หน้าแรก > War Sovereign Soaring The Heavens
บทที่ 189 โอสถสู่ธรรมชาติ!

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

*ตั้งค่าถาวร (คลิกตั้งค่าถาวร)

ต่อหน้าของชายที่สวมหน้ากากอสูรนั้น ชายชราชุดเขียวหาได้หลงเหลือความคิดที่จะต่อต้านอันใดสืบไป

ทั้งหมดที่ชายชราชุดเขียวรู้และเข้าใจนั้น ยามอยู่ต่อหน้าของชายสวมหน้ากากอสูรผู้นี้ การคุกเข่าลงและวิงวอนร้องขอความเมตตาจักนับว่าเป็นเรื่องราวอันประเสริฐที่สุดที่สมควรกระทำ และมันเป็นหนทางเดียวหากยังรักชีวิต ...

ชายหน้ากากอสูรค่อยๆลงมือเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ มือขวาของเขายื่นออกไปเบื้องหน้า พลังงานต้นกำเนิดที่น่าพรั่นพรึงปะทุออกมาอย่างเกรี้ยวกราดก่อนที่จะค่อยๆถูกควบแน่นเอาไว้ในฝ่ามือ

วู้มมม!

ดาบแหลมคมที่ควบแน่นจากพลังงานต้นกำเนิดแผ่กลิ่นอายลึกลับน่าพรั่นพรึง ก่อตัวขึ้นมาในเสี้ยวพริบตาก่อนที่จะวูบหายไป …รู้ตัวอีกที ดาบพลังงาน ก็ผ่าลงจากกึ่งกลางศีรษะของชายชราชุดเขียวไปเสียแล้ว

ร่างของชายชราชุดเขียวสั่นระริกอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะแยกออกเป็น 2 เสี่ยง ซ้ายขวาบังเกิดความสมมาตรอย่างลงตัว อวัยวะภายในพร้อมธารโลหิตก่อเกิดเจิ่งนองบนพื้น ...

"สังหารผู้เชี่ยวชาญยุทธ์ระดับครึ่งก้าวสู่ธรรมชาติได้อย่างง่ายดายถึงเพียงนี้?" ต้วนหลิงเทียนบังเกิดความรู้สึกประหวั่นขึ้นมาในใจ กว่าที่ต้วนหลิงเทียนจะกลับมาครองสติได้อีกครั้งก็หลังจากร่างกายของชายหน้ากากอสูรสั่นไหวเล็กน้อยและหายตัวไป

หากไม่ใช่เพราะศพของชายชราชุดเขียวยังนอนกองเป็นกองเนื้อเลอะเลือน ต้วนหลิงเทียนยังสงสัยอยู่ว่าเมื่อครู่ชายสวมหน้ากากอสูรปรากฏตัวขึ้นมาจริงๆหรือไม่?

ชายชราชุดเขียวนั้นเป็นถึงผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่ง… มันเป็นถึงผู้ฝึกยุทธ์ระดับครึ่งก้าวธรรมชาติอันแข็งแกร่ง แต่ชายสวมหน้ากากอสูรกลับผ่าร่างของมันออกได้ง่ายดายราวกรีดกระดาษ ...

"เอาล่ะเจ้าตัวแสบ ที่เหลือเจ้าก็จัดการด้วยตัวเองก็แล้วกัน" น้ำเสียงของนี่เหวี่ยพลันดังขึ้นให้ได้ยิน

ประกายตาของต้วนหลิงเทียนเรืองวูบวาบขึ้นมาด้วยความร้ายกาจหลังจากได้ฟังวาจาของนี่เหวี่ย สายตาเย็นชาของเขาพลันเบนมาจับจ้องต้วนหรูเล่ย ที่ยังคงตกตะลึงอยู่เป็นเวลานานกว่าจะขยับกาย

