spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
*ตั้งค่าถาวร (คลิกตั้งค่าถาวร) |
ภายในลานบ้านที่มีขนาดกว้างขวาง มันบ่งบอกฐานะของเจ้าขอเป็นอย่างดี...
“ไอ้สวะเอ๊ย! คุกเข่า!” ชายวัยกลางคนที่มีใบหน้าดุร้ายกล่าววาจาออกมาด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด ก่อนที่จะหวดขาเตะออกมาราวกับสายฟ้าฟาด ซัดไปยังชายวัยกลางคนฉี่แตกที่กำลังคุกเข่าอยู่ จนมันกลิ้งกระเด็นล้มลงไปกองที่พื้นอย่าน่าอนาถ
เมื่อถูกเตะจนล้มกลิ้งมันรีบลุกขึ้นมาคุกเข่าเหมือนเดิม ไม่กล้ากล่าววาจาอะไรแม้แต่ครึ่งคำ ซ้ำยังก้มหัวตัวสั่นไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมามองผู้ลงมือ
"ท่านรองข้าต้องขออภัยท่าน...เป็นข้าเองที่ไม่ไปจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง กลับสั่งให้ไอ้สวะนี่ไปกระทำ จนทำให้ท่านต้องสูญเงินเปล่าไปถึง 200,000 เหรียญเงิน" ชายวัยกลางคนหน้าตาดุร้ายกล่าวกับร่างที่นั่งบนเก้าอี้ใต้ต้นไม้
"แค่เศษเงิน 200,000 เหรียญเงินช่างมันเถอะ ... " ร่างที่นั่งบนแท่นสูงพลันลุกและเดินลงมาจากที่นั่ง ก่อนที่แสงไฟจะตกกระทบใบหน้าของเขาเผยให้เห็นรูปลักษณ์สง่างาม เสื้อผ้าอาภรณ์หรูหรามีระดับอย่างมาก
ชายวัยกลางคนผู้นี้ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าต้องมีฐานะสูงส่ง กลิ่นอายบารมีแผ่ซ่านออกมา หว่างคิ้วฉายชัดออกมาถึงความหยิ่งผยอง
"องค์กรเงายมทูต ถึงกับบอกเจ้าว่า พวกมันไม่รับงานสังหารสารเลวน้อยนั่นเลยงั้นรึ?" ชายวัยกลางคนท่าทางสูงส่งมองไปยังชายฉี่แตกที่คุกเข่าตัวสั่นอยู่บนพื้น เขาอดขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้เพราะกลิ่นฉี่ของมันเหม็นโฉ่นัก
"ขอรับท่านรอง" ชายวัยกลางคนฉี่แตกที่คุกเข่าอยู่พยักหน้าพร้อมกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ทั้งร่างของมันเองก็สั่นระริก
ชายวัยกลางคนท่าทางสูงส่งหันไปมองชายหน้าตาดุร้ายด้านข้าง ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงไม่แยแส "เก็บกวาดให้เรียบร้อย"
"ท่านรอง ไว้ชีวิตข้าด้วย ไว้ชีวิต.... " สีหน้าของชายวัยกลางคนซีดเผือดมันรีบกล่าวคำอ้อนวอนออกมาอย่างร้อนรน แต่น่าเสียดายที่มันไม่ทันได้กล่าวจนจบคำ ศีรษะของมันพลันถูกฟาดทุบแตกกระจายมันสมองสาดกระเซ็นลูกตากระเด็นแยกย้ายไปคนละทิศละทาง ตกตายคาที่! แน่นอนว่าผู้ที่ลงมือคือชายหน้าตาดุร้าย
"ท่านรองขอรับ ถึงขนาดเงายมทูตไม่รับงานเช่นนี้ เกรงว่าต้วนหลิงเทียนคงมีเบื้องหลัง ... " ชายวัยกลางคนกล่าวออกมาอย่างคาดเดา ใบหน้าของมันแข็งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
"ฮึ่ม! แน่นอนข้าย่อมรู้ว่ามันมีเบื้องหลัง...ในเมื่อเงายมทูตไม่กล้ารับงานสังหารมัน เช่นนั้นเจ้าก็ไปหาผู้อื่นที่ยินดีรับงานนี้" ชายวัยกลางคนท่าทางสูงส่งพลันหยิบตั๋วเงินออกมาโยนทิ้งบนพื้นกองใหญ่ "นี่ 30,000,000 เหรียญเงิน เจ้าเอาไปจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย และข้าไม่ต้องการให้ใครในตระกูลรู้เรื่องนี้"
30,000,000 เหรียญเงิน?
