spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
*ตั้งค่าถาวร (คลิกตั้งค่าถาวร) |
ในสายตาของผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไปความแข็งแกร่งของเขา มีเพียงผู้ฝึกยุทธ์ที่ตัดผ่านระดับกำเนิดแก่นแท้ไปแล้วเท่านั้นถึงจะแสดงออกมาได้ ... แต่ในหัวข้อนี้เขาไม่คิดกล่าววาจาอะไรเพื่ออธิบายมันออกมา
เพราะจะอย่างไรนี่เป็นเรื่องวิชาบ่มเพาะอันเป็นเอกลักษณ์ อย่างวิชา 9 มังกรจักรพรรดิสงคราม
และนั่นคือความลับอันยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา หากมันถูกเปิดเผยออกมาแล้วล่ะก็ เขาต้องเจอกับปัญหายิ่งใหญ่และถูกผู้คนจ้องล้างผลาญอย่างสมบูรณ์!
ตอนนี้ตัวเขาเองก็ได้ฝึกฝนวิชา 9 มังกรจักรพรรดิสงครามมาถึงรูปแบบที่ 2 อย่างรูปแบบงูเหลือมคลั่งแล้ว และเขาก็ได้พบว่าวิชาบ่มเพาะนี่เป็นวิชาระดับสวรรค์อย่างแท้จริง
เขาสามารถนึกภาพออกได้เลยว่าหากวิชาบ่มเพาะ 9 มังกรจักรพรรดิสงครามนี้ของเขาถูกเปิดเผยออกไปแก่สายตาผู้คนแล้ว แม้กระทั่งตัวตนอย่างผู้ฝึกยุทธ์ระดับธรรมชาติ ก็คงต้องลงมือแย่งชิงจากเขาเป็นแน่
ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็เดินมาถึงทางแยก และเขาก็ได้แยกย้ายกับเทียนหูเพื่อไปเข้าชั้นเรียน
ภายในชั้นเรียนของดาวกุนซือนั้นนักเรียนคนอื่นๆ ทั้ง 17 คนนอกเหนือจากต้วนหลิงเทียนล้วนนั่งที่กันเรียบร้อยแล้ว
"อาจารย์" ต้วนหลิงเทียนมาถึงหน้าห้องเรียนก่อนที่จะกล่าววาจา พร้อมส่งรอยยิ้มเป็นการขออภัยให้แกอาจารย์ซื่อหม่าฉางฟง
ซื่อหม่าฉางฟงไม่คิดซักไว้ไล่เรียงอะไรเพียงกล่าวคำสั้น "เข้ามา"
แล้วต้วนหลิงเทียนก็เข้าไปนั่งที่ของเขา
เซี่ยวฉวินที่นั่งด้านหลังต้วนหลิงเทียน ได้สะกิดพร้อมเอ่ยถามออกมาด้วยรอยยิ้มราวกับรู้ทัน "ต้วนหลิงเทียนถึงแม้ว่าเจ้าจะเคยมาสายไปบ้าง แต่เจ้าก็ไม่เคยสายขนาดชั้นเรียนเริ่มต้นไปแล้วเช่นนี้มาก่อนเลย...คายความจริงออกมาเถิดพ่อหนุ่มไฟแรง เจ้ากระทำเรื่องราวหักโหมบางอย่างมากเกินไปกับสาวน้อยของเจ้าใช่หรือไม่เมื่อคืนนี้? "
ต้วนหลิงเทียนกลอกตาหันมาจ้องเซี่ยวฉวินตาเขม็งอย่างเหนื่อยหน่าย “นี่ในหัวเจ้าสามารถคิดได้เพียงเท่านี้งั้นหรือ?”
