spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
*ตั้งค่าถาวร (คลิกตั้งค่าถาวร) |
ภายใต้การจับจ้องที่หวาดผวาของหญิงสาว ต้วนหลิงเทียนเพียงขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนที่จะซัดนางจนสลบและกระโดดออกทางหน้าต่างจากไปทันที
ไม่ว่าจะอย่างไรสตรีคนนั้นก็ไม่ได้เห็นหน้าเขา เพราะมีชุดโม่งดำปกปิดเอาไว้ เขาก็ไม่มีความจำเป็นต้องฆ่าสตรีไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ที่ไม่อาจชี้ตัวเขาได้
เมื่อกระโดดออกจากนอกหน้าต่างและวิ่งตรงมาระยะหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนก็เห็นร่างของซูหยงที่ล้มพิงกำแพงแน่นิ่งไป ไร้ร่องรอยของชีวิต เห็นได้ชัดว่ามันไม่อาจหนีได้สำเร็จและทิ้งลมหายใจสุดท้ายไว้ตรงนี้
เรื่องนี้มันก็ไม่ได้แปลกอะไรมากมาย เพราะหากลองคิดดู จะมีผู้ฝึกยุทธ์ระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 6 คนไหน ที่สามารถหนีการตามล่าของผู้ฝึกยุทธ์ระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 7 ที่ประสานงานกันมานานได้บ้างเล่า?
และเมื่อต้วนหลิงเทียนมาถึง จางเฉวียนก็หยิบแหวนมิติของซูหยงยื่นส่งให้ต้วนหลิงเทียน อย่างรู้หน้าที่ทันที "นายน้อย"
"รีบไปกันเถอะ!" ต้วนหลิงเทียนรีบถอนตัวออกจากสถานที่แห่งนี้ทันทีอย่างไม่คิดรั้งรอ เขารวบรวมพลังงานต้นกำเนิดไว้ โดยใช้แค่เพียงประมาณ 10 ช้างแมมมอธโบราณเท่านั้น ก่อนที่จะปะทุมันออกมาด้วยขาทั้งสองข้างกระโดดข้ามกำแพงและวิ่งหายลับไปในความมืด
และเมื่อต้วนหลิงเทียนกับจางเฉวียนและจ้าวกังออกจากเขตที่พักมาได้ไม่นาน พวกเขาก็ได้ยินเสียงกรีดร้องดังออกมาจากสถานที่เมื่อครู่ "นายท่าน!"
ในระหว่างทางต้วนหลิงเทียนเองก็รีบผูกมัดแหวนมิติทันที และเมื่อเขาทำการตรวจสอบด้านใน สองตาเขาถึงกับเบิกกว้างทอประกายเรืองวูบขึ้นมา...
"30 กว่าล้าน...เหรียญเงิน ... ." ดั่งที่เขาคาดเอาไว้ ซูหยงคนนี้ทำงานใหญ่มานาน ทรัพย์สมบัติที่มันมีย่อมต้องมั่งคั่งกว่าซูเลี่ยมากโข
อันที่จริงแล้วซูเลี่ยคนนั้นก็มีศักดิ์เป็นหลานของซูหยง กล่าวได้ว่าคู่ลุงหลานคู่นี้สร้างรายได้ให้เขาเกือบ 40 ล้านเหรียญเงินเลยทีเดียว
"เอ้านี่ พวกเจ้ารับนี่ไว้!" ต้วนหลิงเทียน หยิบเงินออกมาอีก 2,000,000 เหรียญเงินและแบ่งให้จางเฉวียนกับจ้าวกังอีกครั้ง
และครั้งนี้ทั้ง 2 ไม่อิดออดอะไรรีบรับเงินแล้วเก็บไว้ทันที
เพราะสำหรับพวกเขาแล้วตอนนี้พวกเขากำลังทำภารกิจที่เรียกได้ว่าเสี่ยงกับความตายอย่างสูง ภารกิจของนายน้อยผู้นี้นับว่าอาจหาญเล่นกับไฟนัก พวกเขาไม่รู้ว่าจะเก็บชีวิตไปได้ตลอดรอดฝั่งหรือไม่ เช่นนั้นหากคิดว่าวันหนึ่งในเมื่ออาจจะต้องตาย ใยมิสู้รีบสะสมเงินทองเพื่อเก็บไว้ให้ภรรยาและครอบครัวไว้จะดีเสียกว่าเล่า? อย่างน้อยหากถึงวาระสุดท้ายของพวกเขาจริงๆ คนของพวกเขาจะได้ไม่ลำบาก!
