spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
*ตั้งค่าถาวร (คลิกตั้งค่าถาวร) |
ต้วนหลิงเทียนเปลี่ยนท่าทีกลับกลายเป็นอำมหิต ยื่นคำขาดโหดร้ายออกมา นับว่าเกินสิ่งที่หวังต้าหู่คาดการณ์เอาไว้ และแน่นอนว่าอีก 4 คนย่อมตกตะลึง ไม่คิดว่าสุดท้ายพวกมันต้องเจอเรื่องเช่นนี้ ความสิ้นหวังฉายชัดออกมาบนใบหน้า
"ท่าน ... ท่านคิดกลับวาจา!" สีหน้าของหวังต้าหู่มืดลงทันที เขาจับจ้องต้วนหลิงเทียนด้วยแววตาไม่ยินยอม ไม่คิดเลยว่าชายหนุ่มตรงหน้าจะกลับคำพูด คิดปลิดปลงชีวิตพี่น้องของเขาเช่นนี้
"บัดซบ รนหาที่ตาย!" เสียงเย็นชาของจางเฉวียนดังขึ้น จิตสังหารคละคลุ้ง ขาขยับว่องไวปานสายฟ้า ฟาดเตะหวังต้าหู่จนกระเด็นไปคิดผนังห้อง มันล้มลงอย่างไร้ต่อต้าน
หวังต้าหู่กระอักโลหิตถ่มถุยเลือดในปากออกมา 2-3 ครั้งติดต่อ ในสายตามันเต็มไปด้วยความโกรธผสมปนเปกับความไม่ยินยอม จับจ้องไปยังต้วนหลิงเทียน
"พี่ใหญ่" เหล่าพยัคฆ์สีชาดแดนเหนืออีก 4 คน สีหน้าซีด แววตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและทุกข์ทรมาน
"หวังต้าหู่ นี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่ข้าจะมอบให้เจ้า หวังว่าเจ้าคงรู้ว่าอะไรดีต่อตัวเจ้า"ต้วนหลิงเทียนเหลือบมองหวังต้าหู่ด้วยแววตาไม่แยแส กล่าววาจาออกมาเรียบๆ
"ถึงแม้ตัวข้าหวังต้าหู่จักต้องตกตาย! ไม่ขออยู่อย่างอับอายเยี่ยงคนขายพี่น้อง!!" หวังต้าหู่กัดฟังตอบออกมาเสียงดังกรอดๆ แม้ว่าตัวมันเองจักกลัวตาย แต่เบื้องหน้าคือเหล่าพี่น้องที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาเป็นเวลานาน ไม่มีวันที่เขาจะปล่อยให้พวกมันตายแต่เพียงลำพัง ส่วนเขาไปอิ่มหนำกับเงินตราอย่างแน่นอน
เพราะถึงแม้ว่าเขาจะเก็บกู้ชีวิตนี้ไปได้ แต่ในใจของเขาคงรู้สึกติดค้างและทุกข์ทรมานไปชั่วชีวิต!
"พี่ใหญ่ ท่านไปเถอะอย่าได้สนใจพวกเรา!"
"พี่ใหญ่ข้ารู้ว่าท่านห่วงพวกเรา ... แต่พวกเราหวังว่าท่านจะปลอดภัย ฝากท่านดูแลครอบครัวข้าด้วย!"
"พี่ใหญ่ ขอเพียงท่านรอดไปได้ ข้ายอมตาย!"
...
อีก 4 คนเหมือนรับรู้ว่ายามนี้พวกเขามิอาจหลีกเลี่ยงมหันตภัยครั้งนี้ได้แล้ว จึงหวังว่าพี่ใหญ่ที่คอยดูแลพวกมันมาตลอดจะมีชีวิตอยู่รอดปลอดภัย
"น้องรอง น้องสาม น้องสี่ น้องห้า!"ดวงตาของหวังต้าหู่แดงก่ำไปด้วยเส้นโลหิต มันหลั่งน้ำตาเป็นสายเลือดเมื่อมองเหล่าพี่น้องที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา แต่มันขอตายร่วมกับพี่น้อง! ลุกขึ้นยืนพร้อมแววตายินยอมแลกชีวิต!