เวลาไหลผ่านไปเรื่อยๆ ไม่นานชั้นเรียนก็สิ้นสุดลง
และเมื่อเที่ยงวันก็เป็นอันได้เวลาที่ต้วนหลิงเทียน,เซี่ยวหยูและเซี่ยวฉวินไปหาอะไรกินที่โรงอาหาร ในขณะที่พวกเขาทั้ง 3 คนกำลังเดินไปโรงอาหารนั้น ระหว่างทางก็ถูกสายตาของผู้คนมองมา ราวกับพวกมันล้วนทักทายพวกเขาด้วยสายตาอย่างไรอย่างนั้น ...
เซี่ยวฉวินพลันหันมองไปยังเซี่ยวหยูและต้วนหลิงเทียนก่อนจะเอ่ยถามออกมา "มีอันใด ติดอยู่บนใบหน้าของพวกเราหรือไม่"
"บนหน้าเจ้ากับต้วนหลิงเทียนก็ไม่มีอะไรนะ แล้วบนหน้าข้าเล่ามีอะไรติดอยู่หรือไม่?" เซี่ยวหยูเองก็รู้สึกแปลกๆ เหมือนกัน เขาไม่รู้ว่าทำไมผู้คนถึงต้องจ้องมองมาทางพวกเขาด้วยสายตาแบบนี้?
เซี่ยวฉวินหันไปมองตามใบหน้าของเซี่ยวหยูอย่างจริงจังก่อนที่จะเอ่ยออกมา "ไม่มีอะไรอยู่บนหน้าเจ้าเช่นกัน"
ในบรรดาทั้ง 3 คนนั้นกล่าวได้ว่ามีเพียงต้วนหลิงเทียนเท่านั้นที่ยังคงความสงบเอาไว้ได้ นั่นเพราะเขารู้เหตุผลดี ...
"นั่นน่ะหรือต้วนหลิงเทียน ...นักศึกษาชั้นปีที่ 1 ที่สามารถตัดผ่านไปยังระดับกำเนิดแก่นแท้ด้วยวัยเพียง 18 ปี!"
"บัดซบ เรื่องเหลือเชื่อเช่นนี้เป็นไปได้จริงๆอย่างนั้นหรือ? เพียงอยู่ชั้นปีที่ 1 ก็มีระดับกำเนิดแก่นแท้แล้ว? "
ทันใดนั้นเองระหว่างทางก็มีชาย 2 คนหยุดและมองมายังต้วนหลิงเทียน ก่อนที่จะกระซิบกระซาบสนทนากัน
เนื่องจากระยะทางมันไม่ห่างสักเท่าไร เสียงพูดคุยของทั้งสองคนจึงถูกเซี่ยวหยูและเซี่ยวฉวินได้ยิน และทั้งสองคนก็มีปฏิกิริยาตอบสนองทันที ....
ดังนั้นเรื่องราวที่ผู้คนจ้องมองมาด้วยสายตาแปลกตลอดเวลานี้ ไม่ได้เป็นเพราะมีอะไรติดอยู่บนใบหน้าของพวกเขาแต่อย่างใด แต่ทั้งหมดแล้วแล้วแต่เป็นเพราะการกระทำของต้วนหลิงเทียน!
"ต้วนหลิงเทียน... นี่เจ้าตัดผ่านไปยังระดับกำเนิดแก่นแท้แล้วเช่นนั้นหรือ" เซี่ยวฉวินและเซี่ยวหยูเองก็แสดงสีหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึงและประหลาดใจออกมา แววตาของพวกมันล้วนเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ
นี่เป็นเรื่องน่าตื่นตระหนกอย่างแท้จริง!
