หน้าแรก > War Sovereign Soaring The Heavens
บทที่ 179 การค้าครั้งใหญ่อีกแล้ว..

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

*ตั้งค่าถาวร (คลิกตั้งค่าถาวร)

หลังจากที่ได้เห็นชายวัยกลางคนทั้ง 2 ร่างกายค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีดำ เพราะพวกมันเลือกที่จะฆ่าตัวตาย โดยการกัดฟันกรามกลืนยาพิษที่แอบซ่อนไว้ สีหน้าจางเฉวียนและจ้าวกังพลันแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดขึ้นมา แววตาฉายแววหวาดกลัวไม่น้อย ปากกล่าววาจาออกมาด้วยความพรั่นพรึง “ทหารเดนตาย!”

"ทหารเดนตาย? แล้วทหารเดนตายนี่คืออะไรอีก?" ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้วขึ้นเป็นปมด้วยความสงสัย อีกทั้งเขายังเริ่มสนใจเล็กน้อยเพราะดูท่าทางจางเฉวียนกับจ้าวกังจะมีปฏิกิริยาในเรื่องนี้ไม่เบา

จางเฉวียนและจ้าวกังพลันหันไปมองต้วนหลิงเทียนด้วยแววตาเหลือเชื่อ ทั้งยังแสดงสีหน้าสงสัยราวกับตัวโง่งม!

นายน้อยผู้นี้ไประรานผู้ใดมาบ้างกันแน่?

จางเฉวียนพยายามสงบสติอารมณ์ด้วยการสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ ก่อนที่จะกล่าวออกมา "นายน้อยคนพวกนี้เรียกว่าทหารเดนตาย กล่าวได้ว่าเป็นกลุ่มตัวหมากที่ไม่หวั่นหวาดกระทั่งความตาย พวกมันได้รับการฝึกอบรมวิชายุทธ์และความคิดมาอย่างแน่วแน่ เหล่าทหารเดนตายพวกนี้จะเคารพเพียงนายท่านเจ้าชีวิตของพวกมันเพียงคนเดียวเท่านั้น อีกทั้งพวกมันจะรับฟังคำสั่งนายท่านเจ้าชีวิตแต่เพียงผู้เดียว! และตราบใดที่เป็นความต้องการของนายท่านเจ้าชีวิตแล้ว ไม่ว่าเรื่องอะไรพวกมันยินยอมกระทำทั้งยังยินยอมมอบให้ทุกสิ่งอย่างกระทั่งความตาย! สำหรับชีวิตของทหารเดนตายนั้น...กล่าวได้ว่านายท่านเจ้าชีวิตเป็นทุกอย่างของพวกมัน "

"และหากพวกมันได้รับมอบหมายภารกิจอันใดก็ตาม หากพวกมันกระทำการล้มเหลวแล้วล่ะก็ พวกมันเลือกหนทางตายตกเสียดีกว่าหลงเหลือโอกาสแม้เพียงเศษเสี้ยว ที่จะเปิดเผยเบื้องหลังนายท่านเจ้าชีวิตของพวกมัน" หลังจากที่จางเฉวียนกล่าวจบเขาทั้งเขาและจ้าวกังต่างจับจ้องไปยังต้วนหลิงเทียน

พวกเขาล้วนใคร่รู้ว่า นายน้อยของพวกเขานั้น...ไปล่วงเกินผู้ใดกันแน่ถึงขั้นอีกฝ่ายสามารถส่งทหารเดนตายมาลงมือเช่นนี้

"อ้อ เช่นนั้นนี่คือทหารเดนตาย" ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับเล็กน้อย ทว่าในหัวใจของเขาเริ่มเย็นยะเยือกขึ้นเล็กน้อย เพื่อความสำเร็จของภารกิจและงานที่ได้รับมอบหมายไม่หวาดหวั่นแม้กระทั่งความตาย ...พวกคนเหล่านี้นับว่าเป็นเครื่องจักรสังหารไร้ซึ่งความเป็นมนุษย์อย่างแท้จริง!