ม่านตาของชายหน้าตาดุร้ายหดแคบลง เขาคิดไม่ถึงเลยว่าชายตรงหน้า ถึงขั้นใช้เงินออกมามากมายมหาศาลถึงเพียงนี้โดยไม่เสียดายและลังเล เพื่อสังหารชายหนุ่มที่มีอายุเพียง 18 ปีเท่านั้น
"ขอรับท่านรอง" ชายวัยกลางคนหน้าตาดุร้ายรีบเก็บเงินและหอบหิ้วศพและออกจากลานบ้านไปด้วยความรวดเร็ว
หลังจากนั้นในลานบ้านที่กว้างขวางก็เหลือเพียงชายวัยกลางคนที่ท่าทางสูงส่งสวมใส่อาภรณ์หรูหรา ปากของเขาเอื้อนเอ่ยถ้อยคำอาฆาตออกมาด้วยน้ำเสียงอำมหิตเย็นยะเยือกดังสะท้านลานบ้าน ... "ต้วนหลิงเทียน เจ้ากล้าฆ่าลูกชายคนเดียวของข้า ข้าจะให้เจ้าตายไร้ที่ฝัง!"
เช้าตรูในขณะที่แสงแรกของอัสดงโผล่พ้นขอบฟ้าสาดส่องลงมาบนใบหน้าของชายหนุ่มที่กำลังนั่งขัดสมาธิบ่มเพาะพลังอยู่บนเตียง
"ฟู่ว!" หลังจากนั้นพักใหญ่ ชายหนุ่มก็ระบายลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่พร้อมกับลืมตาขึ้นมา "หากข้ายังคงมีความก้าวหน้ารวดเร็วเช่นนี้ ข้าควรตัดผ่านไปยังระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 7 ก่อนที่จะออกเดินทาง!"
หลังจากหยิบชุดสีม่วงตัวเก่งที่แขวนอยู่เต็มตู้ออกมา 1 ชุดเขาก็ไปรับประทานอาหารเช้า เมื่อเสร็จสิ้นแล้วเขาก็ออกจากบ้านไป
ในขณะที่เขาเดินผ่านลานฝึกซ้อมของสถาบันบ่มเพาะขุนพล เขาก็เห็นนักศึกษามากมายหลายคนขยันฝึกซ้อม มีทั้งประลองยุทธ์และซ้อมรบเป็นทีม มากมายเต็มไปหมด
"ดูเหมือนพวกนี้จะเป็นนักศึกษาของฝ่ายดาวขุนพล" ต้วนหลิงเทียนหรี่ตาลงเล็กน้อย พร้อมจ้องไปในอากาศอย่างเหม่อลอย ดูเหมือนเรื่องที่กองทัพเรียกกำลังเสริมไปสนับสนุนในอีก 1 เดือนหลังจากนี้ จะปลุกจิตวิญญาณนักสู้ในตัวของพวกมันไม่น้อย ถึงได้คึกคักอักโขกันเช่นนี้
ทันใดนั้นเองก็มีร่างชายหนุ่ม 3 คนกำลังเดินมาหาเขาจากที่ไกลๆ
มุมปากของต้วนหลิงเทียนพลันปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา เนื่องจากใน 3 คนที่กำลังเดินมานั้น มีคนที่มีใบหน้าที่เขาคุ้นเคยดีอยู่ เมื่อเขาเห็นมันชัดถนัดตาเขาก็ระบุได้ว่ามัน คือต้วนหรง ลูกพี่ลูกน้องของต้วนหลิงซิ่ง ที่หายหน้าหายตาไปเสียนาน
ตั้งแต่ต้วนหลิงเทียนสังหารต้วนหลิงซิ่งอย่างอำมหิต เขาก็ไม่เห็นหน้าต้วนหรงอีกเลย วันนี้ไม่นึกเลยว่าจะมาเจอมันที่นี่แบบนี้ ...
