spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
*ตั้งค่าถาวร (คลิกตั้งค่าถาวร) |
กลางดึกในคืนนั้น ต้วนหลิงเทียนกำลังนอนอย่างสบายอารมณ์บนสนามหญ้าในลานกว้างด้านหลัง มือซ้ายโอบกอดเค่อเอ๋อ ส่วนมือขวานั้นโอบกอดลี่เฟยเอาไว้ เขานอนไขว่ห้าง มองท้องฟ้าด้วยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย
จันทร์เต็มดวงลอยเด่นกลางนภา ห้อมล้อมไปด้วยหมู่ดาวสุกสกาวพร่างพราวระยิบระยับ ส่องสว่างจนผืนนภาที่มืดมิดเปล่งประกายสวยงาม
"ตัวเลวร้าย ทำไมคืนนี้เจ้าไม่ได้ออกไปไหนเล่า?" ลี่เฟยกล่าวถามซอกแซกออกมา
นางจำได้ว่าเมื่อคืนวันก่อนและเมื่อคืนวานต้วนหลิงเทียนมักจะออกไปด้านนอกในยามค่ำคืน กับชายหนุ่ม 2 คนที่ท่านพระยามอบให้มาติดตามเขา
อย่างไรก็ตามคืนนี้เขากลับทำตัวสบายๆไม่เหมือนวันก่อน ถึงขั้นมานอนดูดาวกับเค่อเอ๋อและตัวนางได้
นางเองก็ย่อมเคยได้ยินเรื่องที่สาวกหลักของตระกูลซูถูกลอบสังหาร จนเป็นประเด็นร้อนในวงสนทนาของทั้งเมือง และนางเองก็รู้สึกว่าเรื่องราวนี้มีทีท่าว่าจะเกี่ยวพันกับชายที่นอนอยู่ตรงหน้านางไม่น้อย
"อะไรกัน สาวน้อยเจ้าต้องการให้ข้าไปข้างนอกหรือ? ขับไล่สามี ต้องทำโทษ!" มือขวาของต้วนหลิงเทียนออกแรงเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจนยกร่างของลี่เฟยเกยขึ้นมาทับตัวเขา เขาจับนางให้อยู่ในอ้อมอก ก่อนที่จะเลื่อนมือขวาลงไปตีก้นที่แสนยั่วยวนของนางพร้อมทั้งขยำแก้มก้นทั้งสองอย่างสนุกมือ
ทันใดนั้นร่างบอบบางของลี่เฟยพลันสั่นสะท้านสีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นแดงเถือก ราวกับว่าเลือดในร่างไหลมาร่วมที่หน้าอย่างไรอย่างนั้น
"นายน้อยท่านรังแกพี่หญิงลี่เฟยอีกแล้วหรือเจ้าคะ" น้ำเสียงกระจ่างใส่ทำนองไพเราะเสนาะหูของเค่อเอ๋อดังขึ้น ทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกสดชื่นผ่อนคลายไปถึงจิตวิญญาณ
เขาหวังอยากจะหยุดห้วงเวลานี้ให้อยู่จวบจนนิจนิรันดร์
โอบกอดสตรีทั้ง 2ไว้จนตราบชั่วฟ้าดินสลาย พันหมื่นขุนเขาพังทลายสายธารแลห้วงมหรรณพแห้งเหือด
แต่ช่างน่าเสียดายที่เขารู้ว่ามันเป็นเพียงแค่เรื่องเพ้อฝัน ในโลกหล้ายังมีเรื่องราวอีกมากมายที่เขาต้องไปกระทำ
สิ่งที่เขาต้องกระทำนั้นคือการปูทางและสร้างเส้นทาง จวบจนสร้างสถานที่ของเขาในโลกใบนี้ และกลายเป็นผู้แข็งแกร่งจนสามารถควบคุมชะตาชีวิตตัวเองได้ ... และมีเพียงในยามที่เขายืนอยู่บนจุดสูงสุดของแดนดินนี้เท่านั้น เขาถึงจะสามารถพาทั้งสองสาวท่องทะยานไปทั่วทุกมุมต่างๆของโลกและสามารถตื่นตาตื่นใจกับสิ่งอัศจรรย์นาๆ นับประการบนโลกใบนี้ ได้โดยไร้กังวล
ถึงตอนนั้นเขาสามารถกล่าวได้ว่ามีชีวิตอันเป็นอิสรเสรีอย่างแท้จริง!