ต้วนหลิงเทียนเพียงยิ้มบางๆรับคำกล่าว ด้วยท่าทีสงบเรียบนิ่ง
"ให้ตายสิ! ข้าก็ไม่รู้ว่า เจ้าจะตัดผ่านไปยังระดับกำเนิดแก่นแท้ได้จริงหรือไม่... แต่เพราะเหตุใด พวกคนเหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีความเข้าใจและรับรู้ว่าเจ้าตัดผ่านระดับกำเนิดแก่นแท้ไปแล้วเช่นนี้ แต่พวกเรากลับไม่รู้? นี่...หรือว่าที่เจ้าเข้าชั้นเรียนสาย เพราะเจ้าไปทำอันใดมาใช่หรือไม่? " เซี่ยวฉวินสบถออกมาก่อนที่จะกล่าวคำถามออกมามากมาย
แม้ว่าเซี่ยวหยูจะไม่ได้กล่าวคำอะไร แต่สายตาของเขายังคงจับจ้องมายังต้วนหลิงเทียนเขม็ง
"เอาล่ะๆ เมื่อพวกเจ้าเจอเทียนหู พวกเจ้าไปถามมันดูเองแล้วกัน" ต้วนหลิงเทียนยักไหล่ออกมาอย่างช่วยไม่ได้
ภายในโรงอาหาร กลุ่มของต้วนหลิงเทียนพึ่งมาถึงและนั่งลง เทียนหูก็มาถึงหลังจากนั้นเพียงไม่นาน
และแน่นอนว่ายังไม่ทันได้นั่งเทียนหูก็โดนเซี่ยวฉวินกับเซี่ยวหยูกระหน่ำคำถามใส่ทันที ... และไม่นานหลังจากที่ได้รับฟังเรื่องราวที่เทียนหูเล่าออกมาพร้อมท่าทางประกอบอย่างออกรส เซี่ยวหยูและเซี่ยวฉวินก็เข้าใจสาเหตุความเป็นมาของเรื่องราวทั้งหมด
พวกเขาไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่า ที่ต้วนหลิงเทียนเข้าชั้นเรียนสายวันนี้จะเป็นเพราะฉวีชิง
สำหรับนามฉวีชิงนี้ พวกเขารู้ว่ามันเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 2 และได้รับการยอมรับและขนานนามว่าเป็นอัจฉริยะอันดับ 1 ของสถาบันบ่มเพาะขุนพล ก่อนที่ต้วนหลิงเทียนจะปรากฏตัว
“เฮ่อ ต้วนหลิงเทียน...เจ้านี่น้า นอกจากจะแย่งชิงตำแหน่งและเกียรติยศของอัจฉริยะอันดับ 1 แห่งสถาบันบ่มเพาะขุนพลของมันมาแล้ว เจ้ายังลงมือทุบตีมันต่อหน้าต่อตาผู้คนเยอะแยะมากมายเช่นนี้ ทำให้มันต้องยอมรับความพ่ายแพ้เจ้าทั้งกายใจ ต่อไปมันก็ต้องเผชิญกับความรู้สึกต่ำต้อยกว่าตลอดเวลาที่อยู่ในสถาบันบ่มเพาะขุนพล” เซี่ยวฉวินส่ายหัวก่อนที่จะกล่าวออกมา เขาเองก็รู้สึกประหลาดใจไม่น้อย เขาไม่คิดเลยว่าต้วนหลิงเทียนจะน่าเกรงขามถึงขั้นตบตีฉวีชิงได้ง่ายดายเช่นนี้
และแน่นอนว่าเขาต้องตกใจมากยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อรับรู้ระดับบ่มเพาะของต้วนหลิงเทียน ...
เหยียบย่างในระดับกำเนิดแก่นแท้ ด้วยวัยเพียง 18 ปี!