หว่างคิ้วของจางเฉวียนและจ้าวกังขมวดเป็นปม ในฐานะคนของกองทัพพวกมันซาบซึ้งต่อคำว่าพี่น้องและมีความห่วงใยในตัวพวกพ้องและเข้าใจความจงรักภัคดีเช่นนี้เป็นอย่างดี เมื่อพวกเขาเห็นกลุ่มของหวังต้าหู่ทั้ง 5 เป็นเช่นนี้อดไม่ได้ที่จะเกิดอารมณ์สะทกสะท้อนในใจและรู้สึกเห็นอกเห็นใจพวกมัน
แต่ในขณะที่พวกเขาจะช่วยกล่าวกับต้วนหลิงเทียนเพื่อให้แสดงความเมตตาต่อพวกมัน..
"เอาล่ะ ต้องขอแสดงความยินดีด้วยหวังต้าหู่ เจ้าผ่านการทดสอบของข้าแล้ว!" สีหน้าเย็นชาปานน้ำแข็งเคลือบของต้วนหลิงเทียนเริ่มละลายหายไป เขาหยิบเงิน 2,800,000 ขึ้นมาก่อนที่จะชักเก็บไว้ 2,000,000 เหรียญ ก่อนที่จะโยนเงิน 800,000 เหรียญเงินไปให้หวังต้าหู่ "เอาล่ะ หลังจากที่เจ้าเก็บกวาดที่นี่เรียบร้อย ก็นำเงิน 1,000,000 เหรียญเงินนี่ออกจากเมืองหลวงพร้อมกับพี่น้องอีก 4 คนของเจ้าซะ"
การเปลี่ยนแปลงท่าทีราวกับหลังมือเป็นหน้ามือในฉับพลันเช่นนี้ทำให้กุล่มของหวังต้าหู่ตกตะลึง
จางเฉวียนและจ้าวกังหันมามองหน้ากันเองและยิ้มแย้มออกมา ก่อนที่จะเบนสายตาไปมองต้วนหลิงเทียนด้วยความชื่นชม
"ขอบพระคุณนายน้อย ขอบพระคุณนายน้อย ขอบพระคุณนายน้อย!" กลุ่มหวังต้าหู่ทั้งหมดรีบคุกเข่าโขกหัวกล่าววาจาสำนึกบุญคุณออกมาจากส่วนลึกของหัวใจทันที
"เอาล่ะๆ ข้าจะไปจากที่นี่เพื่อไปจัดการธุระของข้าต่อ พวกเจ้าก็จัดการเรื่องราวทั้งหมดไปแล้วกัน ข้าไปแล้ว" ต้วนหลิงเทียนกวาดสายตามองกลุ่มหวังต้าหู่ทั้ง 5 พร้อมมุมปากที่ฉีกยิ้มออกมาก่อนที่จะออกเดินทางไปสะสางเรื่องราวพร้อมจางเฉวียนและจ้าวกัง
"นายน้อย หากหวังต้าหู่ละทิ้งชีวิตพี่น้องท่านคิดจะทำเช่นไรหรือ?" เมื่อเดินออกมานอกโรงเตี๊ยม ก่อนที่จะเดินตามหลังต้วนหลิงเทียนไปครู่หนึ่ง จางเฉวียนที่ชักสีหน้าสงสัย อดไม่ได้ที่จะกล่าวถามขึ้นมา
"หากมันเลือกละทิ้งพี่น้องเพื่อเอาตัวรอด ข้าจะสังหารพวกมันทั้งหมด!" ต้วนหลิงเทียนกล่าววาจาออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ราวกับเรื่องราวนี้มันเป็นเรื่องปกติธรรมดา
ในใจของเขานั้นหากหวังต้าหู่เลือกที่จะหนีเอาตัวรอดไปแล้วล่ะก็ เช่นนั้นเขาก็ไม่อาจปล่อยพวกมันไปได้ ...