และตอนนี้ภรรยาและครอบครัวของพวกเขาก็อาศัยอยู่ในจวนเจ้าพระยา แน่นอนว่าพวกเขาย่อมไม่กังวลว่าพวกนางจะติดร่างแหไปด้วย
กล่าวง่ายๆ ตอนนี้พวกเขาเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดเอาไว้แล้ว!
อีกทั้งงานที่พวกเขาทำเรียกได้ว่าไม่ต่างอะไรกับการเดินบนลวดที่ขึงระหว่างหุบเหวสูงชัน หากพลาดพลั้งตกลงไปในผา ร่างก็คงต้องแหลกเหลวเป็นชิ้นๆ!
ตระกูลซูหาใช่ตระกูลเล็กๆแต่อย่างใด
หากต้วนหลิงเทียนล่วงรู้ความคิดของจางเฉวียนและจ้าวกังเขาเองก็คงไม่รู้จะปลอบใจพวกมันอย่างไร ...
ในชีวิตก่อนหน้านี้หากจะวัดกันจริงๆแค่ภารกิจแทรกซึมกับภารกิจลอบจัดการเป้าหมายเขาก็กระทำสำเร็จมานับครั้งไม่ถ้วน และหากไม่ใช่เพราะเขาถูกส่ายข่าวที่สนิทที่สุดหักหลัง เขาเคยล้มเหลวสักครั้งหรือไม่?
เมื่อพวกเขาทั้งหมดกลับมาถึงบ้านต่างก็แยกย้ายกันไป ต้วนหลิงเทียนเองที่เต็มไปด้วยความสุข ก็ทักทายคนในบ้านที่ยังไม่หลับนอนด้วยรอยยิ้ม ...
ทางด้านฉงเฉวียนเองก็ได้ใช้เงิน 50,000,000 เหรียญที่เขามอบหมายให้ไปซื้อวัตถุดิบจนหมดสิ้นแล้ว ทำให้ตอนนี้เขามีวัตถุดิบมากพอที่จะจารึกอาคมกร่อนกระดูกได้ถึง 10 จารึก!
"หลังจากวันนี้ไป ตระกูลซูคงตื่นตัวไม่น้อย ... ข้าจะพักผ่อนสัก 2-3 วันและใช้เวลาช่วงนี้จารึกอาคมให้ท่านแม่ และก็ 2 สาวไว้ใช้จะดีกว่า" ต้วนหลิงเทียนคิดและทำอะไรอย่างรอบคอบ
สำหรับเขาตอนนี้ไม่มีอะไรสำคัญมากไปกว่าชีวิตของครอบครัวอีกแล้ว
ต้วนหลิงเทียนที่กำลังอารมณ์ดีได้ลอบเข้าไปในห้องของลี่เฟย
ลี่เฟยเองก็ยังไม่ได้นอนหลับแต่อย่างไร นางกำลังนั่งบ่มเพาะพลังอยู่บนเตียง และนางรีบเปิดตาขึ้นทันทีเมื่อได้ยินเสียงการเคลื่อนไหว และนางก็เห็นได้ทันทีว่าเป็นต้วนหลิงเทียนแอบย่องเข้ามา
นางยังไม่ทันมีเวลาตอบสนองหรือกล่าววาจาอะไร ก็ถูกต้วนหลิงเทียนพุ่งเข้ามากอดและจับนางกดลงบนเตียงซะแล้ว!
"เสี่ยวเฟย สามีเจ้ามาแล้วว!" ไม่นานหลังจากนั้น ลมหายใจของต้วนหลิงเทียนก็หอบถี่ระรัวขึ้นไม่น้อย...เตียงที่นุ่มถึงกับสั่นสะท้าน พร้อมเริ่มโยกเยกไปมาเป็นจังหวะจะโคนส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด เคล้าคลอกับเสียงความสุขของคู่รัก ราวกับทำนองเพลง
จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปดึกดื่นค่อนคืนศึกรบบนเตียงคล้ายจะใกล้ถึงจุดจบ การเคลื่อนไหวของคู่รักบนเตียงพลันรุนแรงถาโถมโหมกระหน่ำ...ก่อนที่จะยุติลง...ดูเหมือนทั้งคู่จะเกี่ยวก้อยกันขึ้นสรวงสรรค์อย่างสุขสมอารมณ์หมายเสียงลมหายใจหอบถี่ๆค่อยๆผ่อนช้าลง ก่อนที่จะกลายเป็นลึกยาว
ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนก็ได้หลับใหลไป โดยมีลี่เฟยที่หลับตาพริ้มพร้อมใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสุข หนุนนอนอยู่บนแผงอกแกร่ง
.....
