spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
*ตั้งค่าถาวร (คลิกตั้งค่าถาวร) |
ทั้ง 2 คนพยักหน้าออกมา พร้อมทั้งบนสีหน้าเริ่มฉายชัดออกมาถึงรอยยิ้มเต็มไปด้วยความสุขและโหยหา ดูเหมือนยามนี้พวกมันจะนึกถึงภรรยารวมทั้งครอบครัวที่บ้านเสียแล้ว
หลังจากที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามออกไปอีกสักครู่ก็พบว่า ที่แท้ครอบครัวของพวกมันก็อาศัยอยู่ที่จวนเจ้าพระยาเช่นกัน
หลังจากที่นำทั้ง 2 มาถึงบ้าน ต้วนหลิงเทียนก็เรียกชิ่งหรูออกมา "ชิ่งหรู เจ้าให้เด็กๆไปทำความสะอาดห้องให้พวกเขาทั้ง 2 คนหน่อยสิ ตั้งแต่วันนี้พวกเขาจะมาอยู่บ้านของเราด้วย"
"ได้ค่ะนายน้อย" หลังจากที่ชิ่งหรู จากไปเพื่อทำหน้าที่ สีหน้าของต้วนหลิงเทียนก็เคร่งขรึมขึ้น เขาหันไปจ้องทั้ง 2 ด้วยสายตาจริงจังและเอ่ยปากออกมา "นอกเหนือจากข้ากับเจ้าทั้ง 2 คนและคนในบ้านนี้ ข้าหวังว่าคงไม่มีผู้ใดแม้แต่พระยา ค้นพบที่ตั้งของบ้านหลังนี้ ... พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่?"
"เข้าใจขอรับนายน้อย" จางเฉวียนกับจ้าวกังนั้นเป็นทหาร แน่นอนว่าพวกมันรักษาวินัยอย่างเคร่งครัด และเมื่อพวกมันเป็นคนของต้วนหลิงเทียนแล้วแน่นอนว่าพวกมันยึดถือคำสั่งของต้วนหลิงเทียนเป็นที่สุดนับจากวันนี้ไปจนครบปี
"ในอนาคต เจ้าทั้ง 2 จะต้องอยู่ที่บ้านหลังนี้ 3 วัน และสามารถกลับไปยังจวนเจ้าพระยาได้ 1 วัน... นอกจากนั้นในช่วงที่ข้าอยู่ในสถาบันบ่มเพาะขุนพล พวกเจ้าสามารถกลับไปหาครอบครัวพวกเจ้าได้ แต่พวกเจ้าต้องออกมารอข้านอกสถาบันบ่มเพาะขุนพลในช่วงหัวค่ำ" ต้วนหลิงเทียนกล่าวสั่งออกมาอย่างต่อเนื่อง
"ขอบคุณมากขอรับ นายน้อย" จางเฉวียนและจ้าวกังนั้นได้ทำใจที่จะแยกจากครอบครัวเอาไว้แล้วเป็นเวลา 1 ปีเต็ม แต่พวกเขาไม่เคยคิดแม้สักครั้งแม้ยามหลับฝันก็ตาม ว่าต้วนหลิงเทียนจะเข้าใจหัวอกพวกเขาเช่นนี้ ...ภายในใจของพวกเขาบังเกิดความสำนึกในบุญคุณนี้ขึ้นมา
ไม่นานหลังจากนั้นชิ่งหรูก็สั่งให้คนรับใช้ทำความสะอาดของห้องจางเฉวียนและจ้าวกังเสร็จสิ้น แล้วต้วนหลิงเทียนก็ปล่อยให้พวกมันไปพักที่ห้องของพวกมัน ก่อนที่จะเดินไปยังล้านบ้านด้านหลัง
"ตัวเลวร้าย 2 คนที่เจ้านำกลับมาด้วยเป็นผู้ใดกันหรือ?" ลี่เฟยกล่าวถามซอกแซกออกมา
"พวกเขาเป็นคนของท่านลุงนี่ ที่ข้ายืมมาใช้งานน่ะ" ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมาพร้อมยิ้มบางๆ
ลี่เฟยพยักหน้ารับคำเบาๆ และไม่ได้สนใจอะไรอีก นางย่อมเข้าใจเป็นอย่างดีว่าต้วนหลิงเทียน มีเหตุผลของเขา