ในเวลานั้นจะไม่มีผู้ใดที่สามารถเป็นภัยคุกคามเขาได้ เขาจะกลายเป็นตัวตนที่ทุกคนต้องแหงนหน้ามองขึ้นมา...
"เค่อเอ๋อ เจ้ากำลังคิดว่าข้าลำเอียงกับพี่หญิงเฟยเฟยของเจ้าใช่หรือไม่? อย่าได้กังวล ข้าไม่ให้เจ้าเสียเปรียบผู้อื่นแน่นอน" ในขณะที่กล่าววาจาใบหน้าของต้วนหลิงเทียนเต็มไปด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย และทันใดนั้นเองเขาก็ดึงร่างของเค่อเอ๋อขึ้นมาและบีบคลึงไปที่ก้นของนางอย่างเบามือ ...
"นายน้อย ท่านเป็นตัวร้ายจริงๆ" เค่อเอ๋อซุกตัวเข้ากับอ้อมอกของต้วนหลิงเทียนก่อนที่จะก้มหน้างุดๆด้วยความเขินอาย และไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมามองต้วนหลิงเทียนเป็นเวลานาน
หลังจากผ่านไปพักใหญ่ ต้วนหลิงเทียนก็หยุดหยอกล้อกับหญิงสาวทั้ง 2 คนก่อนที่จะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง "เอาล่ะๆ สาวน้อย พวกเจ้าถอดแหวนมิติมาให้ข้าก่อน คืนนี้ข้าจะจารึกอาคมให้พวกเจ้า"
"นายน้อยท่านจะจารึกอาคมอันใดให้พวกเราหรือเจ้าคะ?" ประกายตาของเค่อเอ๋อกลับมาส่องสว่างด้วยความอยากรู้อยากเห็นราวเด็กน้อยไร้เดียงสาอีกครั้ง หลังจากที่ถอดแหวนมิติยื่นส่งให้ต้วนหลิงเทียน
ลี่เฟยเองก็จับจ้องไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยแววตาอยากรู้เช่นกัน หลังจากที่ได้อาศัยอยู่ร่วมใช้ชีวิตกับชายคนนี้มาเป็นเวลานาน นางเริ่มคุ้นเคยกับความอัศจรรย์ของเขาเป็นอย่างดี แต่จะอย่างไรนางก็ยังอยากรู้อยากเห็นว่าเขาจะจารึกอาคมเลิศล้ำอันใดออกมา
"ข้าจะจารึกอาคมที่เรียกว่า อาคมกร่อนกระดูกน่ะ!" ต้วนหลิงเทียนรับแหวนมิติของทั้ง 2 สาวมาก่อนที่จะกล่าวตอบออกไปพร้อมรอยยิ้มบางๆ
หลังจากนั้นเขาก็กล่าวบอกถึงความสามารถและผลลัพธ์ของอาคมกร่อนกระดูกให้พวกนางฟัง ... และแน่นอนว่าทันทีที่พวกนางฟังจบสีหน้าย่อมกลับกลายเป็นซีดเผือด แววตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวออกมาพร้อมรอยยิ้ม เขาคาดไว้แล้วว่าปฏิกิริยาของสองสาวต้องเป็นเช่นนี้แน่นอน จึงไม่ได้แปลกใจอะไร
ต้วนหลิงเทียนลุกขึ้นยืนและเดินกลับไปห้องนอนของเขาพร้อมแหวนมิติของ 2 สาว หลังจากที่ถึงห้อง เขาก็หยิบกองวัตถุดิบจำนวนมากขึ้นมาและเริ่มจารึกอาคมทันที ...