ส่วนตระกูลซูแน่นอน ว่าพวกมันย่อมมาสุมหัวกันอยู่ในห้องโถงหลัก และจัดประชุมครั้งใหญ่อีกครั้ง
"มันเกิดเรื่องอุบาทว์อันใดขึ้น เพียงเวลาแค่ 2 คืน สาวกสายหลักของตระกูลซูกลับถูกลอบสังหารติดต่อกันถึง 2 คน!... เช่นนี้หาได้เป็นเรื่องบังเอิญแล้ว ต้องมีคนกำลังเล่นงานตระกูลซูของพวกเราเป็นแน่ บัดซบ!!"
ปังงงงง!! แกร๊งๆ!
ราวกับฉายหนังเรื่องเดิมวนซ้ำ ...อนิจจาที่วางแขนของเก้าอี้ประมุขนี้...ช่างอาภัพนัก! มันมีอายุขัยได้ไม่ทันข้ามวันกลับต้องถูกทำลายลงแตกสลายตกระจายเป็นชิ้นอย่างอนาถ
และแน่นอนว่าซูหนันผู้อาวุโสหลักตระกูลซูที่นั่งต่ำกว่าประมุขตระกูล 1 ขั้น ก็มีใบหน้าบิดเบี้ยวไม่น้อย
เมื่อเมื่อคืนหลานชายของมันตกตาย!
มาวันนี้ลูกพี่ลูกน้องมันก็มาตกตายคาบ้านไปอีกคน!
มันเริ่มรู้สึกได้ว่า...ไม่ว่าจะด้วยเหตุบังเอิญหรือจงใจก็ตาม แต่ดูเหมือนทุกอย่างจะพุ่งเป้ามาที่มันทั้งสิ้น!
แน่นอนว่าความคิดเช่นนี้หาได้มีซูหนันคนเดียวที่นึกถึงไม่ เหล่าผู้อาวุโสหลายๆคนเองก็ฉุกคิดถึงความพิกลของเรื่องราวนี้เช่นกัน ...
"ผู้อาวุโสหลัก ท่านไปเล่นงานผู้ใดมาหรือไม่ช่วงนี้?"
"ถูกต้องผู้อาวุโสหลัก หากท่านพึ่งไปรุกรานผู้ใดมาในช่วงนี้ ท่านก็กล่าวมันออกมาเถิด พวกเราจะได้สืบหาตัวคนร้ายได้ง่ายมากยิ่งขึ้น"
"ผู้อาวุโสหลักท่านไปก่อปัญหาอันใดมากันแน่?"
"ผู้อาวุโสหลัก ข้าคิดว่าท่านควรให้ความสำคัญแก่ตระกูลซูมากกว่าความต้องการของตัวท่านเอง!"
...
ผู้อาวุโสเริ่มกล่าววาจาออกมาทีละคนๆ และทุกคนล้วนเจาะจงมาที่ผู้อาวุโสหลักทั้งสิ้น
แม้กระทั่งซูผอหยาประมุขตระกูลซูเองก็อดที่จะมองมายังซูหนันไม่ได้ เพราะปัจจุบันมันน่าสงสัยที่สุด
"ท่านประมุข ข้าซูหนันกล่าวสาบานต่อหน้าท่านได้ ว่าช่วงนี้ข้าผู้ชราหาได้ไปรุกรานผู้ใดไม่ ... แต่ถ้าหากท่านกล่าวถามถึงเรื่องราวความขัดแย้งแล้วล่ะก็ ช่วงนี้ข้าเพียงขัดแย้งกับซูหลี่และต้วนหลิงเทียนเท่านั้น แต่มันย่อมเป็นไปไม่ได้ที่ 2 คนนั่นจะมีความสามารถถึงขั้นลอบสังหารซูเลี่ยกับซูหยง" ด้วยการที่ถูกผู้คนเข้าใจผิดและรุมซักไซ้เช่นนี้ทำให้ซูหนันเองก็อดไม่ได้ที่จะเคียดแค้นมือสังหารขึ้นมาจนจับใจ
"ซูหลี่?" ผู้อาวุโสของตระกูลซู ย่อมรู้ว่าซูหลี่เป็นใครเลยกล่าวถามออกมา "แล้วเรื่องนี้มันมีอันใดเกี่ยวข้องกับซูหลี่กันเล่า?"
ซูหนันสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนที่จะกล่าวถึงเรื่องราวความขัดแย้งระหว่างเขากับต้วนหลิงเทียนและซูหลี่ และเล่าเรื่องราวทั้งหมดออกมาไม่เว้นแม้แต่เรื่องที่ซูหลี่เลือกที่จะออกจากสถาบันบ่มเพาะขุนพล ...
แม้จะเป็นตัวเขาเองในยามที่รู้เรื่องนี้ครั้งแรกก็ประหลาดใจอย่างมาก
เขาไม่คิดเลยว่าเพื่อสหายอย่างต้วนหลิงเทียน และเพื่อความปลอดภัยของครอบครัว ซูหลี่จะเลือกละทิ้งอนาคตของมันเช่นนี้
สำหรับเขา ทางเลือกของซูหลี่ช่างโง่เขลานัก!
“ผู้อาวุโสหลัก ท่านนี่ช่างมีความสามารถล้นเหลือนัก แม้กระทั่งบีบบังคับผู้เยาว์เช่นนี้ยังสามารถกระทำได้ นับถือๆ!” ผู้อาวุโสที่เคยมีความสัมพันธ์อันดีกับบิดาของซูหลี่อดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมาด้วยความขุ่นเคือง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน
สำหรับเขาการกระทำของผู้อาวุโสหลักนับว่าอุบาทว์นัก ถึงขั้นบีบบังคับผู้เยาว์ตระกูลซูที่มีอนาคตจนจบสิ้นเช่นนี้ได้!
"เรื่องนี้แน่นอนว่าย่อมมิใช่การกระทำของซูหลี่อย่างแน่นอน ...ส่วนทางด้านต้วนหลิงเทียนนั้น ถึงแม้ว่ามันจะเป็นสายเลือดหลักของตระกูลต้วน แต่มันไม่ได้กลับไปยังตระกูลเพื่อรับสถานะนั้น ทำให้มันไม่มีอำนาจสั่งการและสามารถระรานคนของอาวุโสหลักได้ ผู้อาวุโสหลัก ท่านกล่าวมาเถิดท่านไปมีปัญหาอะไรกับใครอีกหรือไม่?” ซูผอหยาที่หน้าบึงตึงจับจ้องไปยังซูหนันพร้อมกล่าวถามออกมา
"แน่นอนว่าย่อมไม่มีแล้ว!" ซูหนันส่ายหัวไปมา
ซูผอหยาขมวดคิ้วเป็นปมก่อนที่จะกล่าวต่อออกมา "แต่เรื่องราวครั้งนี้มีจุดเหมือนกันอยู่หนึ่งจุดนั่นก็คือ หลังจากที่ซูเลี่ยและซูหยงถูกสังหารแล้ว แหวนมิติของพวกมันก็หายไปด้วย ...มันเป็นไปได้หรือไม่ที่เป้าหมายของคนร้ายนั้นเป็นทรัพย์สมบัติ?"
"อาจเป็นได้ และถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริงก็ย่อมอธิบายได้ว่าเพราะเหตุอันใดทั้ง 2 จึงเป็นเป้าหมาย เพราะไม่ว่าจะเป็นซูเลี่ยหรือซูหยง ล้วนเป็นผู้ดูแลกิจการของตระกูลซูเราทั้งสิ้น" ผู้อาวุโสตระกูลซูคนหนึ่งกล่าวออกมา
"เอาล่ะ เช่นนั้นก็ถ่ายทอดคำสั่งของข้าออกไป ผู้ใดที่เป็นผู้ดูแลกิจการของตระกูลซู ให้เข้ามาพักยังเขตที่พักของตระกูลซูก่อนชั่วคราว ข้าอยากรู้ว่ามือสังหารบัดซบนั่น! มันจะยังกล้าลงมือในเขตที่พักตระกูลซูของข้าอีกหรือไม่!" ซูผอหยาพยักหน้าให้อาวุโส ก่อนที่จะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอำมหิต แววตาของเขาเต็มไปด้วยเพลิงโทสะยากระงับ
ในเวลาเพียงแค่ 2 วัน สาวกหลักของตระกูลซูตกตายในบ้านของพวกมัน เขาที่เป็นประมุขตระกูลซู แน่นอนว่าต้องเสียหน้าและรู้สึกองับอายผู้คนยิ่งนัก!