"นายน้อยท่านไปล่วงเกินผู้ใดมากันแน่ขอรับ?" จ้าวกังกล่าวถามออกมาอย่างลังเล

คิ้วของต้วนหลิงเทียนขมวดขึ้นเล็กน้อยก่อนที่จะกล่าววาจาออกมา "ข้าเองก็มีเรื่องกับชาวบ้านเขาไม่น้อยอยู่เช่นกัน แล้วพวกเจ้าทั้งคู่ก็เห็นๆอยู่ไม่ใช่หรือไง ว่าข้ากำลังมีปัญหากับตระกูลซูอยู่?"

"นายน้อยขอรับ หากจะกล่าวกันตามหลักความเป็นจริงแล้ว เป็นไปไม่ได้เลยขอรับ ที่ทหารเดนตายเหล่านี้จะมาจากตระกูลซู ... " จางเฉวียนกล่าวออกมาพร้อมส่ายหน้า "จากที่ข้ารู้มา เหล่าทหารเดนตายเช่นนี้ล้วนแล้วแต่มาจากตัวตนที่มีกองทัพส่วนตัวแทบทั้งสิ้น ...มีเพียงตัวตนระดับสูงส่งเท่านั้น ที่สามารถเพาะสร้างทหารเดนตายเหล่านี้เอาไว้ให้อยู่ภายใต้อาณัติ ...ในจังหวะสำคัญ เหล่าทหารเดนตายพวกนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นดาบชั้นเลิศที่มีอำนาจทะลุทะลวงสูง สามารถใช้พวกมันกระทำภารกิจฆ่าตัวตายที่ไมอาจมีผู้ใดกล้ากระทำได้!"

"แล้วพวกเจ้าคิดว่าทหารเดนตายพวกนี้เป็นคนของใครกันเล่า?" ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้วเล็กน้อยในขณะกล่าวถาม

"นายน้อยขอรับ หากจะมองภายในเมืองหลวงแห่งนี้ ตัวตนที่มีอำนาจพอที่จะชุบเลี้ยงเหล่าทหารเดนตายเอาไว้ได้ เห็นว่าคงมีเพียงแต่เหล่าองค์ชายเท่านั้นแหละขอรับ ถึงจะมีพวกมันใต้อาณัติ ตราบใดที่เป็นองค์ชายที่มีสิทธิ์ในบัลลังก์หรือแม้กระทั่งมีโอกาสในการช่วงชิงบัลลังก์ ล้วนแล้วแต่ชุบเลี้ยงเหล่าทหารเดนตายเหล่านี้เอาไว้ใช้งานแทบทั้งสิ้น" จ้าวกังกล่าวออกด้วยสีหน้าจริงจัง อดไม่ได้ที่แววตาของเขาจะฉายชัดออกมาด้วยความสงสัยที่ล้นปรี่

เป็นไปได้หรือไม่ที่นายน้อยจะไปล่วงเกินตัวตนระดับสูงเหล่านั้น?

องค์ชาย?

แววตาของต้วนหลิงเทียนเรืองวูบขึ้นมาแวบหนึ่งในขณะที่นึกอะไรบางอย่างออก

เช่นนั้นเขาก็แทบไม่จำเป็นต้องคิดอีกต่อไป เขาสามารถเดาได้ทันทีว่าทหารเดนตายทั้ง 3 คนที่พยายามลอบสังหารเขาเมื่อครู่ หากไม่ใช่องค์ชาย 3 ก็เป็นองค์ชาย 5 ที่ส่งพวกมันมา

‘องค์ชาย 3, องค์ชาย 5 ... ไม่ว่าจะเป็นใครในพวกเจ้าที่กระทำเช่นนี้ ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะไม่กวนใจข้าให้มันมากไปนัก ไม่อย่างนั้นพวกเจ้าอย่าได้เพ้อฝันถึงบัลลังก์บัดซบอะไรอีกต่อไป แม้แต่เงาหัวของพวกเจ้ายังยากที่จะรักษาเอาไว้!’ สีหน้าของต้วนหลิงเทียนแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาจิตสังหารและกลิ่นอายอำมหิตคุกรุ่นขึ้นมา ในใจของเขาเต็มไปด้วยวิธีฆ่าคน!