การจารึกอาคมกร่อนกระดูกถึง 2 ครั้งภายในคืนเดียวนับว่ากินพลังวิญญาณของต้วนหลิงเทียนไปไม่น้อย
หลังจากที่จารึกอาคมเสร็จสิ้นต้วนหลิงเทียนก็เดินไปยังห้องของลี่เฟยและเค่อเอ๋อก่อนที่จะส่งแหวนมิติคืนให้พวกนาง ต้วนหลิงเทียนนั้นในขณะที่เดินมาถึงห้องเค่อเอ๋อ เขาก็รู้สึกง่วงจนไม่อาจทานทนไหว ล้มลงไปนอนบนเตียงของเค่อเอ๋อเสียอย่างนั้น
เค่อเอ๋อเองก็ยิ้มแย้มก่อนที่จะจัดร่างของต้วนหลิงเทียนให้นอนอย่างสบายๆ พร้อมเอนตัวลงนอนข้างกายต้วนหลิงเทียน ดวงตากระจ่างใสของนางจับจ้องไปยังใบหน้าหล่อเหลาของต้วนหลิงเทียน รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสุขเริ่มฉายออกมาบนใบหน้างดงามของนาง
เป็นเพราะชายคนนี้ที่ทำให้ชีวิตของนางเปลี่ยนไปมามายขนาดนี้ ...และจากนี้จนชั่วนิรันดร์ชีวิตนี้ของนางจะอยู่กับบุรุษคนนี้โดยไม่มีวันเสียใจต่อให้ต้องตายก็ตาม!
รุ่งเช้ามาเยือนตะวันส่องแสงแรงกล้า ต้วนหลิงเทียนตื่นขึ้นมาพร้อมสภาพงัวเงีย หลังจากที่สติเริ่มเข้าที่เข้าทาง และมองดูสภาพแวดล้อมแล้ว เขาก็รู้ทันทีว่าตอนนี้เขาไม่ได้นอนที่ห้องตัวเอง เขาจึงนึกไล่เรียงเหตุการณ์ทันที "อ่าจริงสิ เมื่อคืนข้าง่วงจนเผลอหลับไป ในห้องของเค่อเอ๋อ"
ต้วนหลิงเทียนพลันสังเกตเห็นสาวน้อยกำลังนั่งขัดสมาธิบ่มเพาะพลังอยู่ด้านข้างในขณะที่เขาลุกขึ้น
ต้วนหลิงเทียนพลันโอบกอดสาวน้อยจากด้านหลัง ทำให้ร่างกายบอบบางของสาวน้อยอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านและ หลุดออกจากภวังค์ของการบ่มเพาะพลัง "นายน้อยท่านตื่นแล้ว"
"อ่า" ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า ก่อนที่จะสูดลมหายใจเข้าลึกๆอย่างกระหาย กลิ่นหอมของร่างกายสาวน้อยตามธรรมชาตินั้นช่างสดชื่นแจ่มใสหาใดเปรียบ...