จางเฉวียนและจ้าวกังระบายลมหายใจออกมาด้วยความหนาวเหน็บเมื่อได้ยินวาจาไม่แยแสของต้วนหลิงเทียน พวกเขาจับจ้องแผ่นหลังของต้วนหลิงเทียนด้วยแววตาทอประกายระคนชื่นชมด้วยแววตาลึกซึ้ง
พวกเขาไม่คิดสงสัยเลยสักนิดว่า ยามที่ชายหนุ่มผู้นี้เติบโต เขาจะเป็นตัวตนที่ยอดเยี่ยมถึงเพียงใด!
ต้วนหลิงเทียนเองก็หันมามองจางเฉวียนก่อนที่จะกล่าวถามขึ้น "จางเฉวียน แล้วไอ้หงจี้อะไรนี่มันอยู่ที่ไหน?"
จางเฉวียนนั้นรู้จักหงจี้ดี และไม่นานเขาก็พาต้วนหลิงเทียนไปพบมัน
และไม่นานพวกเขาก็พบเจอตัวหงจี้ในบ้าน หลังจากที่ต้วนหลิงเทียนข่มขู่พร้อมทรมานมันจนคายเรื่องราวทั้งหมดออกมา เขาก็เตรียมจะสั่งให้จางเฉวียนจ้าวกังลงมือจัดการเก็บกวาด...
แต่ไม่คาดคิด ต้วนหลิงเทียนยังไม่ทันสั่งจางเฉวียนจ้าวกังก็พลันลงมืออย่างอำมหิตแยกร่างหงจี้ออกเป็น 4 ส่วนทันที!
"พวกเจ้า ... ." ต้วนหลิงเทียนตกตะลึง
จางเฉวียนพลันหัวเราะออกมาอย่างเขินอาย "นายน้อย หงจี้ผู้นี้นับว่าเป็นตัวอุบาทว์ชั่วช้า พวกข้าเองก็คิดที่จะสั่งสอนมันมาเนิ่นนานแล้ว ยามนี้ขอระบายอารมณ์สักครา"
"หืม? แล้วทำไมก่อนหน้านี้พวกเจ้าไม่ลงมือจัดการมันล่ะ?"
"เอ่อ…นายน้อยนี่เพราะพวกเราหวาดกลัวความสัมพันธ์ที่มันมีต่อประมุขของตระกูลเซี่ยว... "
"หืม แล้วเหตุใดตอนนี้ถึงไม่กลัวแล้วล่ะ?"
"พวกเราได้สังหารคนของตระกูลซูมา 2 คนแล้ว และตอนนี้พวกเราก็เดินบนเส้นทางที่ไม่อาจย้อนกลับได้ แล้วพวกเราจะไปกลัวอะไรกับเรื่องที่ต้องสังหารหงจี้"
“ใช่ จะฆ่า 2 คนหรือ 3 คนก็ไม่ได้มีอันใดแตกต่าง ไหนๆพวกเราก็ติดตามท่านมาจนเรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้ว จะสังหาร 3 คนหรือ 10 คนมันก็ไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวแล้ว เพราะหากเรื่องแดงพวกเรามีกี่ชีวิตก็ไม่พอ”
"... ."
ต้วนหลิงเทียนสะอึกเล็กน้อยหลังจากที่ได้ฟังวาจาของจางเฉวียนและจ้าวกัง
ทำไมน้ำเสียงของพวกมันฟังแล้วดูเหมือน เขาเป็นผู้นำพาให้พวกมันเดินหลงทางเช่นนี้เล่า?