"กลับบ้านเถอะ" ต้วนหลิงเทียนเรียกจางเฉวียนและจ้าวกังที่กำลังสั่นเพราะเขาเผลอทำจิตสังหารเล็ดรอดออกไป

และในระหว่างทางนี้เอง ต้วนหลิงเทียนก็ทนไม่ไหวถึงกับต้องกล่าวสอนบทเรียนสำคัญให้แก่พวกมัน "ในยามที่พวกเจ้าลอบติดตามข้านั้น ช่วยกระทำให้มันเป็นมืออาชีพ หรือกระทำให้สมกับเป็นผู้เชี่ยวชาญขั้นสูงหน่อยจะได้หรือไม่? ข้าจะกล่าวบอกอะไรให้ ทันทีที่ข้าก้าวขาออกจากสถาบันบ่มเพาะขุนพล ข้าก็ล่วงรู้ได้ทันทีว่าพวกเจ้าเฝ้ามองข้าจากตรงไหน!...บัดซบ เช่นนี้พวกเจ้ากล้าเรียกว่าลอบติดตามหรือ?!"

ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนตัดสินใจสอนบทเรียนทั้ง 2 คนนั้น เขาค่อยๆกล่าวสอนสั่งอย่างช้าๆ อีกทั้งยังเอ่ยถึงวิธีฝึกฝนที่สามารถนำไปลองกระทำจนสามารถเห็นผลได้ออกมา เขาได้กล่าวถึงขั้นตอนในการลอบติดตามผู้อื่นจากประสบการณ์ของการเป็นหน่วยรบพิเศษและทหารรับจ้างพ่วงฉายาราชันย์ผู้เชี่ยวชาญอาวุธทุกชนิด รวมทั้งวิธีฝึกฝนจากประสบการณ์จริง...

แล้วตลอดชีวิตของจางเฉวียนและจ้าวกัง พวกเขาจะไปเคยฟังเรื่องราวจากผู้เชี่ยวชาญเช่นนี้จากที่ใด?

พวกเขาล้วนตั้งอกตั้งใจฟังอย่างเต็มที่ พวกเขานั้นลุ่มหลงและตะลึงพรึงเพริดกับสิ่งที่ต้วนหลิงเทียนกำลังสอนสั่งอย่างแท้จริง ...

พวกเขาไม่คิดเลยว่า...แค่เพียงการลอบติดตามผู้คนจะมีเรื่องราวให้ใส่ใจมากมายถึงเพียงนี้!

ยามนี้ทั้ง 2 ล้วนจับจ้องไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเคารพนับถือขึ้นหลายส่วน และในขณะเดียวกันพวกมันก็อดสงสัยไม่ได้ว่า...ทั้งหมดทั้งมวลนี่ชายหนุ่มตรงหน้าของพวกเขาสารถเรียนรู้จนเจนจัดวิถีเช่นนี้ได้อย่างไร หรือเขาจะฝึกฝนมาตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดากัน?

"เอาล่ะพวกเจ้าทั้ง 2 กลับไปพักผ่อนและเตรียมตัวให้พร้อม คืนนี้ข้าจะพาพวกเจ้าไปทำการค้าครั้งใหญ่" ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมากับจางเฉวียนและจ้าวกังหลังจากที่กลับมาถึงบ้าน หลังจากนั้นเขาก็เดินทะลุอาคารหลักไปยังอาคารหลักจนกระทั่งกลับไปถึงห้องของเขา

การค้าครั้งใหญ่?

จางเฉวียนและจ้าวกังต่างหันมามองหน้ากันเองทันที และพวกมันต่างก็เห็นรอยยิ้มขมขื่นบนใบหน้าของอีกฝ่าย

พวกเขาย่อมรู้ดีว่าการค้าครั้งใหญ่นี้ของนายน้อยคืออันใด แล้วจะอย่างไรเล่า หรือพวกมันยังมีหนทางอื่นให้เลือก?

หากจะกล่าวให้ชัดๆก็คือ : การกระทำผิดนั้น...เมื่อมีครั้งแรกแล้ว ย่อมต้องมีครั้งต่อๆไป ...

ทั้ง 2 ล้วนส่ายหัวออกมาอย่างช่วยไม่ได้ก่อนที่จะแยกย้ายกลับห้องของตัวอย่างเชื่อฟังเพื่อพักผ่อน

ส่วนต้วนหลิงเทียนเมื่อกลับมานั้น เขาเองก็ไม่ได้ใช้เวลาไปกับการทักทายสตรีทั้ง 3 คนแม้แต่น้อย เขารีบกลับห้องของตัวเองในทันที

ตึง!