หลังจากที่เค่อเอ๋อช่วยเขาแต่งตัวเสร็จสิ้นทั้ง 2 ก็เดินออกไปกินอาหารเช้า เมื่อเสร็จสิ้นแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ออกจากบ้านมุ่งหน้าไปยังสถาบันบ่มเพาะขุนพล
วันธรรมดาผ่านพ้นไปโดยไม่มีอะไรมากมาย
ตอนหัวค่ำในยามที่เขาออกจากสถาบันบ่มเพาะขุนพลนั้น มันก็ช่างเงียบสงบไร้เรื่องราวเหมือนเมื่อวาน นอกจากจางเฉวียนและจ้าวกังแล้วต้วนหลิงเทียนก็ไม่อาจสังเกตเห็นบุคคลที่ 3 หรือใครก็ตามที่เฝ้ามองเขาจากเงามืดอีกเลย
ต้วนหลิงเทียนนั้นไม่คิดประมาทอะไร เพราะเขานั้นรู้ซึ้งดีอยู่เต็มหัวใจ ว่าหากสถานการณ์ยิ่งสงบเท่าไหร่นั่นหมายความว่ามันเป็นเพียงความสงบก่อนจะบังเกิดพายุเท่านั้น
ทันใดนั้นเองจางเฉวียนก็ปรากฏตัวออกมาอยู่ตรงหน้าของต้วนหลิงเทียน และกล่าวออกมาด้วยความเคารพ "นายน้อยขอรับ ท่านพระยาต้องการพบท่านขอรับ"
ติ้วของต้วนหลิงเทียนขมวดขึ้นเล็กน้อย แต่เขาเองก็ไม่ได้แปลกใจอะไร เพราะตอนนี้ทางตระกูลซูได้ระมัดระวังตัวอย่างสูงราวกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูที่เข้มแข็ง และเรื่องนี้นับว่าเป็นที่รู้กันทั่วไปในเมืองหลวงยามนี้ เพราะฉะนั้นมันก็ไม่แปลกอะไรที่ทางจวนเจ้าพระยาจะรู้เรื่องนี้ด้วยไปตามธรรมชาติ
แน่นอนว่านี่เหวี่ยย่อมต้องเพ่งความสงสัยมาที่ต้วนหลิงเทียนเป็นคนแรก เนื่องจากต้วนหลิงเทียนเป็นคนขอข้อมูลเกี่ยวกับกิจการและผู้ดูแลกิจการเหล่านั้นของตระกูลซูไปจากเขา
"นี่พวกเจ้าทั้ง 2 คนคงไม่ได้ขายข้าไปแล้วหรอกนะ?" ต้วนหลิงเทียนจ้องไปยังจางเฉวียนและจ้าวกังด้วยสายตาร้อนแรงและกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่คาดคั้นไม่น้อย หากจางเฉวียนกล่าวออกมาว่าใช่แล้วล่ะก็ เขาจะขับไล่ทั้งจางเฉวียนและจ้าวกังออกไปให้พ้นๆซะ!
"เปล่านะขอรับ" จางเฉวียนรีบส่ายหัวในทันที ตอนนี้เรื่องของตระกูลซูไม่ใช่ปัญหาของต้วนหลิงเทียนเพียงแค่คนเดียวแล้ว แต่มันยังลามไปถึงชีวิตและทรัพย์สินของตัวเขาเองและครอบครัวด้วย ดังนั้นเขาจึงไม่คิดกล่าววาจาเรื่องนี้ออกไปอย่างเลินเล่อแน่นอน
"เช่นนั้นก็ดี" ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าด้วยความพอใจ
จางเฉวียนกลับไปซ่อนตัวและลอบติดตามต้วนหลิงเทียนราวกับเงาอีกครั้ง ส่วนต้วนหลิงเทียนก็มุ่งหน้าไปยังจวนเจ้าพระยาทันที
ที่ประตูหน้าจวนเจ้าพระยาต้วนหลิงเทียนก็สังเกตเห็นทหารหนุ่มที่มีหน้าตาคุ้นเคยเป็นคนเฝ้าประตู ... มันเป็นนายทหารหนุ่มที่ถูกนายทหารวัยกลางคนตัวจนแทบศีรษะหลุด เมื่อครั้งที่แล้วที่เขามาเยือนจวนเจ้าพระยา
"หยุด!" ทว่าตอนนี้เอง กลับมีทหารหนุ่มไม่ประสาก้าวออกมากล่าววาจาขึงขังพร้อมจ้องต้วนหลิงเทียนเขม็ง
เพียะ!!
หลิงเทียนจ้องมองเรื่องราวตรงหน้าอย่างตกตะลึง ทันทีที่ทหารหนุ่มคนใหม่กล่าววาจาพร้อมทั้งออกมาขวางทาง ...นายทหารหนุ่มที่ถูกตบครั้งที่แล้ว มันเร่งรุดมาฟาดศีรษะทหารผู้นั้นอย่างจังทันที!