หลังจากนั้นต้วนหลิงเทียนก็อยู่สนทนากับสตรีทั้ง 3 จนมืดค่ำก่อนที่จะกลับห้องไป
เขาหยิบเอกสารข้อมูลที่ฝากพระยานี่เหวี่ยหามาให้ขึ้นมาดูทันที
นี่เป็นข้อมูลธุรกิจทั้งหมดของตระกูลซู ที่อยู่ในเมืองหลวง อีกทั้งยังมีข้อมูลของผู้ดูแลธุรกิจเหล่านั้นอย่างละเอียด
ต้วนหลิงเทียนนั้นอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจขึ้นมาเมื่อนั่งอ่านข้อมูลต่างๆ "อย่างที่คิดไว้ไม่ผิดว่า 1 ใน 3 ตระกูลใหญ่แห่งเมืองหลวงนี้มันต้องไม่ธรรมดา ธุรกิจของพวกมันช่างกระจายไปทั่วนัก ไม่ว่าเมืองชั้นนอกหรือชั้นในล้วนมีกิจการของพวกมันเปิดอยู่ทั้งสิ้น ...โรงเตี๊ยม, ร้านอาวุธ, ร้านโอสถ, เหลาอาหาร...ทุกอย่างที่จำเป็นล้วนเป็นหนึ่งในธุรกิจห้างร้านของพวกมันแทบทั้งสิ้น "
"นอกจากนั้นแล้วทุกคนที่เป็นผู้ดูแลกิจการเหล่านี้ยังมีระดับบ่มเพาะระดับวิญญาณแรกก่อตั้ง"
สักพักต้วนหลิงเทียนก็จับจ้องไปยังข้อมูลของบุคคนหนึ่งที่เขารู้สึกสนใจ
"ซูเลี่ย ระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 3 หลานชายของผู้อาวุโสหลักซูหนันแห่งตระกูลซู มันรับผิดชอบดูแล โรงเตี๊ยม เกษมสำราญของตระกูลซู เรื่องราวที่มันชื่นชอบที่สุดคือร่วมอภิรมย์กับหญิงชาวบ้านธรรมดาในรูปแบบของการข่มขืน ...ซ้ำยังชอบข่มขืนจนสตรีตกตาย เคยฆ่าล้างตระกูลของคนธรรมดาไปถึง 7 ตระกูลเพื่อแย่งชิงสตรี... "
ในขณะที่อ่านถึงตรงนี้แววตาของต้วนหลิงเทียนก็เรืองวูบขึ้นมาด้วยความอำมหิต เขากล่าวออกมาอย่างเย้ยหยันว่า “ไม่ผิดตัวอย่างแน่นอน อุบาทว์ทั้งลุงทั้งหลานเช่นนี้ ...เอาไอ้บัดซบนี่คนแรกก็แล้วกัน”
หลังจากที่จดจำข้อมูลที่จำเป็นครบถ้วนแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็เก็บเอกสารข้อมูลกลับลงแหวนมิติ ก่อนที่จะเดินออกจากห้องของเขาไปยังล้านกว้างด้านหน้า ต้วนหลิงเทียนเรียกจางเฉวียนกับจ้าวกังออกมา ก่อนที่จะนำพาพวกมันติดตามออกจากบ้านไป
ยามดึกสงัดนั้นช่างวังเวง บนถนนหนทางไร้ผู้คนสัญจร
ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็นำทั้ง 2 ไปหยุดอยู่ด้านข้างโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง
"นายน้อยท่านพาพวกข้ามาทำอันใดที่นี่หรือขอรับ?"จางเฉวียนสงสัยเล็กน้อย
"ฆ่าคน!" สายตาของต้วนหลิงเทียนเต็มไปด้วยความเย็นชา
จางเฉวียนและจ้าวกังพลันสูดลมหายใจเข้าด้วยความหนาวเหน็บ เด็กหนุ่มอายุเพียงเท่านี้ เหตุใดจึงเอ่ยเรื่องการสังหารผู้คนออกมาได้อย่างสงบไร้เรื่องราว ราวกับคีบผักเช่นนี้กัน?