ต้วนหรงทำได้เพียงก้มศีรษะลงต่ำเมื่อสังเกตเห็นต้วนหลิงเทียน เห็นได้ชัดว่ามันมีเจตนาจะหลบเลี่ยงต้วนหลิงเทียน
"เฮ่ต้วนหรง นี่เจ้ากลัวอันใดรึ?"ชายหนุ่มร่างสูงข้างต้วนหรงพลันมองไปยังชายหนุ่มชุดสีม่วงที่อยู่ไกลๆ ก่อนที่คิ้วรูปดาบของเขาจะขมวดเป็นปม แลดูจะสงสัยไมน้อย
"พี่ชายฉวีชิง ชายหนุ่มชุดสีม่วงคนนั้นคือต้วนหลิงเทียน"ชายอีกคนกล่าวออกมาพร้อมเสียงหัวเราะ
"หืม? มันน่ะหรือ ต้วนหลิงเทียนที่ร่ำลือ?" แววตาของฉวีชิงพลันจับจ้องไปยังต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง มันหรี่ตาลงเล็กน้อยก่อนที่ประกายตาของมันจะเรืองวูบออกมา มันเอามือไปแตะบ่าต้วนหรงและกล่าววาจา "ต้วนหรง เจ้าเองก็มาจากเมืองประจำมณฑลเพลิงอนันต์ของข้า ... เจ้าคิดว่ามันยังกล้าข่มขู่เจ้าต่อหน้าข้าได้หรือ?"
ต้วนหรงสั่นขึ้นมาเล็กน้อยก่อนที่จะได้สติ
จริงด้วย เขาลืมเรื่องนี้ไปได้อย่างไร?
ชายหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังยืนอยู่ข้างๆเขาตอนนี้ เป็นถึงบุตรชายของผู้ว่าการมณฑลเพลิงอนันต์อีกทั้งก่อนที่ต้วนหลิงเทียนจะปรากฏตัวขึ้นมา ตัวมันเองก็ได้รับการขนานนามว่าเป็นอัจฉริยะอันดับ 1 แห่งสถาบันบ่มเพาะขุนพล ที่มีพรสวรรค์สูงที่สุดในรอบ 20 ปี หลังจากต้วนหรูเฟิง
ต้วนหลิงเทียนที่อยู่ห่างๆ เมื่อเห็นว่าต้วนหรงทำท่าราวกับมุสิกหวาดวิฬาร ยามที่เห็นเขา ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้คิดจะไปสนใจอะไรมันมากนัก... แต่เพียงครู่เดียวอยู่ๆมันก็เชิดหน้าชูตาขึ้นมาราวกับ มีชีวิตชีวาและหายหวาดกลัว ซ้ำยังเดินตรงมาทางเขาพร้อมกับชายหนุ่มอีก 2 คนข้างๆ
นี่กลับทำให้ต้วนหลิงเทียนประหลาดใจเล็กน้อย
สติของต้วนหรงมันยังดีอยู่หรือไม่? เป็นไปได้หรือไม่ที่มันอยากเจ็บตัวจนต้องถูกหามกลับบ้านอีกครั้ง?
"เฮ่ เจ้าน่ะหรือ ที่เรียกว่าต้วนหลิงเทียน?" ต้วนหลิงเทียนพลันสังเกตเห็นว่าชายหนุ่มคนหนึ่งที่ยืนข้างๆต้วนหรงใช้สายตาไม่เป็นมิตรจับจ้องมาทางเขา ทั้งน้ำเสียของมันยังเต็มไปด้วยความเย็นชา
ชายคนนี้รูปร่างสูง มีใบหน้าหล่อเหลาเอาการ ต้วนหลิงเทียนสามารถระบุได้ทันทีว่ามันน่าจะมาจากตระกูลที่มีพื้นหลังไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
"ถูกต้อง เป็นข้าเอง แล้วเจ้าล่ะ?" คิ้วของต้วนหลิงเทียนขมวดขึ้นเล็กน้อย เป็นไปได้หรือไม่ที่ชายคนนี้จะมาหาเรื่องเขา เพื่อกูหน้าให้ต้วนหรง?