และภายใต้การจับจ้องด้วยสายตาโกรธแค้นเอาเรื่องของทหารหนุ่มคนใหม่ ทหารหนุ่มคนเก่าไม่แยแส มันรีบมากล่าวทักทายต้วนหลิงเทียนด้วยความเคารพทันที "เชิญนายน้อยต้วนหลิงเทียนตามสะดวกเลยขอรับ"
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าและมองไปยังทหารหนุ่มตรงหน้าด้วยความสงสัย ทหารคนนี้ ใช่มันรอที่จะตบหัวเพื่อนทหารของมัน ดังเช่นที่มันเคยโดนใช่หรือไม่?
และเป็นดั่งคาดหลังจากที่ต้วนหลิงเทียนเดินจากไป นายทหารที่ถูกตบหัวพลันไม่เหลืออาการโกรธใดๆอีก มันรีบกล่าวถามนายทหารหนุ่มที่ตบหัวมันลั่นทันที "พี่ชิ เขาเป็นผู้ใดหรือ?"
"เขาคือนายน้อยต้วนหลิงเทียน หลานชายของท่านพระยา ...ไอ้หนู ต่อไปเจ้าต้องดูดีๆ อย่าได้ก้าวร้าวอันใดต่อหน้าเขาอีกเล่า" ทหารหนุ่มคนนั้นกล่าววาจาเขื่องโขราวกับตัวมันเป็นผู้ใหญ่อย่างไรอย่างนั้น
ในขณะที่มันกล่าววาจามันอดไม่ได้ที่จะลูบหลังศีรษะของมันป้อยๆ พร้อมทั้งรู้สึกหวาดกลัวในหัวใจ ... ข้าเองก็มีประสบการณ์เช่นนั้นเช่นกัน
ภายในห้องโถงของจวนเจ้าพระยา
เมื่อต้วนหลิงเทียนเดินเข้ามายังห้องโถงหลัง เขาก็เห็นว่าตอนนี้พระยาเรืองฤทธิ์นี่เหวี่ย กำลังยืนรอเขาอยู่ เขากล่าวถามออกมาอย่างช่วยไม่ได้พร้อมรอยยิ้ม "ท่านลุงนี่ ท่านเรียกข้ามามีอะไรหรือ?"
"เทียนน้อยกล่าวกับข้ามาตามตรงอย่าได้โป้ปด เจ้าพาจางเฉวียนกับจ้าวกังไปลอบสังหารซูเลี่ยและซูหยง ของตระกูลซูใช่หรือไม่?" ทันใดนั้นเองนี่เหวี่ยพลันจับจ้องต้วนหลิงเทียนด้วยแววตาทอประกายลี้ลับราวกับจะค้นหาความจริงจากสีหน้าของต้วนหลิงเทียน หรือพิรุธใดๆก็ตามที่เขาจะแสดงออกมา
น่าเสียดายที่เขาไม่เห็นอะไรที่ว่านั่นสักนิด
“โธ่...ลุงนี่ หากท่านไม่มีหลักฐาน ก็อย่ากล่าววาจาปรักปรำผู้หลานอย่างนั้นสิขอรับ” ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมาอย่างจริงจัง
"เจ้าตัวแสบ... จางเฉวียนและจ้าวกังเองก็ไม่กล่าววาจาอันใดสักคำ นี่เป็นเพราะเจ้ากำชับพวกมันไว้ใช่หรือไม่? ข้าไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดยามนั้น เจ้าถึงต้องการสิทธิ์ขาดในการควบคุมพวกมันจากข้า นี่เป็นเพราว่าเจ้าได้เริ่มวางแผนตั้งแต่ตอนนั้นเลยใช่หรือไม่? " นี่เหวี่ยกล่าวออกมาอย่างขุ่นเคือง ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะยืนกรานปฏิเสธ แต่นี่เหวี่ยรู้ว่าเรื่องราวมันย่อมเป็นไปตามที่เขาคาดเดาไม่ผิดเพี้ยน