เพียงแค่คิดก็ทำให้สมองของเขาอื้ออึงแล้ว
ต้วนหลิงเทียนเพียงส่ายหัวและยิ้มออกมาอย่างไม่ได้สนใจอะไรนัก "ข้าก็ให้โอกาสมันแล้วนะ แต่มันดันดื้อรั้นไม่ยอมหยุดเองนี่นา"
"ข้าว่าเจ้าทุบตีมันเช่นนี้ ประเสริฐสุดแล้ว ทุบตีได้ดี!" เทียนหูมีใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสุข และรู้สึกสะใจที่ฉวีชิงถูกทุบตี
เซี่ยวหยูมองไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาซับซ้อน ก่อนที่รอยยิ้มขมขื่นจะเผยออกมาที่มุมปากของเขา อย่างไม่รู้ตัว
ปัจจุบันตัวเขายังอยู่ห่างไกลจากระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 7 แต่ต้วนหลิงเทียนได้ตัดผ่านไปยังระดับกำเนิดแก่นแท้เสียแล้ว...ถึงแม้ว่าเขาจะล้มเลิกความคิดนำตัวเองไปเปรียบเทียบกับต้วนหลิงเทียนนานแล้ว แต่เขาก็ยังรู้สึกท้อแท้ในใจบ้างอยู่ดี
"อ๊ะ จริงสิ" ทันใดนั้นเองเทียนหูพลันโพล่งขึ้นมากลางโต๊ะ ท่าทางเหมือนคนคิดอะไรบางอย่างออก และมันก็หันไปจ้องต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาจริงจัง "นี่ต้วนหลิงเทียน ข้าเคยได้ยินมาว่าพื้นเพของฉวีชิงผู้นี้หาได้ธรรมดาไม่! มันเป็นถึงบุตรชายของผู้ว่าการมณฑลเพลิงอนันต์!"
"ลูกชายของผู้ว่าการมณฑลงั้นหรือ" คิ้วของต้วนหลิงเทียนขมวดขึ้นเล็กน้อยและเมื่อเขาหวนนึกถึงเรื่องราวเมื่อตอนเช้าเขาก็พลันเข้าใจอะไรขึ้นมา
เมื่อเช้านั้น...เขาสังเกตุได้ว่าในมือของฉวีชิงไม่ได้ถือดาบเอาไว้ตั้งแต่แรก และอยู่ๆมันก็ปรากฏออกมาจากความว่างเปล่า นั่นเห็นได้ชัดว่ามันต้องนำออกมาจากแหวนมิติแน่นอน ... ตอนนั้นต้วนหลิงเทียนยังรู้สึกประหลาดใจที่ฉวีชิงมีแหวนมิติไว้ใช้งาน มากกว่ามันมีอาวุธวิญญาณระดับ 7 เสียอีก
แต่เมื่อตอนนี้เขารู้ถึงอัตลักษณ์มันแล้วก็เข้าใจเรื่องราวโดยพลัน
บุตรชายของผู้ว่าการมณฑลแล้วจะทำไมล่ะ? ม่านตาของต้วนหลิงเทียนหรี่ลงเล็กน้อย
ในอาณาจักรนภาล่องแห่งนี้มีเพียง 18 มณฑลเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม เขาได้ตัดแขนบุตรชายของผู้ว่าการมณฑลผานางแอ่นเหิน นามว่าเป่ยซัน ...นับว่าเป็นคนแรก
หลังจากนั้นเขาก็ทุบตีบุตรตรีของผู้ว่าการมณฑลตะวันฉายถงลี่ จนใบหน้านางเละราวกับหมูถึง 2 ครั้งสองครา นั่นนับเป็นคนที่ 2
มาตอนนี้เขาเอาชนะ ฉวีชิงบุตรชายของผู้ว่าการมณฑลเพลิงอนันต์และทำลายความภาคภูมิใจของมันจนย่อยยับต่อหน้าผู้คน นับว่าเป็นการล่วงเกินบุตรของผู้ว่าการมณฑลคนที่ 3