เขาหยิบเตาหลอมโอสถออกมา ก่อนที่จะเริ่มหลอมกลั่นโอสถโลหิตมังกรด้วยความเร่งรีบ

และหลังจากที่หลอมกลั่นโลหิตมังกรเสร็จสิ้นแล้ว เขาก็กลืนมันลงไปทันที

และในเวลาเพียงไม่นาน ร่างกายของเขาก็เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง เขาสามารถจบกระบวนการหลอมกลั่นบ่มเพาะร่างกายด้วยพลังงานต้นกำเนิดขั้นที่ 6 อย่างสมบูรณ์ ได้รับความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้น 1 ช้างแมมมอธโบราณ

นี่ย่อมหมายความว่าเรื่องที่เขาต้องกระทำขั้นต่อไปคือ สั่งสมพลังงานต้นกำเนิดเพื่อทลายไปยังระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 7!

"อ่า ในที่สุดข้าก็จะไล่ตามพวกนางทั้ง 2 ได้ทันเสียที" รอยยิ้มเริ่มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของต้วนหลิงเทียน

ตั้งแต่พวกเขาย้ายมาลงหลักปักฐานยังเมืองหลวงชั้นในแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นเค่อเอ๋อหรือลี่เฟย ทังคู่ล้วนมีเวลาวันละไม่ต่ำกว่า 5 ชั่วยามในการบ่มเพาะพลัง อีกทั้งพวกนางยังได้รับโอสถเพิ่มกำเนิดที่มีความบริสุทธิ์สะท้านแดนดินที่ต้วนหลิงเทียนมักหลอมปรุงให้พวกนางอีก

และตอนนี้ทั้งสองนางก็ล้วนตัดผ่านไปยังระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 7 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว!

ทว่าต้วนหลิงเทียนมั่นใจว่าด้วยความเร็วในการบ่มเพาะของเขาตอนนี้ขอเวลาอีกเพียงไม่นานเขาจะไล่ตามรอยเท้าของสตรีที่รักทั้ง 2 ได้ทันอย่างแน่นอน!

"นายน้อยเจ้าค่ะ ได้เวลาอาหารแล้วเจ้าค่ะ" น้ำเสียงน่ารักแจ่มใสดังขึ้นจากหน้าประตู ต้วนหลิงเทียนเดินไปเปิดประตูก็พบว่าเค่อเอ๋อกำลังจ้องมาตาแป๋วท่วงท่าของนางนั้นน่ารักน่าเอ็นดูนัก

ต้วนหลิงเทียนถึงกับอึ้งไปเล็กน้อยเมื่อเห็นเด็กสาวบอบบางตรงหน้าของเขาเต็มไปด้วยความงามสมส่วนถึงเพียงนี้แล้ว

ตอนนี้เค่อเอ๋อหาได้เหมือนกาลก่อนไม่...นางเติบโตแล้ว

เหม่อมองไปยังพวงแก้มขาวนวลลออไม่ต่างอันใดกับหยกบริสุทธิ์ของเค่อเอ๋อ อีกทั้งยังหนั่นเนื้อสวยงามบริเวณหน้าอกของนาง ส่วนล่างของต้วนหลิงเทียนพลันร้อนรุ่มขยับขยายคล้ายกำลังผงาด เนื่องจากเริ่มบังเกิดจิตคิดเรื่องราวเลยเถิดไปเล็กน้อย ...ดูท่าแล้วเขาคงต้องหาเวลามากลืนกินสาวน้อยเค่อเอ๋อด้วยความรักเสียที

"นะ...นายน้อยข้าไปก่อนนะเจ้าคะ ท่านเองก็รีบมานะเจ้าคะ เดี๋ยวอาหารจะเย็นชืด" เค่อเอ๋อสังเกตเห็นถึงแววตาเต็มไปด้วยความปรารถนาของต้วนหลิงเทียน ทำให้ใจของนางสั่นระรัวขึ้นมาราวกลองศึก ใบหน้าของนางพลันแดงระเรื่อขึ้นมา ร่างกายบังเกิดความร้อนรุ่มวูบหนึ่งแล่นผ่านอย่างลี้ลับ รีบจากไปด้วยความเขินอายเพราะชุ่มชื้นขึ้นมาทันที