"ท่านลุงนี่... ทั้งหมดล้วนเป็นท่านคิดไปเอง อย่าได้กล่าวหาข้าสิขอรับ" สีหน้าท่าทางของต้วนหลิงเทียนยังคงนิ่งเฉยราวกับเรื่องนี้มันไร้สาระและเป็นเพียงการใส่ความกันเท่านั้น เขายังกล่าวออกมาต่อว่า"ลุงนี่...หากท่านเรียกข้ามาเท่านี้ และไม่มีอันใดอื่นเช่นนั้นข้าจะกลับแล้ว... "
"เดี๋ยวก่อน!" นี่เหวียกล่าวรั้งต้วนหลิงเทียนเอาไว้ ก่อนที่จะหัวเราะออกมา "ข้าไม่ได้เรียกเจ้ามาเพื่อจะซักไซ้ไล่เรียงอะไร ตั้งแต่เจ้าขอให้จางเฉวียนกับเจ้ากังอยู่ภายใต้คำสั่งของเจ้าแต่เพียงผู้เดียว ข้าก็เดาได้แล้วว่าเจ้าต้องคิดก่อการอันใดไม่ซื่อเป็นแน่... แต่นั่นไม่ได้เกี่ยวอะไรกับที่ข้าเรียกเจ้ามาวันนี้ไม่ เหตุผลที่ข้าเรียกเจ้ามาวันนี้ เพราะข้าอยากคุยกับเจ้าถึงเรื่องสถานการณ์สงครามที่ชายแดนทางตะวันตกเฉียงเหนือ" ในขณะที่กล่าววาจาจบ ท่าทางของนี่เหวี่ยพลันเปลี่ยนเป็นจริงจังและดูเคร่งเครียดขึ้นไม่น้อย
ชายแดนทางตะวันตกเฉียงเหนือ?
ต้วนหลิงเทียนนั้นจำได้ว่า อาจารย์ซื่อหม่าฉางฟงเองก็เคยมาเกริ่นๆเรื่องนี้กับเขาเอาไว้เช่นกัน "ลุงนี่ เหตุใดท่านถึงคิดสนทนากับข้าเรื่องนี้กันล่ะ?"
"แน่นอนว่าย่อมมีเหตุผลว่าทำไมข้าถึงอยากสนทนาเรื่องนี้กับเจ้า สงครามที่ชายแดนตะวันตกเฉียงเหนือครั้งนี้นั้นหาได้ง่ายดายไม่มันมีความเสี่ยงสูงไม่น้อย และตอนนี้องค์ราชาก็ได้มอบอำนาจเต็มแก่ข้าในการเรียกกำลังเสริมและกองกำลังทหารต่างๆไปเสริมทัพ ...และแน่นอนว่าส่วนหนึ่งของกองกำลังเสริมนี่ย่อมมาจากสถาบันบ่มเพาะขุนพลของเจ้า หากมีนักศึกษาคนใดคนหนึ่งของสถาบันบ่มเพาะขุนพลสามารถใช้สิ่งที่เขาเรียนรู้ได้มาประยุกต์ใช้ในสนามรบย่อมมีประโยชน์ไม่น้อย ...โดยเฉพาะฝ่ายดาวกุนซือของเจ้าแล้วละก็...หากสามารถคิดแผนการเลิศล้ำอันใดขึ้นมาได้ จนสามารถพลิกสถานการณ์ในสนามรบ คุณค่าของตัวเจ้าจะมีค่าเทียบเท่ากองทัพ!" นี่เหวี่ยใช้สายตาลึกซึ้งจับจ้องไปยังต้วนหลิงเทียน
"ตอนที่ข้าได้ไปปรึกษาหารือกับรองผู้อำนวยการสถาบันบ่มเพาะขุนพลของเจ้า ...เขากลับแนะนำเจ้าให้กับข้าอย่างจริงจัง และแน่นอนว่าเขาย่อมไม่ล่วงรู้ความสัมพันธ์ของเจ้ากับข้าแม้แต่นิด"
"หืม? รองผู้อำนวยการ เขาแนะนำข้าเลยหรือท่านลุง?" ต้วนหลิงเทียนเองก็ตกตะลึงไม่น้อย แต่เขาเองก็เข้าใจได้โดยพลัน หลังจากที่ฉุกคิดสักนิด คงไม่พ้นอาจารย์ซื่อหม่าฉางฟงเป็นคนไปกล่าวแนะนำกับรองผู้อำนวยการเป็นแน่