"ข้ามีนามว่า ฉวีชิง" ฉวีชิงจับจ้องไปยังต้วนหลิงเทียนตาเขม็ง ในแววตาของมันพลันฉายชัดออกมาถึงความขุ่นเคืองไม่พอใจและรังเกียจอย่างเห็นได้ชัด ...
ก่อนที่ชายหนุ่มในชุดสีม่วงนี่จะสังหารต้วนหลิงซิ่ง จนมีชื่อเสียงแพร่กระจายไปทั่วทั้งสถาบันบ่มเพาะขุนพลนั้น ตัวเขาได้รับการขานนามและการยอมรับจากทุกคนว่าเป็นอัจฉริยะอันดับ 1 แห่งสถาบันบ่มเพาะขุนพล แต่หลังจากนั้นมา ชื่อเสียงและเกียรติยศนี้กลับถูกชายหนุ่มชุดสีม่วงตรงหน้าแย่งชิงไป!
นี่มันทำให้เขาที่มีความภาคภูมิใจในตัวเองสูงและหยิ่งยโส บังเกิดความไม่พอใจและยากที่จะยอมรับ
"ฉวีชิง?" ต้วนหลิงเทียนเมื่อได้ยิน ก็เอียงคอและครุ่นคิดเล็กน้อย
ชื่อนี้ไม่ค่อยคุ้นหูเขาเท่าไร แต่ดูเหมือนในวันที่เขามาถึงเมืองหลวงเป็นครั้งแรก เขาเคยได้ยินคนกล่าวถึงชื่อนี้ตอนที่อยู่ในเหลาอาหารแห่งหนึ่งในเขตเมืองหลวงชั้นนอก อีกทั้งเขายังได้ยินผู้คนกล่าวว่าคนๆนี้นั้นมีพรสวรรค์เป็นรองเพียงแค่บิดาเขา และมันได้รับการยอมรับจากทุกคนในเมืองหลวงว่า เป็นอัจฉริยะอันดับ 1 ในรอบ 20 ปีอีกด้วย
ต่อมาหลังจากที่เข้ามายังสถาบันบ่มเพาะขุนพลแล้ว ก็ได้ยินคนอื่นกล่าวถึงนามฉวีชิงนี้อยู่ไม่น้อย
ฉวีชิงนักศึกษาชั้นปีที่ 2 แห่งสถาบันบ่มเพาะขุนพล มีระดับบ่มเพาะสูงถึงระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 9 อีกทั้งมันยังมีอาวุธวิญญาณระดับ 7 ไว้ในครอบครอง เหล่านักศึกษาที่มีระดับบ่มเพาะใต้ระดับกำเนิดแก่นแท้ภายในสถาบันบ่มเพาะขุนพลแห่งนี้ไม่มีใครสามารถนำไปเปรียบเทียบกับมันได้
"อะไร? หรือเจ้าคิดมาตอแยข้า เพราะต้วนหรงงั้นหรือ?" ต้วนหลิงเทียนจ้องไปยังฉวีชิงด้วยสายตาเรียบๆ
"หากข้ากระทำเช่นนั้น แล้วเจ้ามีปัญหาอะไรไหมเล่า?" รอยยิ้มเย็นชาปรากฏขึ้นที่มุมปากฉวีชิง ประกายตาของมันส่องสว่างออกมาด้วยความเหน็บหนาว
และในตอนนี้เอง เมื่อมีคนเห็นการเผชิญหน้ากันระหว่างต้วนหลิงเทียนและฉวีชิง ก็รีบกล่าวบอกต่อกันทันที เรื่องนี้นับว่าดึงดูดความสนใจนักศึกษาของสถาบันบ่มเพาะขุนพลไม่น้อย เหล่าผู้ที่ทำการฝึกซ้อมอยู่ล้วนรุดมารอชมดูเรื่องราวทั้งสิ้น ...