ภายใน 18 มณฑลนี้นับว่าเขาได้ล่วงเกินไป 3 มณฑลแล้ว ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อมก็ตาม
ภายใต้การจ้องมองอย่างเคร่งเครียดของเซี่ยวหยูและคนอื่นๆ ต้วนหลิงเทียนเพียงแย้มยิ้มออกมาอย่างสบายอารมณ์ “เฮ่ๆ พวกเจ้าจะเครียดทำอะไรกันเล่า พวกเจ้าอย่าได้ลืมสิ ก่อนหน้านี้ข้าล่วงเกินลูกสาวของผู้ว่าการมณฑลตะวันฉาย จนนางเคียดแค้นข้าเข้ากระดูกดำ และทั้งๆ ที่นางเองก็เป็นถึงลูกพี่ลูกน้องขององค์ชาย 5 หากเทียบกับฉวีชิงแล้วมันก็ไม่ได้มีอะไรน่ากลัวแม้แต่น้อย” เมื่อต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมา เซี่ยวหยูและคนอื่นๆพลันนึกออกทันที และจำได้ว่าสหายของพวกเขาคนนี้ได้ก่อเรื่องราวกับชาวบ้านเขาไปทั่ว พวกมันจึงทำได้เพียงยิ้มออกมาอย่างเจื่อนๆ
"อันที่จริงมันก็ไม่ได้มีอะไรมากมาย เพราะเจ้าก็แค่เอาชนะฉวีชิงเท่านั้น หาได้ทำร้ายเขาสาหัสแต่อย่างใด ผู้ว่าการมณฑลเพลิงอนันต์ก็คงมองว่ามันเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้นล่ะ " เซี่ยวฉวินยิ้มออกมาอย่างสบายๆ สลายบรรยากาศอึมครึมภายในโต๊ะอาหาร
เซี่ยวหยูกับเทียนหูเองก็พยักหน้าเห็นด้วย
ส่วนต้วนหลิงเทียนนั้นไม่ได้สนใจอะไรอยู่แล้ว ...
มณฑลเพลิงอนันต์?
เขาไม่ได้หวาดกลัวกระทั่งองค์ชาย 3 และองค์ชาย 5 แล้วเขาจะไปหวาดกลัวผู้ว่าการมณฑลได้อย่างไร!?
และตอนนี้ทั่วทั้งโรงอาหารก็เต็มไปด้วยหัวข้อสนทนาเกี่ยวกับการประลองกันระหว่างฉวีชิงและต้วนหลิงเทียน รวมทั้งเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนระเบิดความแข็งแกร่งระดับกำเนิดแก่นแท้ออกมา ...
อีกครั้งที่ต้วนหลิงเทียนกลายเป็นจุดสนใจของผู้คน
ต้วนหลิงเทียนรู้สึกหงุดหงิดและอึดอัดเล็กน้อย เพราะเขาไม่ค่อยชอบให้ผู้คนจ้องมองมายังเขาราวกับตัวประหลาด เพราะมันราวกับเขาเป็นสัตว์ที่อยู่ในสวนสัตว์อย่างไรอย่างนั้น เมื่อเขากินนู่นนี่นั่นจนอิ่ม เขาก็ออกจากโรงอาหาร มุ่งหน้าไปยังต้นไม้ใหญ่ข้างลานฝึกซ้อมเพื่อบ่มเพาะพลังต่อ
บนชั้นลอยของโรงอาหาร
ชายชราที่สวมชุดคลุมสีเทากำลังแสดงสีหน้าที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ "เจ้าเด็กนั่น ตัดผ่านไปยังระดับก่อกำเนิดแล้ว?"
ยามโพล้เพล้ ต้วนหลิงเทียนก็แยกจากเซี่ยวหยูและเซี่ยวฉวินหน้าประตูทางเข้าสถาบันบ่มเพาะขุ่นพล
หลังจากเดินออกจากประตูของสถาบันบ่มเพาะขุนพล ต้วนหลิงเทียนพลันสัมผัสได้ถึงผู้ที่จับตาเขาดูอยู่ทันที นอกจากจางเฉวียนกับจ้าวกังแล้ว...