"อา สาวน้อยนางนี้ยังคงขี้อายนัก" ต้วนหลิงเทียนส่ายหัว ก่อนที่จะเดินตามนางไป

หลังจากเสร็จสิ้นมื้ออาหารค่ำแล้วต้วนหลิงเทียนก็กลับไปยังห้องของเขาและเริ่มเอาเอกสารข้อมูลธุรกิจและผู้ดูแลกิจการต่างๆของตระกูลซูขึ้นมา และเริ่มเปิดดูพวกมันอีกครั้ง

ไม่นานเขาก็สามารถกำหนดเป้าหมายได้

“ซูหยง ผู้ฝึกยุทธ์ระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 6 เป็นลูกพี่ลูกน้องกับซูหนันผู้อาวุโสหลักของตระกูลซู รับหน้าที่เป็นผู้ดูแลควบคุมกิจการร้านโอสถที่ใหญ่ที่สุดของตระกูลซูในเมืองหลวงชั้นใน...ศาลาเมฆากล่อมจิต! ตัวมันมีบุตรชาย 2 คนและนับเป็นบุตรสารเลวที่ไม่ว่าเรื่องชั่วช้าอันใดไม่มีไม่กระทำ และทุกๆครั้งที่พวกมันก่อเรื่องซูหยงเป็นผู้ตามล้างตามเช็ดทุกสิ่งทุกอย่าง ด้วยวิธีการฆ่าล้างตระกูลผู้เสียหายรวมถึงผู้รู้เห็นเหตุการณ์อย่างอำมหิต ทำลายภัยคุกคามจนหมดสิ้น!...”

หลังจากที่อ่านข้อมูลของซูหยง แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนไม่ลังเลที่จะเลือกมันเป็นคู่ค้าครั้งนี้...

และแน่นอนเหตุผลหลักที่เขาเลือกมันเพราะมันมีความสัมพันธ์กับซูหนัน!

เหตุผลรองลงมาย่อมเป็นเพราะการกระทำชั่วช้าสารเลวน่ารังเกียจของมัน

นอกจากจะมีบุตรสารเลวกระทำการโดยไร้ศีลธรรมอันใดทั้งปวงแล้ว มันยังไม่คิดนำพาให้บุตรมุ่งสู่ความดีงาม ซ้ำร้ายยังให้ท้ายส่งเสริมเรื่องระยำอัปรีย์ของบุตรเช่นนี้ ...

ดั่งวลีเก่าครำครึโบราณ :บิดาเป็นเช่นไรบุตรเป็นเช่นนั้น ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นอย่างแท้จริง!

"ในโลกที่ผู้แข็งแกร่งและมีอำนาจเป็นจ้าวเช่นนี้ ...หามีกฎหมายอันใดที่สามารถพิพากษามันได้ดีเท่ากับกำปั้น!"

“สำหรับซูหยงตัวบัดซบนี่ คนในเมืองหลวงย่อมรู้แจ้งเห็นจริง ซึ้งถึงการกระทำของพวกมันบิดาบุตรอย่างดี ... แต่แม้จะเป็นตระกูลราชวงศ์ที่ปกครองอาณาจักรนภาล่องแห่งนี้...กลับกล่าวอ้างว่าไร้ซึ่งหลักฐานไม่อาจจับกุมคนส่งเดช แท้จริงล้วนแล้วแต่เห็นแก่หน้าของตระกูลซูทั้งสิ้น จึงไม่ได้ลงโทษซูหยงและบุตรทั้ง 2 และปล่อยพวกมันกระทำตามใจชอบ...” ถึงแม้ว่าต้วนหลิงเทียนจะไม่ได้กระทำตัวเป็นพระผู้มาโปรดอะไรทำนองนั้น แต่เป็นเพราะเขาตัดสินใจให้ตระกูลซูได้ลิ้มรสชาติของการล่วงเกินเขา และแน่นอนคนอย่างเขานั้นไม่คิดเมตตาปราณีเป็นแน่