"เฮ่ ต้วนหลิงเทียน!" ร่างแข็งแกร่งกำยำข้างหนึ่งเดินแหวกฝูงชนมาเคียงข้างต้วนหลิงเทียน
ต้วนหลิงเทียนมองไปยังเทียนหู ด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนที่จะยิ้มอย่างนุ่มนวลและกล่าวออกมา "อ้าว เทียนหู เจ้าเองก็อยู่ฝึกซ้อมแถวนี้ด้วยหรือ"
"ต้วนหลิงเทียน เจ้ามีปัญหาอะไรกับฉวีชิงนี่งั้นหรือ?" เทียนหูมองไปยังฉวีชิงด้วยสายตากริ่งเกรงเล็กน้อย
"ข้าเองก็ไม่ได้อยากจะมีปัญหาอะไรกับมันมากนักหรอก แต่ข้าเดินของข้าอยู่ดีๆแต่มันมาขวางทางข้า มิหนำซ้ำมันยังบอกว่าจะหาเรื่องข้าเพราะเพื่อต้วนหรงนั่น ... " ต้วนหลิงเทียนยักไหล่ออกมาด้วยท่าทางช่วยไม่ได้
"อะไร เป็นเจ้าอีกแล้วรึ!" สายตาของเทียนหูเย็นชาลงก่อนที่จะจับจ้องไปยังต้วนหรงแล้วกล่าววาจาออกมาเสียงดังฟังชัด "ต้วนหรงหากเจ้ายังเป็นลูกผู้ชายก็อย่าได้หวังพึ่งพาผู้อื่นให้มันมากนัก อะไร? มองหน้าข้ามีปัญหาหรือ? หากเจ้ายังมีไข่ก็ออกมาสู้กับข้าตัวต่อตัว ไม่กล้าก็ตอนตนเป็นขันทีตามบิดาเจ้าไปเสีย! "
สีหน้าของต้วนหรงพลันเปลี่ยนเป็นซีดเผือด แน่นอนว่าเขาย่อมไม่กล้ารับคำท้านี้ของเทียนหู เพราะแค่มองเขาก็สัมผัสได้ทันทีว่าเทียนหูนั้นมีความแข็งแกร่งเหนือกว่าเขาหลายขุม เขาไม่อาจเทียบกับมันได้แม้แต่น้อย
"เฮ่ เทียนหู ช่างมันเถอะ ยามเจ้าโดนสุนัขมันเห่า เจ้าจะไปเห่าตอบกับมันด้วยไหมเล่า" ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมาก่อนที่จะกล่าวกับเทียนหูพร้อมรอยยิ้ม "นี่ใกล้ได้เวลาเริ่มชั้นเรียนแล้ว เจ้ารีบไปจะดีกว่าหรือไม่ หากไปสายเดี๋ยวได้โดนอาจารย์หนิวหมังทำโทษอีกหรอก!" ในขณะที่กล่าววาจา ต้วนหลิงเทียนก็เดินโอบไหล่เทียนหูออกไปโดยไม่แยแสกลุ่มจองฉวีชิงอะไรแม้แต่น้อย
"ต้วนหลิงเทียน ทั้งเจ้าและข้าล้วนเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 9 อีกทั้งพวกเราล้วนมีอาวุธวิญญาณระดับ 7 ด้วยกันทั้งคู่ ... เจ้ากล้าประลองกับข้าหรือไม่" ฉวีชิงจ้องไปยังต้วนหลิงเทียนตาเขม็ง ประกายตาของเขาฉายชัดออกมาถึงความต้องการประลองยุทธ์ เขาตั้งใจที่จะแสดงพลังของเขาให้ทุกคนในสถาบันบ่มเพาะขุนพลเห็นอีกครั้ง เพื่อเรียกคืนชื่อเสียงและเกียรติยศในฐานะอัจฉริยะอันดับ 1 ของสถาบันบ่มเพาะขุนพล
"เจ้าควรประมาณตนเอาไว้บ้าง!" ต้วนหลิงเทียนไม่คิดแยแสฉวีชิงแม้แต่น้อย และกล่าววาจาทิ้งท้ายเอาไว้ ก่อนที่จะเดินหน้าต่อพร้อมกับเทียนหู
"ช่างน่าสระพรึงนัก! ต้วนหลิงเทียนนี่เป็นบุรุษที่อหังการจริงๆ!"