"ไม่คิดว่าหงจี้นี่จะมีแหวนมิติไว้ใช้งานเช่นนี้ด้วย ... อะไร! 30,000,000เหรียญเงิน?" หลังจากที่ต้วนหลิงเทียนผูกมัดแหวนมิติของหงจี้ และตรวจสอบสิ่งที่อยู่ภายใน…เมื่อเห็นเงินกองใหญ่ที่อยู่ภายในแหวน อดไม่ได้ที่จะทำให้เขาตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง
"สาเหตุที่หงจี้จะร่ำรวยถึงเพียงนี้ อาจเป็นเพราะมันได้รับเงินจากคนของตระกูลต้วนนั่น"จางเฉวียนย่อมคาดเดาได้
"ฮ่าๆๆ ไอ้บัดซบสารเลวหงจี้นั่น มันกล้าบอกว่าได้รับค่าจ้างมาเพียง 5,000,000 เหรียญเงิน... มันเกือบจะหลอกพวกเราได้แล้ว"ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมาอย่างเย็นชา "เอาล่ะประตูเมืองชั้นในใกล้จะปิดแล้ว รีบไปกันเถอะ!"
ตอนนี้เขาบรรลุเรื่องราวในเมืองหลวงชั้นนอกเสร็จสิ้นแล้ว เหลือเพียงเรื่องราวที่อยู่ในเมืองหลวงชั้นในเท่านั้น
"ต้วนหรูเล่ย!" จิตสังหารของต้วนหลิงเทียนแผ่ซ่านคุกรุ่นออกมาอยู่ในใจของเขา
ต้วนหลิงเทียนได้ฟังคำพูดที่คายออกมาทั้งหมด ของหงจี้ที่หวังยื้อชีวิต และมันได้กล่าวว่า ท่านรอง ของตระกูลต้วนเป็นผู้จ้างวานมัน แน่นอนว่าท่านรองนี่มันคงเป็นใครอีกไม่ได้นอกจาก…
ผู้อาวุโสรองแห่งตระกูลต้วน, ต้วนหรูเล่ย!
หลังจากเดินกลับเข้ามาถึงเมืองชั้นในได้ทันเวลาแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็หันไปกล่าวกับจางเฉวียนและจ้าวกัง "พวกเจ้าไปลอบติดตามต้วนหรูเล่ยและเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของมัน ข้าอยากรู้ว่าคืนนี้มันจะไปที่ใด จะเขตที่พักของตระกูลต้วนหรือยังอยู่ที่บ้านของมัน ...หลังจากที่พวกเจ้าสืบสาวได้ความชัดแน่นอนแล้วกลับไปรายงานข้าที่บ้าน "
"ได้ขอรับนายน้อย" จางเฉวียนและจ้าวกัง รีบพยักหน้ากล่าวรับคำออกมา
แน่นอนว่าพวกมันย่อมรู้ดีว่านายน้อยคิดอ่านอันใด… นายน้อยวางแผนคิดฆ่าต้วนหรูเล่ย!
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะรู้จักตัวตนของต้วนหรูเล่ยและรับรู้ถึงสถานะมันอย่างดีว่าเป็นใคร แต่พวกมันได้สังหารคนของตระกูลซูมาถึงขั้นนี้แล้ว พวกมันก็ไร้ความลังเลใดๆ...
เป็นดั่งเช่นนายน้อยกล่าววาจาสอนสั่ง หากกระทำการด้วยความหมดจดและไร้ซึ่งร่องรอยให้สืบสาว ทุกอย่างล้วนไม่มีอะไรผิดพลาด
ซ้ำคืนนี้ยังเป็นคืนเดือนมืด เมฆหมอกพร่างพราวเต็มท้องฟ้า สายลมโชยพัดแรงดังหวีดหวิว นับเป็นคืนอันดีที่จะสังหารผู้คน!
