจเวทนาออกมา
"ตอนแรกข้าคิดว่าผู้บัญชาการชวีลู่จะลงมือขั้นเด็ดขาดเสียอีก แต่ไม่คิดเลยว่าเขาจะกลับไปเช่นนี้ ...มาอย่างพยัคฆ์ร้าย ขากลับดันกลายเป็นแมวเซาเสียได้"
"นั่นสิ อย่าได้กล่าวแล้ว เสียเวลาข้ายิ่งนัก"
"เฮ่ นี่มันหาได้เสียเวลาอันใดไม่ อย่างน้อยๆพวกเราก็ได้รู้ความเป็นมาของเรื่องราวมิใช่หรือไร? ...ต้วนหลิงเทียนผู้นี้นับว่ากล้าหาญนัก มันถึงขั้นทำลายตันเถียนบุตรชายเพียงคนเดียวของผู้บัญชาการชวีลู่!"
"ข้าเห็นด้วย เรื่องเช่นนี้หาใช่ใครก็สามารถกระทำได้"
...
หลังจากที่กองกำลังทหารองครักษ์ถอนตัวกลับ เหล่าผู้คนที่มาชมดูก็แยกย้ายสลายตัวเช่นกัน
"ขอบคุณผู้อาวุโสหลักที่มาช่วยเหลือข้า" ต้วนหลิงเทียนยิ้มให้ต้วนเฉิน ถึงแม้เขามั่นใจว่าจะสามารถเอาตัวรอดได้ถึงแม้ว่าต้วนเฉินจะไม่ได้มาก็ตาม แต่จะอย่างไรที่มาก็มาแล้ว อย่างน้อยๆก็ทำให้เขาประหยัดค่าวัตถุดิบไปได้ ต้วนหลิงเทียนเองก็ต้องกล่าวขอบคุณเสียหน่อย
"เจ้าช่างรู้วิธีก่อเรื่องเสียจริง เด็กน้อย" ต้วนเฉินส่ายหัวไปมาอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนที่จะเบนสายตาไปยังที่หนึ่ง พร้อมยิ้มแย้มออกมา "เป็นไงบ้างจ่านฉง ไม่พบเสียนาน"
"อา จะว่าไปมันก็นานมากแล้ว... ต่ำๆก็ 10 ปีใช่หรือไม่?" จ่านฉงเองก็พยักหน้ารับ เห็นได้ชัดว่าทั้ง 2 รู้จักกัน
"ข้ากลับก่อนแล้วกัน" ต้วนเฉินพยักหน้าให้จ่านฉง ก่อนที่จะหันมามองต้วนหลิงเทียน "เด็กน้อยเจ้าต้องการให้ข้าไปส่งที่บ้านหรือไม่?"
"อ่า เรื่องนี้ไม่จำเป็นหรอกผู้อาวุโสหลัก ข้ากลับบ้านเองได้" ต้วนหลิงเทียนส่ายหัว
ต้วนเฉินเพียงพยักหน้าและไม่ได้กล่าววาจาอะไร ก่อนที่จะกลับไปขึ้นรถม้าแล้วจากไป
"ต้วนหลิงเทียน นี่เจ้าไม่กลัวว่าชวีลู่มันเฝ้ารอเจ้าแยกตัวออกไปอยู่คนเดียวบ้างหรือไร?" จ่านฉงมองไปยังต้วนหลิงเทียนก่อนที่จะกล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้ม
"ข้าเองยังหวังให้มันมา" ภายใต้การตกตะลึงของจ่านฉงหลังได้ฟังคำตอบ ต้วนหลิงเทียนก็ถือโอกาสนี้หันไปร่ำลาเซี่ยวหยูและเซี่ยวฉวินก่อนที่จะเดินจากมา
เซี่ยวหยูและเซี่ยวฉวินเองก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
"อ่า ข้าไม่คิดเลยว่ากระทั่งผู้อาวุโสหลักของตระกูลต้วนจะมาด้วยตัวเองเช่นนี้... เป็นไปได้หรือไม่ที่ต้วนหลิงเทียนจะล่วงรู้เรื่องนี้เอาไว้ก่อนแล้ว มันถึงมีทีท่าสบายใจนัก?” คิ้วของเซี่ยวหยูยักขึ้นเบาๆ พร้อมคาดเดาขึ้นมา
"ข้าว่าคงเป็นเช่นนั้น เฮ่อ...ข้าเป็นห่วงมันอย่างไม่จำเป็นแท้ๆ" เซี่ยวฉวินส่ายหัวไปมาพร้อมรอยยิ้ม
ตอนนี้เองนักศึกษาที่อยู่บริเวณประตูพลันเริ่มทยอยกันเดินจากไปเช่นกัน
แต่ในหัวใจขงพวกเขานั้นอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง
ตระกูลต้วนนั้นให้ความสำคัญต้วนหลิงเทียนไว้สูงส่งนัก!
กระทั่งผู้ฝึกยุทธ์ระดับธรรมชาติ ยังถูกส่งมาเฝ้าคุ้มครองต้วนหลิงเทียนเช่นนี้ ...