ต้วนหรูเล่ยย่อมรับรู้ถึงความตายที่กำลังคืบคลานเข้ามาอย่างช้าๆ ทำให้มันหวาดกลัวจับขั้วหัวใจ แต่มันก็ไม่ได้วิ่งหนีไปหรือพยายามหลบหนีอะไร นี่เพราะยามนี้ตัวมันหลงเหลือความแข็งแกร่งอยู่ในขีดขั้นระดับบ่มเพาะร่างกายขั้นที่ 9 เท่านั้น ต่อให้มันคิดหนีแล้วจะอย่างไร? ถึงดิ้นรน แค่อาศัยต้วนหลิงเทียนที่มีระดับบ่มเพาะน้อยที่สุดที่ยืนอยู่ตอนนี้ก็ยังตามมาจับตัวมันได้อย่างง่ายดาย

วิชาท่าร่างวิญญาณอสรพิษเคลื่อนกาย!

ร่างของต้วนหลิงเทียนขยับวูบไหวโอนเอนดั่งอสรพิษ วูบวาบมาตรงหน้าต้วนหรูเล่ยในชั่วพริบตา

ตอนนี้สภาพของต้วนหรูเล่ยเองก็ราวกับยอมรับได้ว่าตัวมันกำลังจะพบกับจุดจบและทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตที่มันเพียรสร้างมากำลังจะมลายหายไปพร้อมกับลมหายใจ มันทำเพียงกล่าววาจาออกมาอย่างเคียดแค้น "ต้วนหลิงเทียน นับว่าเจ้าโชคดีนักที่มีพระยาเรืองฤทธิ์ถือหางเจ้า ... แต่ต่อให้ตัวข้าต้องตกตายลงไป ข้าก็จะเป็นภูตผีตามรังควาญเจ้าไปชั่วชีวิต!"

"ฮ่าๆๆ ไอแก่พิการ ตอนเจ้าเป็นคนข้ายังไม่กลัว นับประสาอะไรกับตอนเจ้ากลายเป็นผีเล่า?" ต้วนหลิงเทียนรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องชวนหัวอย่างถึงที่สุด

เพราะการปรากฏตัวของชายสวมหน้ากากอสูรทำให้ภายในใจของต้วนหลิงเทียนบังเกิดความหดหู่และรู้สึกห่างไกลเล็กน้อย เขาจึงไม่คิดเสียเวลากับตัวไร้ค่าอย่างต้วนหรูเล่ยอีกต่อไป กระบี่อ่อนดาราม่วงพลันตวัดวาดเส้นแสงขึ้นมาวูบหนึ่ง ศีรษะของต้วนหรูเล่ยก็ถูกปลิดปลงลงอย่างง่ายดาย สองตาของมันเบิกกว้างจ้องมองต้วนหลิงเทียนอย่างอาฆาต ทว่าต้วนหลิงเทียนไม่ได้แยแสอะไร ไปเก็บแหวนมิติจากร่างของมันเป็นสินสงครามทันที…

เขาสามารถจินตนาการได้เลยว่า ต้วนหรูเล่ยที่เป็นผู้ดูแลกิจการห้างร้านของตระกูลต้วนแทบทั้งหมด มันต้องมีความมั่งคั่งและทรัพย์สมบัติมากมายมหาศาลในครอบครองแน่นอน

"ลุงนี่ คนเมื่อครู่นี่ เป็นผู้ใดหรือ?" ต้วนหลิงเทียนเก็บแหวนมิติของต้วนหรูเล่ยเข้าไปในแหวนมิติของเขาก่อน ตอนนี้เขายังไม่คิดเสียเวลาตรวจสอบสิ่งของอะไร เขาเดินมาหานี่เหวี่ยพร้อมเอ่ยถามข้อสงสัยทันที

เขารู้ได้ว่าลุงนี่ต้องรู้ถึงความเป็นมาบุคคลเมื่อครู่อย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นลุงนี่คงไม่กล่าววาจากับชายชุดเขียวออกไปเช่นนั้น