ด้านนอกลานบ้านกว้างใหญ่แห่งหนึ่งในเมืองหลวงชั้นในยามดึกสงัด ปรากฏร่างโม่งดำ 3 ร่างเคลื่อนตัวเลียบกำแพงบ้านไปอย่างเงียบงัน เมื่อถึงจุดที่เหมาะสมทั้ง 3 ร่างพลันกระโดดข้ามกำแพง ลอบเข้ามาในบ้านได้อย่างราบรื่น แน่นอนว่าร่างโม่งดำทั้ง 3 ย่อมเป็นกลุ่มของต้วนหลิงเทียน
หลังจากที่จางเฉวียนและจ้าวกังไปลอบตามตัวของต้วนหรูเล่ยครึ่งคืน พวกเขาก็แน่ใจและยืนยันได้ว่าต้วนหรูเล่ยเลือกที่จะพักที่บ้านลานของมัน ไม่ได้กลับไปพักที่เขตที่พักของตระกูลต้วนแต่อย่างไร
บ้านหลังนี้มีลานบ้านขนาดเทียบเท่าบ้านของต้วนหลิงเทียน โคมเทียนในบ้านดับสนิท ตัวบ้านมืดและเงียบไร้เสียงพูดคุย...
"ดูเหมือนจะมีอะไรเล็กน้อย" ทันใดนั้นสัมผัสอันละเอียดอ่อนด้วยพลังวิญญาณที่เหนือชั้นของต้วนหลิงเทียนพลันจับสัมผัสถึงบางสิ่งได้ เขาหรี่ตามองฝ่าความมืดไปยังเบื้องหน้า
และไม่เพียงแต่เขาที่สังเกตพบความเคลื่อนไหว อสรพิษน้อยในแขนเสื้อเองก็กระวนกระวายขึ้นมาราวกับมันรับรู้ได้ถึงอะไรบางสิ่งเช่นกัน ...
แต่หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ต้วนหลิงเทียนก็ตัดสินใจนำจางเฉวียนและจ้าวกังมุ่งหน้าต่อไปกับเขา
ในเมื่อมาถึงที่แล้วเขาก็ไม่อยากกลับไปมือเปล่าเช่นนี้!
ยิ่งไปกว่านั้นเขาจะกลัวอะไร? มันเป็นเพียงคนพิการคนหนึ่งเท่านั้น จะมีปัญญาทำอะไรเขาได้?! และถึงแม้มันจะมีคนคุ้มกันต้วนหลิงเทียนก็หาได้หวาดกลัว!
ตราบใดที่คนคุ้มกันของมันยังไม่ใช่ตัวตนที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ครึ่งก้าวแรกสัมผัสธรรมชาติ ต้วนหลิงเทียนหาได้หวาดกลัวไม่ เพราะเขาสามารถใช้อาคมกร่อนกระดูกสังหารมันได้อย่างง่ายดาย
ฟุ่บ!
ทว่าเมื่อต้วนหลิงเทียนและจางเฉวียนจ้าวกังมาถึงกลางลานและมองหาจุดที่จะเล็ดรอดเข้าไปในบ้าน เสียงจุดโคมเทียนพลันดังขึ้น ทั่วทั้งลานกลับกลายเป็นส่องสว่างเผยตัวตนร่างโม่งดำทั้ง 3 ที่กลมกลืนไปกับความมืดอย่างกระจ่างชัด
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
และพริบตานั้นเอง ร่าง 3 ร่างพลันปรากฏขึ้นมาห้อมล้อมกลุ่มของต้วนหลิงเทียน
อีกทั้งในขณะที่ทั้ง 3 คนนี้เคลื่อนร่างออกมาด้วยความเร็วสูงเงาร่างช้างแมมมอธโบราณยังฉายออกมาเหนือหัวพวกมัน และเมื่อเพ่งมองให้ชัดพบว่าแต่ละคนมีเงาร่างช้างแมมมอธโบราณฉายออกมาถึง 1,000 ... ผู้ฝึกยุทธ์ระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 7 ทั้ง 3 คน!