ส่วนคนอื่นๆ 5 คนนั้น เขาไม่รู้จัก
แต่อย่างไรก็ตามความแข็งแกร่งของกลุ่มคนทั้ง 5 นี่ยังไม่อยู่ในระดับวิญญาณแรกก่อตั้งด้วยซ้ำ
รอยยิ้มเย็นชาเริ่มปรากฏที่บริเวณมุมปากของต้วนหลิงเทียน ก่อนที่จะรุดไปยังซอยเปลี่ยวร้างซอยเดิม
มีผู้คนมากมายหลายต่อหลายคนที่นำชีวิตมาทิ้งเอาไว้ในซอยแห่งนี้ และผู้ใดที่คิดทำร้ายต้วนหลิงเทียนล้วนต้องสลายกลายเป็นผงที่ซอยแห่งนี้แทบทั้งสิ้น
ทันทีที่ต้วนหลิงเทียนเริ่มเดินเข้าซอย ก็บังเกิดคลื่นอากาศกระเพื่อมจากการเคลื่อนไหว พัดโชยมาทางด้านหลังเขาเย็นฉ่ำไม่น้อย ...
เพียงพริบตาเดียวก็มีชาย 5 คนล้อมรอบเขาเอาไว้ทุกทิศทาง
ต้วนหลิงเทียนสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนและแทบจะในทันทีว่าชายทั้ง 5 นั้นจ้องมองเขาด้วยความโลภในสมบัติเท่านั้นหาได้มีจิตใจแค้นเคืองชิงชังหรืออาฆาตแต่อย่างใด ดูเหมือนคนพวกนี้จะได้รับการจ้างวานมา และเห็นได้ชัดว่าพวกมันมีความจำเป็นบางอย่าง
‘ดูเหมือนกลุ่มคนพวกนี้จะถูกผู้อื่นจ้างวานมาอีกที พวกมันน่าจะทำเพียงเพราะเหรียญเงินเท่านั้น’ ต้วนหลิงเทียนคิดในใจ คนอย่างเขาผ่านโลกมามากแค่มองแววตาก็สืบทราบได้ถึงเจตนา
“เอาล่ะ พวกเจ้าทั้งหมดรับงานนี้มาเพราะต้องการเหรียญเงินใช่หรือไม่ ...ข้าจะให้พวกเจ้าเป็น 2 เท่าของผู้ที่จ้างวานให้มาฆ่าข้า” ต้วนหลิงเทียนมองไปยังชายคนหนึ่งที่ดูท่าทางมีวุฒิภาวะสูงที่สุดและน่าจะเป็นผู้นำ ชายคนนี้มีรอยแผลเป็นพาดขวางบนใบหน้า แลดูน่าหวาดกลัวและเหมือนคนชั่วร้าย ...แต่คนเรานั้น ก็ไม่อาจตัดสินกันได้ว่าผู้ใดดีหรือเลวด้วยการอาศัยมองรูปลักษณ์ภายนอกเพียงอย่างเดียว
ทั้ง 5 คนรวมทั้งชายหน้าบากคนนั้นอดไม่ได้ที่จะต้องตกตะลึง เมื่อได้ฟังวาจาที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมา
"เด็กน้อย หนทางสายนี้ล้วนมีกฏของมัน... เนื่องจากพวกเรา 5 พยัคฆ์สีชาดแห่งเมืองหลวง ได้รับเงินค่าจ้างและมีการตกลงรับงานนี้มาแล้ว ต่อให้เจ้าจะจ่ายพวกเรามากกว่านายจ้างเรา 10 เท่า พวกเราก็ไม่อาจตระบัดสัตย์ได้!" ชายหน้าบากกล่าวออกมาอย่างทระนงและเด็ดเดียว แต่เมื่อกล่าวจบท่าทีของเขาก็อ่อนลงเล็กน้อย "แต่เจ้าหนู แน่นอนว่าเจ้าไม่อาจซื้อชีวิตของตัวเจ้าเองได้...แต่หากเจ้าอยากให้คนที่ว่าจ้างมาสังหารเจ้าตกตาย พวกข้ายินดีรับค่าจ้างจากเจ้าและสัญญาว่าจะพยายามทำตามคำขอของเจ้าอย่างดีที่สุด พวกข้าจะรับประกันว่าผู้ที่จ้างวานมาฆ่าเจ้าจะถูกพวกข้าดูแลอย่างดี!"
ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะเผยสีหน้าตกตะลึงออกมา หลังจากที่ได้ยินชายหน้าบากกล่าว “แบบนี้ก็มีด้วยหรือ?”