เช้าของวันต่อมา ข่าวคราวการลอบสังหารคนของตระกูลซู 2 คืนติดก็แพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองหลวง ทำให้ยามนี้คนในเมืองหลวงล้วนสนใจเรื่องราวนี้กันอย่างคึกคัก ...นี่เพราะสองคนที่ตกตายหาใช้สมาชิกธรรมดา แต่มันเป็นถึงสาวกหลักของตระกูลซู!
"เฮ่ เจ้าว่าตระกูลซูไปล่วงเกินผู้ใดมาหรือไม่?"
"ใครจะไปรู้เล่า... อย่างไรสองคนที่ตกตายนั้น พวกมันก็ไม่ใช่ตัวดีอันใด ตายไปเสียได้ก็ดีแล้ว"
"ใช่ข้าเห็นด้วย แผ่นดินนี้ไม่มีพวกมันข้าว่าอะไรๆคงดีขึ้นเยอะ หากจะมีไม่ดี ก็คงเป็นที่พวกมันตายช้าไปนี่ล่ะ!"
"เฮ่ๆๆ พวกเจ้ากล่าววาจาระวังปากกันหน่อย หากคนของตระกูลซูได้ยิน เดี๋ยวพวกเจ้าก็ได้ตกตายอนาถหรอก!"
...
ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นเมืองหลวงชั้นในหรือเมืองหลวงชั้นนอก ล้วนเต็มไปด้วยบทสนทนาถึงเรื่องราวครั้งนี้
“ฝ่าบาท เมื่อคืนนี้ ...ทหารเดนตายทั้ง 3 นายที่พวกเราส่งออกไปลอบสังหารต้วนหลิงเทียน ไม่ได้กลับมารายงานตัวขอรับ ข้ากริ่งเกรงว่าพวกมันคงตกตายหมดสิ้นแล้ว" ภายในศาลาชมบุปผาที่เงียบสงบหลังหนึ่ง มีชายชราคิ้วขาวกำลังกล่าวรายงานเรื่องราวแก่ชายหนุ่มในชุดผ้าแพรแลดูหรูหราที่กำลังนั่งจิบชาหอมกรุ่น ไอร้อนจากถ้วยชาโชยออกมาขโมงโฉงเฉง
"หืม ผู้ฝึกยุทธ์ระดับวิญญาณแรกก่อตั้ง 3 คน ยังไม่อาจสังหารต้วนหลิงเทียนได้อีกเช่นนั้นหรือ?" ชายหนุ่มในชุดแพรแลดูหรูหรา หรือหากกล่าวให้ชัดนั่นคือองค์ชาย 5 ได้กล่าวออกมาพร้อมคิ้วที่เริ่มขมวดขึ้นเล็กน้อย "ไม่คิดเลยจริงๆ...ดูเหมือนว่าทางตระกูลต้วนเอง ก็ยังคงดูแลสาวกสายหลักของตระกูลอย่างดีถึงแม้สาวกคนนั้นจะต่อต้านพวกมันก็เถอะ... "
"ฝ่าบาท ท่านหมายความว่า ทางตระกูลต้วนส่งคนไปลอบคุ้มกันต้วนหลิงเทียนอยู่หรือขอรับ?" ชายชราคิ้วขาวอดไม่ได้ที่จะตกใจ
องค์ชาย 5 แค่นเสียงออกมาอย่างเย็นชา พร้อมกล่าว "เหอะ! แล้วนอกเหนือจากนี้ เจ้าคิดว่ามันจักไปพึ่งพาผู้ใดได้?"