"ฉวีชิงเป็นอดีตอัจฉริยะอันดับ 1 ของสถาบันบ่มเพาะขุนพลแห่งนี้ แต่ต้วนหลิงเทียนยังไม่คิดจะแยแสคำท้าประลองของมันสักนิด!"
"เขายังกล่าวให้ฉวีชิงรู้จักประมาณตนอีกด้วย ต้องมั่นใจถึงเพียงใด จึงกล่าววาจาเช่นนี้ใส่หน้าผู้คนได้"
...
กลุ่มนักศึกษาที่กำลังชมดูเหตุการณ์อยู่ถึงกับตกตะลึง
ใบหน้าหล่อเหลาของฉวีชิพลันเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยว ร่างกายของมันสั่นระริก ท่าทางของมันเริ่มแลดูดุร้ายอำมหิตมากขึ้นเรื่อยๆ
ตัวเขาฉวีชิงนั้นมาจากมณฑลเพลิงอนันต์ อีกทั้งยังเป็นถึงบุตรชายผู้ว่าการมณฑลเพลิงอนันต์ กล่าวได้ว่าคาบช้อนเงินช้อนทองมาตั้งแต่เกิด และเมื่อเริ่มเดินเข้าสู่เส้นทางการบ่มเพาะพลังเป็นผู้ฝึกยุทธ์ เขาก็เริ่มแสดงอัจฉริยะภาพและพรสวรรค์เลิศล้ำออกมา อีกทั้งเขายังเคยได้รับการขนานนามว่าอัจฉริยะในรอบ 100 ปีของมณฑล
เมื่อเวลาผ่านไปตัวเขาก็สามารถผ่านการทดสอบประจำมณฑลเพลิงอนันต์ จนได้รับสิทธิ์เข้าสถาบันบ่มเพาะขุนพลได้อย่างราบรื่นสมภาคภูมิ ด้วยความสามารถตัวเอง
และแม้กระทั่งในสถาบันบ่มเพาะขุนพล เจาเองก็เป็นบุคคลที่โดดเด่น! เขาได้รับการยอมรับจากทุกคนว่าเป็นอัจฉริยะอันดับ 1 แห่งสถาบันบ่มเพาะขุนพล
ในบรรดานักศึกษาในปัจจุบันจนย้อนกลับไปในอดีตนั้นกล่าวได้ว่ามีเพียงคนเดียวที่มีความสามารถเหนือล้ำกว่าเขา นั่นก็คือสุดยอดอัจฉริยะแห่งตระกูลต้วน เมื่อ 20 ปีที่แล้ว นาม ต้วนหรูเฟิง!
ต้วนหรูเฟิงนามนี้ไม่มีใครไม่รู้จัก ในอดีตมันเป็นนามที่แพร่กระจายไปทั่วทั้งอาณาจักรนภาล่อง แต่จะอย่างไรก็ไม่ได้เป็นบุคคลในยุคเดียวกับเขา ซ้ำในปัจจุบัน ต้วนหรูเฟิงก็ได้หายตัวไปกว่า 20 ปีแล้ว... แต่เขาเองก็ไม่ได้ไม่พอใจสักเท่าไรหากจะถูกเปรียบเทียบกับคนที่ไม่อยู่แล้ว
แต่ทว่าวันหนึ่งเมื่อต้วนหลิงเทียนปรากฏตัวขึ้น ซ้ำยังเผยตัวตนออกมาในฐานะบุตรชายของต้วนหรูเฟิง อีกทั้งยังมีระดับบ่มเพาะสูงถึงระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 9 ด้วยอายุเพียง 18 ปีเท่านั้น! และมันยังสามารสังหารต้วนหลิงซิ่งที่มีระดับบ่มเพาะก่อกำเนิดขั้นที่ 9เช่นเดียวกัน จนทำให้ชื่อเสียงของต้วนหลิงเทียนแพร่กระจายไปทั่วทั้งสถาบันบ่มเพาะขุนพล หรือแม้กระทั่งในเมืองหลวงนั้น...