"ใช่แล้ว เขาเป็นคนแนะนำเจ้าด้วยตัวเอง ...แล้วเจ้าล่ะจะว่าอย่างไร สนใจที่จะเข้าร่วมหรือไม่? จริงสิกองกำลังเสริมชุดนี้จะถูกพี่ใหญ่นี่ของเจ้าเป็นผู้นำทัพ" นี่เหวี่ยจับจ้องไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาซับซ้อน
ในตอนแรกที่รองผู้อำนวยการแห่งสถาบันบ่มเพาะขุนพลกล่าวแนะนำต้วนหลิงเทียนกับเขา เขาแทบไม่เชื่อหูตัวเอง และสงสัยว่าฟังผิดหรือไม่ แต่ต่อมาเมื่อรองผู้อำนวยการกล่าวบอกถึงกลยุทธ์ 'ปิดฟ้าข้ามทะเล' ที่ต้วนหลิงเทียนคิดค้นขึ้น ทำให้เขาถึงกับถูกสะกด!
เขาไม่เคยคิดคิดเลยว่าหลานชายที่มีพรสวรรค์และศักยภาพไร้ขีดจำกัดในเชิงยุทธ์ ทั้งยังมีพรสวรรค์และความเป็นสุดยอดอัจฉริยะในศาสตร์แห่งการหลอมโอสถจนแทบจะต่อต้านสวรรค์ กลับยังมีความปราดเปรื่องและมันสมองเลิศล้ำจนคิดค้นกลยุทธ์อันประเสริฐสะท้านแดนดินในฐานะ กุนซือ เช่นนี้ได้อีก ...
"ข้าย่อมสนใจอย่างแน่นอน!" ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า "ท่านลุงนี่ แล้วกำลังเสริมที่ว่านี่จะเคลื่อนทัพไปยังชายแดนตะวันตกเฉียงเหนือเมื่อไหร่หรือขอรับ?"
"อีก 1 เดือนหลังจากนี้ได้... หากเจ้าอยากไปด้วย ช่วงนี้ก็เตรียมตัวเอาไว้ให้พร้อม" นี่เหวี่ยกล่าวออกมา
"ได้เลยท่านลุง" ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าและขอตัวกลับทันที
ระหว่างทางกลับบ้านอดไม่ได้ที่ต้วนหลิงเทียนจะรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย แน่นอนล่ะว่าสนามรบในโลกนี้ย่อมแตกต่างจากสนามรบในโลกที่เขาจากมาอย่างแน่นอน
ตัวเขาเองนั้นก็ย่อมเคยเข้าร่วมรบในสนามรบของโลกเก่า แต่มันเป็นสนามรบที่เต็มไปด้วยคราบเขม่าและดินปืนรวมถึงอาวุธไฮเทคทั้งหลาย ไม่ใช่สนามรบที่เต็มไปด้วยอาวุธเย็นเช่นนี้ (ธนู,ดาบ,ทวน ฯลฯ... ที่ไม่ใช่ปืนยุคใหม่)
แต่ก่อนตอนอยู่โลกเก่านั้นต้วนหลิงเทียนเองก็เคยฝันเช่นกัน
และในความฝันนั้น เขาก็หวังว่าเขาจะได้ควบขี่อาชาคู่ใจท่องทะยานเข่นฆ่าอริราชที่ขวางทางเขาในสนามรบ สร้างเส้นทางโลหิต ดั่งเรื่องราวตามบันทึกโบราณที่เขาเคยได้อ่าน และเขาจะต่อสู้จนกว่าศัตรูจะแตกพ่ายยับเยิน ตะลุยพวกมันด้วยเลือดในกายที่เดือดพล่าน ระบายความบ้าคลั่งทั้งหมดออกมา!
และตอนนี้เขาได้รับโอกาสนั้นแล้ว!