"แน่นอน พวกเราทำงานเพื่อเงิน หาได้ทำงานเพื่อคน" คนชายหน้าบากกล่าวออกมาราวกับมันเป็นสัจธรรม
"แล้วข้าต้องจ่ายเท่าไรหรือ หากต้องการว่าจ้างไปฆ่าชายคนนั้น?" ต้วนหลิงเทียนหรี่ตาลงเล็กน้อยก่อนจะกล่าวถามออกมาพร้อมรอยยิ้ม
ชายหน้าบากไม่ลังเลแม้แต่น้อย มันกล่าวออกมาเสียงดังฟังชัด "100,000 เหรียญเงิน"
"100,000 เหรียญเงิน?" ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้ว "แล้วมันจ่ายค่าจ้างเอาชีวิตข้าเท่าไรหรือ?"
"เจ้าเป็นนักศึกษาของสถาบันบ่มเพาะขุนพล เช่นนั้นชีวิตเจ้าจึงมีราคาแพงกว่ามัน ค่าหัวเจ้าคือ 200,000 เหรียญเงิน" ชายหน้าบากกล่าวต่อออกมา
"อะไร 200,000 เหรียญเงิน?" ต้วนหลิงเทียนตกตะลึง ก่อนที่จะเสียการควบคุมความสงบของตัวเองและเผยสีหน้าโง่งมอยู่ครู่หนึ่ง และกล่าววาจาออกมาอย่างหัวเสีย "บัดซบชีวิตของนายน้อยผู้นี้มีราคาแค่ 200,000 เหรียญเงินงั้นหรือ?"
"แค่อันใดเล่า....200,000 เหรียญเงินก็มากมายแล้วนะ ... " ชายคนหนึ่งในกลุ่มของชายหน้าบากกล่าวออกมา
“200,000 เหรียญเงินนี้เจ้าว่ามากมายแล้วหรือ?” ต้วนหลิงเทียนหัวเราะเยาะก่อนที่จะสะบัดมือขึ้นกลางอากาศ ตั๋วเงินปึกหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศอีกทั้งตัวเงินแต่ละใบยังมีมูลค่า 10,000 เหรียญเงิน "เอาล่ะในมือของนายน้อยผู้นี้มีตั๋วเงินมูลค่า 1,000,000 เหรียญเงิน... ตราบใดที่พวกเจ้าสามารถสังหารนายน้อยผู้นี้ได้ นายน้อยผู้นี้จะมอบเหรียญเงินนี้ให้เพิ่มอีก 1,000,000 เหรียญ ดีหรือไม่?"
กลุ่มชายหน้าบากล้วนตกตะลึงทำสีหน้าอึ้งเมื่อได้ฟังวาจาของต้วนหลิงเทียน
พวกเขาเองก็ตกลงทำการค้ารับจ้างเช่นนี้มาเป็นเวลานาน แต่สถานการณ์เช่นนี้พึ่งเคยเจอเป็นครั้งแรก ...เหยื่อไม่พอใจค่าหัวตัวเองถึงกับเพิ่มค่าจ้างให้ โลกนี้เป็นอะไรไปแล้ว?
"เจ้า ... เจ้ากล่าวจริงหรือ?" ชายหน้าบากนั้นแทบกล่าววาจากไม่ออก มันกลืนน้ำลายอึกใหญ่ดังเอื๊อก และแสดงสีหน้าเหลือเชื่อออกมา "คงเป็นเรื่องที่จักประเสริฐกว่า ที่เจ้าจะไม่หลอกลวงข้าหวังต้าหู่ ไม่เช่นนั้นเจ้าจะต้องเสียใจ นามหวังต้าหู่ของข้าผู้คนบนหนทางสายนี้ล้วนรู้จักกันดี... ."
"รู้จักกันดีถึงเพียงไหนเล่า?" ในตอนนี้เองเสียงหนึ่งพลันดังขึ้นหลังชายหน้าบาก