"พวกเจ้าร้องทุกข์กันในนรกแล้วกัน ถือซะว่าพวกเจ้าโชคร้ายเอง ที่ตระกูลพวกเจ้ากล้าหาเรื่องข้า หากพวกมันไม่มาวุ่นวายอะไรข้าคงไม่สนใจเศษสวะอย่างพวกเจ้า" ต้วนหลิงเทียนเสร็จสิ้นการจดจำข้อมูลสำคัญของเป้าหมายแล้ว ก็เดินออกจากห้อง

ดึกสงัดในยามราตรีของเมืองหลวงนี้ ช่างเงียบสงบ ซ้ำมันยังมืดจนแทบมองไม่เห็นแม้กระทั่งมือตัวเอง

บริเวณทางด้านทิศเหนือของเมืองหลวงชั้นใน เป็นเขตที่พักขนาดใหญ่ และมีเขตที่พักแห่งหนึ่งที่กว้างใหญ่กินบริเวณกว้างไม่น้อย

แสงโคมเทียนในตัวบ้านล้วนดับลงแทบหมดสิ้นเห็นได้ชัดว่าผู้คนล้วนจมอยู่ในนิทรากันหมดสิ้นแล้ว

ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!

สามร่างไม่หลับนอนคล้ายนกฮูกพุ่งผ่านลานบ้านไปด้วยความเร็วสูงซ้ำยังเงียบงันไร้ซึ่งเสียงฝีเท้า ทั้งสามร่างกระโดดข้ามกำแพงก่อนที่จะเข้าไปในตัวบ้านชั้นใน

"ไปกันเถอะ!" ภายใต้แสงจันทร์ที่ส่องลงมาวูบหนึ่งร่างของคนที่นำขบวนเผยออกมาให้เห็นเล็กน้อย ใบหน้าถูกปกคลุมไปด้วยโม่งสีดำ อีกทั้งชุดเองก็เป็นสีดำ กลมกลืนไปกับความมืดรอบด้านยากมองเห็น

และแน่นอนนี่คือต้วนหลิงเทียน!

เป้าหมายของเขาในค่ำคืนนี้คือ ซูหยงแห่งตระกูลซู

ซูหยงไม่ได้อาศัยอยู่ในเขตที่พักของตระกูลซู มันเลือกที่จะซื้อบ้านสวนนอกเขตที่พักของตระกูลซู อาศัยอยู่กินกับเหล่าภรรยา เสวยสุขผ่านคืนวันด้วยความสำราญชื่นมื่น

ภายใต้การนำของต้วนหลิงเทียนจางเฉวียนและจ้าวกัง ที่สวมชุดสีดำปิดหน้าปิดตาได้ตามหลังต้วนหลิงเทียนไปอย่างเงียบๆ

เมื่อแสงจันทร์ส่องลงมาอีกครา สามารถเห็นถึงแววตาช่วยไม่ได้ราวกับจนใจของพวกมันได้ชัดเจน

แม่ทัพนายกองบุกตะลุงเช่นพวกมัน เคยกระทำการลับๆล่อๆเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?

"นายน้อย จากที่ข้ารู้มา...ซูหยงผู้นี้มีระดับบ่มเพาะเพียงวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 6 เท่านั้น เหตุใดพวกเราไม่บุกเข้าไปตรงๆแล้วสังหารมันเสียไม่ต้องสิ้นเปลืองเวลากระทำการเช่นนี้?" จางเฉวียนกล่าวถามออกมา

ถึงแม้ว่าจ้าวกังจะไม่ได้กล่าววาจาแต่มันก็พยักหน้าเป็นเชิงว่าเห็นด้วย

มุมปากของต้วนหลิงเทียนกระตุก

ไปๆมาๆทำไมเขารู้สึกว่าสองคนที่ติดตามมานี่เริ่มโหดร้ายกว่าเขาแล้วเล่า วันแรกมันยังหวาดกลัวตระกูลซูเสียขี้ขึ้นหัว?

"บุกไปตรงๆ สังหารซึ่งๆหน้า?" ต้วนหลิงเทียนหัวเราะออกมาเบาๆ "ถ้าพวกเราบุกไปซึ่งๆหน้าโดยตรงแล้วจัดการมันอย่างตรงไปตรงมา แล้วจะแตกต่างอะไรกับการที่ข้าต้องมาด้วยเช่นนี้ ...นี่พวกเจ้าลืมไปแล้วหรือไรว่าพวกเจ้าได้รับคำสั่งให้ติดตามข้าเพื่ออะไร? ... "

จางเฉวียนและจ้าวกังเข้าใจได้โดยพลัน ที่แท้นายน้อยกำลังฝึกพวกมันอยู่...