ชายชราคิ้วขาวนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะกล่าวถามออกมา "ฝ่าบาทเช่นนั้นเรายังควรส่งคนออกไปอีกหรือไม่... "
"เว้นเรื่องนี้เอาไว้สักระยะก่อนแล้วกัน ข้าได้ยินข่าวมาว่าสาวกหลักของตระกูลซูถูกลอบสังหาร 2 คนติดต่อกันภายในระยะเวลาแค่ 2 คืน เจ้าส่งคนไปตรวจสอบเรื่องนี้เสียหน่อย และหากเจ้าสามารถได้ข่าวหรือเบาะแสอันใดก็นำมันไปมอบเป็นของขวัญให้แก่ตระกูลซู...เมื่อทำเช่นนี้แล้ว หากถึงยามที่ข้าต้องแย่งชิงบัลลังก์ราชา ข้าอาจจะพึ่งพาความช่วยเหลือของตระกูลซูได้ในยามที่ข้าต้องการ และข้าคิดว่าประมุขของตระกูลซู อย่างซูผอหยาคงไม่คิดปฏิเสธ" ประกายตาขององค์ชาย 5 เรืองวูบออกมาอย่างแจ่มใสเต็มไปด้วยปัญญา
"ขอรับ" ชายชราคิ้วขาวรับคำก่อนที่จะจากไปกระทำตามคำสั่ง
"ต้วนหลิงเทียน เจ้ากล้าทำร้ายน้องสาวข้าจนบาดเจ็บซ้ำแล้วซ้ำเล่า ...ต่อให้เจ้าจะมีคนของตระกูลต้วนลอบคุ้มครองอยู่ แต่อย่าหวังว่าเจ้าจะเดินทอดน่องอย่างสบายตัวเช่นนี้ได้นาน!" ประกายเย็นชาเจืออำมหิตส่องสว่างออกมาจากแววตาขององค์ชาย 5
องค์กรเงายมทูตนั้นนับว่าเป็นองค์กรมือสังหารอันดับ 1 แห่งอาณาจักรนภาล่อง และแม้จะเป็นตัวเมืองหลวงชั้นในเองก็มีที่ประจำการขององค์กรนี้ตั้งอยู่เช่นกัน
ณ มุมหนึ่งภายในเมืองหลวง ที่ไม่ค่อยมีผู้คนสัญจรสักเท่าไร
มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ที่รู้ว่า ศูนย์บัญชาการขององค์กรเงายมทูตแห่งเมืองหลวงนั้นตั้งอยู่ตรงนี้
ดึกสงัด
ชายวัยกลางคนที่มีลักษณะธรรมดา กำลังหันซ้ายหันขวามองสภาพแวดล้อมรอบด้าน ก่อนที่จะเดินไปยังทางเข้าของสถานที่รับงานของเงายมทูต
"เป้าหมาย" หลังโต๊ะให้บริการชายหนุ่มใบหน้าเย็นชาไม่กล่าววาจาใดให้มากความแต่แม้จะเป็นเพียงประโยคสั้นๆ กลับสร้างความเหน็บหนาวให้แก่ผู้ฟังจนเสียดกระดูก
ชายวัยกลางคนนั้นอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหนาวเหน็บขึ้นมา มันรีบกล่าววาจาออกมาด้วยความตื่นตระหนก "ต้วนหลิงเทียน ระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 9 นักศึกษาชั้นปีที่ 1 แห่งสถาบันบ่มเพาะขุนพล"
"สถาบันบ่มเพาะขุนพล?" น้ำเสียงของชายหนุ่มดูเหมือนจะมีความสงสัยไม่น้อย
"เขาเป็นนักศึกษาของสถาบันบ่มเพาะขุนพล ทว่าไม่ได้พักอาศัยอยู่ในสถาบันบ่มเพาะขุนพล" ชายวัยกลางคนกล่าวออกมา ลักษณะการกล่าววาจาของเขานั้นเหมือนกับอ่านตามข้อความหรือท่องจำข้อความมาไม่น้อย เห็นได้ชัดว่ามันเองก็ถูกใครบางคนมอบหมายมาให้จ้างวานงานครั้งนี้
"ค่ามัดจำ 200,000 เหรียญเงิน ยืนยันภายใน 3 วัน" ชายหนุ่มกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงไม่แยแส
ชายวัยกลางคนรีบหยิบตั๋วเงินออกมาชำระค่ามัดจำออกมาจากกระเป๋าด้วยความลุกลี้ลุกลนก่อนที่จะจากไปด้วยความตื่นเต้นหลังจากชำระเงินค่ามัดจำไปแล้ว