มันทำให้รัศมีและบารมีรวมทั้งชื่อเสียงเกียรติยศของเขาสลายหายไปเพียงชั่วข้ามคืน!
และตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาความเกลียดชังต้วนหลิงเทียนก็เริ่มเติบโตงอกเงยขึ้นในใจของเขา...
หากฟ้าส่งอัจฉริยะอย่างเขาลงมาเกิด แล้วเหตุใดต้องส่งต้วนหลิงเทียนลงมาบดบังเขาเช่นนี้?
ตอนแรกนั้นเขาก็มีแต่เพียงความเกลียดชังเท่านั้นไม่ได้คิดจะไปหาเรื่องอะไรกับต้วนหลิงเทียน แต่ในเมื่อวันนี้มีโอกาสได้เจอกันแล้ว ตัวเขาก็คิดที่จะแสดงพลังให้ทุกคนได้ประจักษ์ โดยการเอาชนะต้วนหลิงเทียน พิสูจน์ตัวเองต่อทุกสายตา...
ว่าตัวเขาฉวีชิงยังคงเป็นอัจฉริยะอันดับ 1 แห่งสถาบันบ่มเพาะขุนพล!
และเป็นตำนานที่ไม่มีผู้ใดสามารถก้าวข้ามไปได้ของสถาบันบ่มเพาะขุนพล!
ทว่าในยามนี้เมื่อเขาเริ่มต้นท้าทายต้วนหลิงเทียนให้มาประลองกับเขา ต้วนหลิงเทียนกลับไม่แยแส ซ้ำยังกล่าววาจาให้เขากลับไปพิจารณาตัวเอง ... มันทำให้หัวใจของเขาเต็มไปด้วยเพลิงโทสะที่ลุกโชนโหมกระหน่ำขึ้นมาอย่างยากระงับ!
"ต้วนหลิงเทียน เจ้านี่มันช่างหน้าตัวเมียนัก!" สีหน้าของฉวีชิงนั้นดำมืดลงไปเพราะโทสะไม่น้อย เขากล่าวตะโกนคำเย้ยหยันด่ากราดต้วนหลิงเทียนที่เดินไปไกลแล้วออกมา
"หืม?" ต้วนหลิงเทียนที่กำลังเดินเคียงข้างเทียนหูอยู่ เมื่อได้ยินว่าฉวีชิงกล่าววาจาอะไร เขารั้งเท้าหยุดอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะส่ายหัวไปมาพร้อมรอยยิ้ม และเดินหน้าต่อไป
"ถ้าเจ้าคิดว่า ส่งเสียงตะโกนโวยวายด่าทอเหยียดหยามข้า แล้วรู้สึกว่าจิตใจของเจ้าสูงส่งขึ้น หรือได้ระบายความอัดอั้นอันใด เจ้าก็เชิญกระทำได้อย่างเสรี ... นี่ไม่ใช่ว่าข้าไม่กล้าสู้กับเจ้า แต่ข้ารังเกียจและขยะแขยงเหตุผลที่เจ้าคิดใช้ต่อสู้กับข้า ข้าไม่อยากลดตัวไปเสียเวลากับคนอย่างเจ้า" น้ำเสียงของต้วนหลิงเทียนพลันก้องกังวานขึ้นมาจากระยะไกล อีกทั้งน้ำเสียงนี้มันราวกับเหล็กแหลมร้อนลวกทะลวงรูหูของฉวีชิง
"ต้วนหลิงเทียน!" ฉวีชิงไม่อาจทานทนได้อีกต่อไป ...