"จำไว้ เป้าหมายหลักคือ ซูหยง อย่าได้เข่นฆ่าเลอะเลือน..." ต้วนหลิงเทียนนำจางเฉวียนและจ้าวกังมาถึงตัวตึกหลักและลอบเข้ามาจนถึงห้องนอนด้านในสุด

ต้วนหลิงเทียนซัดฝ่ามือทำลายกลอนล็อคประตู

ปัง!

ประตูถูกต้วนหลิงเทียนผลักเปิดออกโดยพลัน

"ผู้ใดกัน?!" ทันใดนั้นเองเสียงดังคำรามพลันก้องกังวานขึ้นจากภายในห้อง แสงสว่างถูกจุดขึ้นมาทันที ทั่วทั้งห้องพลันสว่างไสวขึ้นมา

ชายวัยกลางคนที่เปลือยกายล่อนจ้อนในตอนแรกพลันรีบหยิบเสื้อคลุมที่หัวเตียงมาปกคลุมร่างกาย ก่อนที่จะกระโดดลงจากเตียงในพริบตา มันเบิกตา 3 เหลี่ยมออกมากว้าง ก่อนที่จะจ้องไปยังกลุ่ม 3 คนของต้วนหลิงเทียนที่สวมชุดโม่งสีดำปกปิดทุกส่วนตาเขม็ง "พวกเจ้าเป็นผู้ใดกัน?"

"อ๊า!" หญิงสาวที่มีอายุราว 20 ปีรีบคลานไปอยู่มุมเตียงด้านหนึ่งด้วยความหวาดกลัว นางได้แต่ดึงผ้าห่มมาปกปิดร่างเปลือยเปล่าของนาง

"ฆ่ามัน!" แววตาของต้วนหลิงเทียนจับจ้องไปยังเป้าหมายอย่างไม่คลาดสายตา ก่อนที่จะกล่าวคำสั่งประหารออกมาด้วยน้ำเสียงแหบต่ำ

จางเฉวียนและจ้าวกงไม่คิดรีรอ พวกมันเดินตรงไปยังชายวัยกลางคนด้วยท่าทางองอาจราวกับจะก้าวผ่านชั้นฟ้า

1เหนือศีรษะแต่ละคนฉายชัดออกมาถึงเงาร่างช้างแมมมอธโบราณ 1,000 ตัว... .

"บัดซบผู้ฝึกยุทธ์ระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 7 ถึง 2 คน!"ชายวัยกลางคน หรือกล่าวให้ชัดก็คือ ซูหยง สีหน้าของมันพลันเปลี่ยนเป็นซีดเผือดสภาวะต่อสู้หดหายไปในพริบตา มันตระหนักได้ว่าผู้มาไม่ได้คิดนั่งจิบชากับมันพร้อมรอยยิ้มแน่นอน

สายตาของมันเบนหาหน้าต่างที่อยู่ใกล้ๆทันที ไวเท่าห้วงคิดร่างของมันปราดไปทำลายหน้าต่างเสียงดังลั่น ก่อนที่จะพุ่งตัวออกไป

เหนือศีรษะของมันฉายชัดออกมาถึงเงาร่างช้างแมมมอธโบราณ 800 ตัว ...

ม่านตาของจางเฉวียนจ้าวกังหดแคบลง ก่อนที่สองขาจักรผันไหวร่างพุ่งตามติดไปดั่งเส้นแสง

"ได้โปรด ... อย่าฆ่าข้าน้อยเลยเจ้าค่ะ!" เมื่อนางเห็นต้วนหลิงเทียนกำลังเดินเข้ามาสีหน้าและท่าทางของหญิงสาวพลันหวาดกลัวจนร่ำร้อง ตัวของนางสั่นราวลูกนก นางทำได้เพียงขดตัวลงที่มุมเตียงแล้วกล่าวอ้อนวอนออกมาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหวาดผวา

Copyright © 2019 spoilsoc.com All rights reserved.