"... แต่น่าเสียดายที่วันนี้คู่มือของเจ้าหาใช่ข้าไม่" เพราะประโยคนี้ทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้ว่าลุงนี่ต้องรู้จักกับชายสวมหน้ากากอสูรผู้นั้น

"เขาเป็นชายที่น่าพรั่นพรึงยิ่งนัก" ร่องราวความหวาดกลัวปรากฏอยู่บนใบหน้าของนี่เหวี่ย

"อ่าว เขาไม่ใช่สหายของลุงนี่หรอกหรือ?" ต้วนหลิงเทียนตกตะลึง

นี่เหวี่ยพลันหัวเราะแห้งๆออกมาอย่างขมขื่น "แน่นอนว่าข้าย่อมมิใช่สหายของเขา สำหรับคนอื่นฐานะพระยาเรืองฤทธิ์ของข้าอาจจะดูยิ่งใหญ่ แต่ต่อหน้าเขาแล้วตัวข้าก็ไม่ได้เป็นอะไร ... ข้าเองก็พึ่งพบเขาในยามที่มาถึงที่นี่แล้ว และเหตุผลเดียวที่เขามาที่นี่ ก็เพียงเพื่อสำเร็จโทษคนทรยศเท่านั้น" ในขณะที่นี่เหวี่ยกล่าววาจาถึงตอนนี้ เขาก็เบนสายตาไปยังซากร่างของชายชราชุดเขียว

ทรยศ?

ชายชราชุดเขียวที่มีระดับบ่มเพาะครึ่งก้าวสู่ธรรมชาติ เป็นเพียงลิ่วล้อของชายสวมหน้ากากอสูรคนนั้น?

แต่ครู่ต่อมาต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจดี ตัวตนของผู้เชี่ยวชาญระดับธรรมชาตินั้น จะมีผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นผู้เชี่ยวชาญครึ่งก้าวธรรมชาติก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

"ลุงนี่ จากที่ข้าล่วงรู้มาอาณาจักรนภาล่องแห่งนี้ มีตัวตนระดับผู้ฝึกยุทธ์ระดับธรรมชาติเพียงแค่ 3 คน ซึ่งหนึ่งอยู่ในตระกูลราชวงศ์ อีกหนึ่งก็คือท่านปู่เจ้าพระยา ส่วนอีกคนนั้นข้ารู้มาว่าเขาคือหัวหน้าองค์กรเงายมทูต ...เป็นไปได้หรือไม่ว่าชายสวมหน้ากากอสูรคนนี้จะเป็นคนสุดท้ายที่ข้ากล่าวถึง? " ต้วนหลิงเทียนจับจ้องไปยังสีหน้าของนี่เหวี่ยราวกับจะค้นหาคำตอบ

นี่เหวี่ยเพียงยิ้มบางๆไม่ได้ตอบคำอะไร เขาเพียงเหินร่างจากไป "เจ้าทั้งสองช่วยหลานข้าจัดการเก็บกวาดให้เรียบร้อย อย่าได้หลงเหลือหลักฐานหรือเบาะแสอันใดเป็นอันขาด ... ต้วนหรูเล่ยเป็นอาวุโสรอง หรือกล่าวคือมันเป็นรองประมุขตระกูลต้วน หากเจ้าเหลือร่องรอยอันใดแล้วล่ะก็ พวกเจ้าคงรู้ผลที่ตามมา"

"ขอรับแม่ทัพใหญ่!" จางเฉวียนจ้าวกังตอบรับออกมาด้วยน้ำเสียงเคารพก่อนที่จะหันหน้าไปยังทิศทางที่นี่เหวี่ยจากไปแล้วค้อมคำนับลงเล็กน้อย

"เฮ่อท่านลุงก็ ใยต้องทำลึกลับนักเล่า?" ต้วนหลิงเทียนเพียงส่ายหัวและไม่คิดสนใจอะไรอีกต่อไป เพราะจะอย่างไรตัวตนระดับแรกสัมผัสธรรมชาติคนนั้นที่เป็นหัวหน้าองค์กรณ์เงายมทูตก็หาได้มีส่วนได้ส่วนเสียอันใดกับเขา