ร่างชาย 3 คนที่ปรากฏนั้นเป็นชายชราทั้ง 3 คน และตอนนี้พวกมันกำลังจ้องมองกลุ่มของต้วนหลิงเทียนด้วยแววตาลุกไหม้ราวกับจะแผดเผาพวกเขา
ม่านตาของต้วนหลิงเทียนหดแคบลง สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนเป็นจริงจังเคร่งเครียด แต่เนื่องจากยามนี้ใบหน้าของเขาถูกปิดบังอยู่จึงไม่มีใครพบเห็น
เขาคาดไม่ถึงจริงๆ ว่าที่ไม่ควรมีกลับมี!
อย่างไรก็ตามเขาหาได้แยแสผู้ฝึกยุทธ์ระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้น 7 ทั้ง 3 ที่ปิดล้อมเขาอยู่ เพราะตราบใดที่เขาผนึกกำลังกับจางเฉวียนและจ้าวกัง เพื่อลงมือสังหารพวกมัน 1 คนทันทีด้วยอาคมกร่อนกระดูกที่จารึกไว้ในแหวนมิติ อีกทั้งเขายังสามารถใช้อาคมกร่อนกระดูกที่จารึกเอาไว้ในกระบี่อ่อนดาราม่วงปลิดปลงชีวิตอีก 1 ใน 2 ที่เหลือ คนสุดท้ายก็เป็นเรื่องง่ายดายสำหรับ การร่วมมือของจางเฉวียนและจ้าวกัง
"ต้วนหลิงเทียน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าผู้ที่มานั้น ย่อมเป็นเจ้าอย่างแน่นอน" ทันใดนั้นเองเสียงเย็นชาเต็มไปด้วยความอำมหิตหนึ่งพลันดังขึ้นมาจากในตัวบ้าน ชายวัยกลางคนท่าทางหรูหราค่อยๆก้าวเดินออกมา
ชายชราสวมชุดสีเขียวคนหนึ่ง ติดตามชายวัยกลางคนที่กล่าวคำออกมา
ถึงแม้ว่าต้วนหลิงเทียนจะเห็นหน้าชายวัยกลางคนนี้เป็นครั้งแรกในชีวิต แต่เขาย่อมคาดเดาอัตลักษณ์ของมันได้ทันที นี่เพราะใบหน้าของมันมีส่วนคล้ายคลึงกับต้วนหลิงซิ่งอยู่หลายส่วน ...
ต้วนหรูเล่ย!
แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่ต้วนหลิงเทียนให้ความสนใจหาใช่สวะอย่างต้วนหรูเล่ย แต่เป็นชายชราสวมชุดสีเขียวที่ติดตามมันมา
ชายชราที่สวมชุดสีเขียวนี้แลดูภายนอกเป็นชายแก่รูปร่างผอมบาง แต่ทว่ามันกลับสร้างความตื่นตัวให้แก่ต้วนหลิงเทียนอย่างถึงขีดสุด สังหรณ์อันตรายร้องเตือนเขาดังสนั่นในหัวใจ
จากประสบการณ์ 2 ชาติภพของจักรพรรดิกลับชาติมาเกิด ต้วนหลิงเทียนรับรู้ได้ทันทีว่ามันไม่ธรรมดา ...
ความแข็งแกร่งของชายผู้นี้บรรลุขอบเขตเหนือล้ำผู้ฝึกยุทธ์ระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 9 ไปมาก
ครึ่งก้าวแรกสัมผัสธรรมชาติ!