ต้วนหลิงเทียนเดินไปยังศพคนที่เหลืออย่างช้าๆ ก่อนที่จะลงมือถอดแหวนมิติจากชายชราทั้ง 3 ที่ตกตายไปก่อนหน้านี้ และก็แน่นอนว่าเขาย่อมไม่ลืมนำแหวนมิติจากชายชราชุดเขียวกลับไปด้วยเช่นกัน

หลังจากนั้นไม่นานด้วยความช่วยเหลือของจางเฉวียนและจ้าวกัง ต้วนหลิงเทียนก็สามารถเผาทำลายซากศพรวมทั้งวางเพลิงบ้านลานหลังนี้ ... เปลวเพลิงพวยพุ่งขึ้นท้องฟ้าอย่างเกรี้ยวกราด รุนแรงราวกับจะสามารถแผดเผาได้ทั้งเมือง

หลังจากนั้นกลุ่มของต้วนหลิงเทียนทั้ง 3 ก็เดินออกมาจากบ้านลานที่กำลังลุกไหม้แล้วหายตัวไปในเงามืดของถนน

ไม่นานพวกเขาก็พลันได้ยินเสียงกรีดร้องดังมาจากบ้านลานด้านหลัง

เรื่องราวหนี้แค้นทั้งหมดกับต้วนหรูเล่ยชำระเสร็จสิ้นแล้ว!

ต้วนหลิงเทียนพลันระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก เมื่อเขานึกถึงเรื่องราววันนี้ก็อดไม่ได้ที่จะเกิดความหวาดกลัวเล็กน้อย หากไม่ใช่เพราะลุงนี่ปรากฏตัวขึ้นมา ป่านนี้หัวเขาอาจจะหลุดจากบ่าไปแล้วก็ได้ …เพราะเขาไม่คิดว่าชายสวมหน้ากากอสูรนั่นจะยินดียื่นมือมาช่วยเหลือเขา

บางทีในสายตาของชายสวมหน้ากากอสูร ทุกชีวิตคงมีค่าดั่งเศษฟาง ไม่ได้มีอะไร ...

หลังจากที่กลับมาถึงบ้านตัวเอง ต้วนหลิงเทียนก็เข้าห้องและนอนหลับไป

ส่วนอีกด้าน ตอนนี้ตระกูลต้วนกำลังแตกตื่นวุ่นวาย ...

ต้วนหรูเล่ย ผู้ที่มีบทบาทในเรื่องของกิจการหลักของตระกูลต้วน กลับถูกเผาจนมอดไหม้ตกตายลงในยามค่ำคืน อีกทั้งบ้านลานของเขายังเหลือเพียงแต่ขี้เถ้า!

ภายในห้องโถงหลังของตระกูลต้วน

ประมุขตระกูลต้วนอย่างต้วนหรูหั่วนั้นเต็มไปด้วยท่าทางหม่นหมองประกายตาเรืองวูบออกมาราวกับสายฟ้า "น้องรองของข้ากลับตกตายอย่างอนาถ... ไม่ว่าผู้ใดเป็นคนลงมือ ต่อให้ทางตระกูลเราต้องพลิกแผ่นดิน แต่พวกเราต้องหาตัวคนร้ายที่ลงมือกระทำการครั้งนี้ สับมันเป็นชิ้นๆ เผาร่างของมันให้เหลือแต่เถ้ากระดูก สาดเทขี้เถ้าของมันให้กระจาย เพื่อปลอบประโลมวิญญาณน้องข้าที่อยู่ในสวรรค์! "

"ท่านประมุขกล่าวถูกแล้ว!"

"รองประมุขกลับตกตายอย่างไร้เหตุผล ไม่ว่าเป็นผู้ใดมันต้องชดใช้อย่างสาสม"

...

ส่วนใหญ่ของตระกูลต้วนก็เห็นดีด้วยและพยักหน้ายอมรับ

แต่อย่างไรก็ตามหากมองดูท่าทีของแต่ละคนแล้ว ก็พบว่าพวกมันเพียงกล่าวตอบรับไปอย่างนั้นหาได้แยแสอะไรมากมาย

เพราะบางที สำหรับพวกมันแล้วจะอย่างไรต้วนหรูเล่ยก็เป็นเพียงคนพิการเท่านั้น อีกทั้งมันตายตกไปเช่นนี้กิจการต่างๆก็ขาดคนกุมบังเหียน แล้วใครเล่าจะรู้ว่าเนื้อชิ้นใหญ่เช่นนี้จะแบ่งสันปันส่วนกันอย่างไร?

บางทีการตกตายของต้วนหรูเล่ยสำหรับพวกมันแล้ว อาจจะเป็นเรื่องที่ดีกว่าเรื่องร้ายเสียอีก

ผู้อาวุโส 4 ของตระกูลต้วนอย่างต้วนหรูหงรู้สึกหดหู่ไม่น้อย เขากล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงสงสัย“ก่อนหน้านี้เรื่องราวใหญ่โตก็คงหนีไม่พ้นคนของตระกูลซูถูกลอบสังหาร ไปถึง 2 คน ซ้ำมาตอนนี้พี่รองกลับต้องถูกเผาจนตกตายเช่นนี้ พวกท่านคิดว่าเรื่องราวพวกนี้มันมีส่วนเกี่ยวข้องหรือมีอันใดเชื่อมโยงกันหรือไม่?”

"อาวุโส 4 ท่านคิดมากไปแล้ว จากที่ข้ารู้มาคนของตระกูลทั้ง 2 ที่ถูกลอบสังหารนั้นเป็นญาติของผู้อาวุโสหลักตระกูลซู... แต่ผู้อาวุโส 2 ของพวกเราหาได้มีความสัมพันธ์อะไรกับซูหนันแม้แต่น้อย" อาวุโสของตระกูลต้วนคนหนึ่งกล่าวแสดงความเห็นออกมา

และสิ่งที่เขากล่าวก็ล้วนมีผู้เห็นด้วยเสียส่วนใหญ่

"ไม่ว่าเรื่องราวนี้จะมีส่วนเกี่ยวข้องกันหรือไม่ หาได้สำคัญไม่แต่ครานี้คนร้ายนับว่าได้ล้ำเส้นของตระกูลต้วนเรามากเกินไป จะอย่างไรข้าก็ต้องคืนความเป็นธรรมให้น้องรอง!" น้ำเสียงของต้วนหรูหั่วเต็มไปด้วยโทสะ

"เรียนท่านประมุข ข้ามีเรื่องราวประการหนึ่ง ... ข้าได้ยินจากหลานชายข้ามาว่า เมื่อเช้าวันนี้บริเวณด้านข้างลานประลองของสถาบันบ่มเพาะขุนพล บุตรชายของต้วนหรูเฟิง ต้วนหลิงเทียนได้ ต่อสู้กับฉวีชิงอดีตอัจฉริยะหมายเลข 1 ของสถาบันบ่มเพาะขุนพล และเขาได้เผยความแข็งแกร่งระดับผู้ฝึกยุทธ์ระดับกำเนิดแก่นแท้เอาชัยชนะมาได้อย่างง่ายดาย " ผู้อาวุโสของตระกูลต้วนคนหนึ่งกล่าวออกมา

หลานชายของเขาเอง ก็เป็นนักศึกษาของสถาบันบ่มเพาะขุนพล

"อะไร ระดับกำเนิดแก่นแท้? นี่ท่านไม่ได้กล่าววาจาล้อเล่นใช่หรือไม่ บุตรชายต้วนหรูเฟิง ต้วนหลิงเทียนคนนั้นตัดผ่านไปยังระดับกำเนิดแก่นแท้แล้วงั้นหรือ?"