ต้วนหลิงเทียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ใจของเขาเต้นถี่ราวปืนกล
"มันอาจจะไม่ใช่ครึ่งก้าวแรกสัมผัสธรรมชาติ... " ต้วนหลิงเทียนกล่าวปลอบใจตัวเอง
"อะไรกัน? ต้วนหลิงเทียนต่อหน้าท่านลุงแท้ๆของเจ้าอย่างข้าผู้นี้ เจ้ายังไม่คิดจะเปิดเผยตัวตนให้ข้าได้ยลโฉมหน้าหลานเสียหน่อยหรือ?" ต้วนหรูเล่ยจับจ้องไปยังต้วนหลิงเทียน ก่อนจะกล่าววาจาออกไม่อย่างนิ่งสงบ
ต้วนหลิงเทียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนที่จะถอดหน้ากากโม่งดำเปิดเผยใบหน้าออกมา ...
ในเมื่อมีผู้คนจดจำเขาได้ ก็หามีความจำเป็นต้องใส่มันอีกต่อไป
และตอนนี้เขาค่อนข้างมั่นใจว่า เขาถูกต้วนหรูเล่ยล่อให้มาติดกับ
ต้วนหรูเล่ยสร้างภาพและหลอกล่อให้เขามองมันเป็นเหยื่อที่ง่ายต่อการจัดการ!
"อย่างที่คิดมันกลับละม้ายคล้ายคลึงต้วนหรูเฟิงถึงเพียงนี้ ... " สายตาของต้วนหรูเล่ยจับจ้องไปยังใบหน้าที่พึ่งเผยออกมาของต้วนหลิงเทียน และดูเหมือนเพลิงโทสะกำลังลุกโชนขึ้นในใจ ราวกับว่าตอนนี้ตัวเขากำลังหวนย้อนนึกกลับไปถึงวันนั้น วันที่ต้วนหรูเฟิงทำลายตันเถียนของเขาจนต้องกลับกลายมาเป็นคนพิการเช่นนี้
"ข้าสงสัยนัก เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าจะมา?" ต้วนหลิงเทียนมองไปยังต้วนหรูเล่ยพร้อมเอ่ยถามออกมา
"นี่ต้องโทษที่ผู้ติดตาม 2 คนด้านข้างของเจ้ายังอ่อนหัดนัก มันเปิดเผยร่องรอยให้ท่านผู้อาวุโสกู่พบเห็นได้อย่างง่ายดาย" ในขณะที่กล่าวถึงตอนนี้ ต้วนหรูเล่ยหยุดครู่หนึ่งก่อนจะหันไปยิ้มให้กับชายชราชุดเขียวด้านข้าง อีกทั้งยังสัมผัสได้ว่ามีความยำเกรงผสมอยู่ภายในรอยยิ้มนี้ไม่น้อย
"นายน้อย ขออภัย… เป็นพวกข้าไร้สามารถ"จางเฉวียนและจ้าวกังสะอึกขึ้นทันที พวกมันไม่คิดเลยว่าปัญหานี้จะเกิดขึ้นเพราะความสะเพร่าของพวกมัน ม่านตาของพวกมันหม่นหมองลง ก่อนที่จะกล่าวขออภัยออกมาด้วยน้ำเสียงขมปร่า
ต้วนหลิงเทียนยังคงจับจ้องไปยังชายชราชุดเขียวอย่างไม่คลาดสายตา
จางเฉวียนและจ้าวกังได้ติดตามเขามาสักระยะแล้ว และเขาก็สั่งสอนพวกมันจนสามารถปรับปรุงการลอบติดตามได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ต้วนหลิงเทียนมั่นใจว่ายามนี้ต่อให้พวกมันไปลอบติดตามผู้ฝึกยุทธ์ระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 9 ทั่วไป พวกมันก็ไม่น่าจะเปิดเผยร่องรอยใดๆให้อีกฝ่ายพบเห็น…
เป็นไปได้หรือไม่ว่าสุดท้ายแล้วชายชราชุดเขียวคนนี้ กลับเป็นผู้ฝึกยุทธ์ครึ่งก้าวแรกสัมผัสธรรมชาติอย่างแท้จริง?
ความหนาวเหน็บเริ่มแผ่ซ่านปกคลุมใจของต้วนหลิงเทียน