"ใช่แล้วจากที่ข้ารู้มาปีนี้ต้วนหลิงเทียนพึ่งมีอายุเพียง 18 ปีเท่านั้น นับว่าเขามีพรสวรรค์สูงล้ำมากแล้ว ที่สามารถมาถึงระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 9 เพียงเท่านี้พรสวรรค์ของเขาก็มากกว่าต้วนหรูเฟิงแล้ว... แต่เรื่องมาถึงระดับกำเนิดแก่นแท้นี่ มันเหลือเชื่อเกินไป! "

"ในประวัติศาสตร์ของอาณาจักรนภาล่องเรา ไม่เคยปรากฏผู้ฝึกยุทธ์ที่มีระดับกำเนิดแก่นแท้ด้วยวัยเพียงแค่ 18 ปีมาก่อน และแม้แต่จะเป็นอาณาจักรพนาครามเอง พรสวรรค์ที่สามารถตัดผ่านไปยังระดับกำเนิดแก่นแท้ด้วยวัยเพียง 18 ปีนั้น มันอยู่ในระดับอัจฉริยะไร้ผู้ต้านแล้ว เหล่าอัจฉริยะเหล่านั้นล้วนเป็นที่ต้องการของนิกายใหญ่!

"ข้าเองก็คิดว่าเรื่องนี้ มันเป็นไปไม่ได้!"

...

เหล่าอาวุโสทั้งหลายของตระกูลต้วนล้วนไม่มีใครเชื่อ ทั้งหมดเพียงส่ายหน้าออกมาเบาๆ

"เงียบก่อน!" ทว่าทันใดนั้นเองต้วนหรูหั่วกลับกล่าววาจาเสียงดังหยุดเสียงสนทนาเซ็งแซ่ "ข้าสามารถเป็นพยานในเรื่องนี้ได้ ว่าสิ่งที่ผู้อาวุโสเมื่อครู่กล่าวออกมาล้วนเป็นความจริง! ตอนเช้าของวันนี้บุตรชายของต้วนหรูเฟิง เด็กน้อยต้วนหลิงเทียนนั่น ได้เอาชนะฉวีชิงได้จริงๆ และยามนั้นเขาหาได้ถืออาวุธวิญญาณอยู่ในมือ ทว่าเขากลับสามารถใช้ความแข็งแกร่งระดับ 16 ช้างแมมมอธโบราณออกมาได้! "

เมื่อต้วนหรูหั่วกล่าววาจานี้ออกมา เหล่าผู้อาวุโสที่ถกเถียงกันเมื่อครู่ล้วนเงียบกริบราวกับซากศพ สีหน้าของพวกเขากลับกลายเป็นเหรอหราเพราะตะลึงงัน

ไม่ได้อาศัยอาวุธวิญญาณแต่กลับสามารถใช้ออกด้วยความแข็งแกร่ง 16 ช้างแมมมอธโบราณ?

ในความเข้าใจของผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไปนั้น สิ่งแรกที่พวกเขาคิดยามได้รับฟัง ย่อมคิดว่าผู้ฝึกยุทธ์ที่ใช้ออกด้วยความแข็งแกร่งขนาดนั้น ย่อมเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธ์ระดับกำเนิดแก่นแท้อย่างแน่นอน ...

เพราะหากเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 9 นั้นความแข็งแกร่งก็มีเพียง 12 ช้างแมมมอธโบราณเท่านั้น หากไม่ได้ถือครองอาวุธวิญญาณใดๆในมือ

ความแข็งแกร่ง 16 ช้างแมมมอธโบราณมีเพียงผู้ฝึกยุทธ์ระดับกำเนิดแก่นแท้เท่านั้นที่สามารถใช้ออกได้

"ประมุข"ชายชราคนหนึ่งที่นั่งอยู่ต่ำกว่าต้วนหรูหั่วเพียงขั้นเดียว กล่าวออกมาเป็นครั้งแรกหลังจากที่เงียบมาโดยตลอด

ชายชราคนนี้ผมทั่วทั้งศีรษะเป็นสีขาวราวหิมะ คิ้วของเขาเองก็ขาวซ้ำปลายคิ้วยังชี้ขึ้นราวกับเหยี่ยว ดวงตาของเขานั้นคมกริบซ้ำยังแลดูทอประกายราวกับจะทะลวงเมฆหมอกที่มืดมิดได้

และเมื่อชายชราคนนี้เอ่ยปากกล่าววาจา ทั่วทั้งห้องโถงพลันเงียบสงบลงแม้กระทั่งต้วนหรูหั่วเองก็สงบตั้งใจฟังคำกล่าวของเขา

แม้ว่าชายชราคนนี้จะเป็นเพียงผู้อาวุโสหลักของตระกูล…ทว่าตัวตนของเขาก็ไม่ได้ธรรมดา ... เพราะเขาคือประมุขรุ่นก่อนของตระกูลต้วน ต้วนเฉิน

"หากว่าต้วนหลิงเทียนมีพรสวรรค์ตามธรรมชาติสูงส่งดังกล่าวเช่นนี้ พวกเราต้องพยายามอย่างสุดกำลังไม่ว่าจะใช้วิธีอันใดต้องให้เขากลับเข้ามาร่วมตระกูลของพวกเราให้ได้... พรสวรรค์ของเขานั้นสูงส่งยิ่งกว่าต้วนหรูเฟิงไปมาก อีกเพียงไม่กี่ปีอาณาจักรนภาล่องแห่งนี้คงเล็กเกินไปสำหรับเขา! " ต้วนเฉินกล่าวออกมาอย่างช้าๆ พอจบคำประกายตาเขาเรืองวูบขึ้นมา "และหากเขาสามารถเป็นที่สนใจของนิกายใหญ่ในอาณาจักรพนาครามแล้วล่ะก็ ... ด้วยความที่นิกายนั้นต้องการดึงตัวต้วนหลิงเทียนเพื่อประโยชน์ของพวกมันในอนาคต มิแคล้วพวกมันต้องทำทุกวิถีทางเพื่อเอาอกเอาใจ และยินดีมอบสมบัติล้ำค่าเสนอให้แก่ต้วนหลิงเทียน …แม้กระทั่งโอสถสู่ธรรมชาติก็คงต้องถูกเสนอมาเป็นแน่"

โอสถสู่ธรรมชาติ!

ห้องโถงที่เงียบสงบจนกระทั่งเมื่อครู่ ยามที่ต้วนเฉินกล่าวจบเสียงสูดลมหายใจเข้าลึกๆพลันดังขึ้นทั่วทั้งห้อง ...

โอสถสู่ธรรมชาติ!

แน่นอนว่าพวกเขาทั้งหมดย่อมรู้ดีว่าโอสถสู่ธรรมชาตินี้มีความสำคัญอย่างไร

โอสถสู่ธรรมชาตินั้น นับว่าเป็นโอสถระดับ 5 และมีเพียงผู้หลอมโอสถระดับ 5 เท่านั้นที่สามารถหลอมปรุงขึ้นมาได้

เมื่อผู้ฝึกยุทธ์ระดับครึ่งก้าวธรรมชาติได้ใช้โอสถสู่ธรรมชาตินี้แล้วล่ะก็ มีโอกาสถึง 5 ส่วนที่จะตัดผ่านไปยังระดับแรกสัมผัสธรรมชาติ ภายในเวลา 3 วัน!

มีโอกาส 3 ส่วนที่จะตัดผ่านไปยังระดับแรกสัมผัสธรรมชาติ ภายในเวลา 1 เดือน!

และมีโอกาส 2 ส่วนที่จะตัดผ่านไปยังระดับแรกสัมผัสธรรมชาติ ภายในเวลา 1 ปี!

Copyright © 2019 spoilsoc.com All rights reserved.