ถึงแม้ว่าพวกเขาเองก็สังหารเข่นฆ่าชีวิตผู้คนไปมากมายในสนามรบ แต่จะอย่างไรนั่นมันก็เป็นในสนามรบ หาได้เหมือนกันกับการสังหารผู้คนในเมืองหลวงเช่นนี้ไม่ มันมีความแตกต่างกันอย่างใหญ่หลวง
"ดูเหมือนโรงเตี๊ยมนี้จะเป็น หนึ่งในธุรกิจของตระกูลซู"ม่านตาของจางเฉวียนหดแคบลงเล็กน้อย
"ไปกันเถอะ!" ต้วนหลิงเทียนพาพวกเขาเดินเลียบกำแพงเพื่อหาจุดเหมาะสม ก่อนที่จะพาพวกเขาปีนขึ้นไปบนหลังคาโรงเตี๊ยม
จางเฉวียนและจ้าวกังเองก็ติดตามเขาไปอย่างเชื่อฟัง
หลังจากที่ใช้เวลาค้นหาอยู่ครู่หนึ่ง ต้วนหลิงเทียนก็สามารถยืนยันที่ตั้งของเป้าหมายครั้งนี้ได้อย่างชัดเจน เขารีบมุ่งหน้าไปเหนือหลังคาห้องที่เป้าหมายอยู่ทันที
"อย่า ...ได้โปรด ... เมตตาข้าน้อยด้วยเถิดเจ้าค่ะ ... อย่าทำข้าน้อยเลย ... " เสียงอิสตรีกรีดร้องอ้อนวอนดังขึ้นมาจากภายในห้อง
ต้วนหลิงเทียนค่อยๆแกะกระเบื้องมุงหลังคาก่อนที่จะนำมันออกอย่างเบามือ เพื่อดูสถานการณ์ภายในห้องให้ชัดแจ้ง
ภายในห้องมีบุรุษร่างใหญ่โตมหึมาอ้วนท้วนสมบูรณ์ทุกส่วนเต็มไปด้วยเนื้อไขมัน กำลังพยายามทำร้ายและรังแกสตรีร่างเล็กที่มีรูปโฉมค่อนข้างดีแต่งตัวธรรมดา เห็นได้ชัดว่านางคงเป็นเพียงชาวเมืองธรรมดาและไม่เต็มใจมาที่แห่งนี้ นางทำได้เพียงพยายามดิ้นรนขัดขืนสุดชีวิตอย่างไร้ความหมาย
"อีนังแพศยา เล่นตัวนักนะ!" ทันใดนั้นก้อนเนื้อขนาดใหญ่โตหมดสิ้นความอดทน มันถีบร่างสตรีบอบบางนั้นจนกระเด็นไปกระแทกผนังอย่างแรง ลมหายใจสุดท้ายของนางค่อยๆดับไปอย่างไม่ยินยอม 1 ชีวิตไม่เดียงสาจบสิ้นลงอย่างน่าเวทนา
ต้วนหลิงเทียนและแม่ทัพอีก 2 คนไม่คาดคิดเลยสักนิดว่าจะมาเห็นภาพเหตุการณ์เช่นนี้
ถึงแม้ว่าต้วนหลิงเทียนจะมีโทสะขึ้นมาไม่น้อยแต่เขายังคงสงบนิ่งและสงวนท่าทีเอาไว้ไม่ผลีผลามวู่วาม
"ชาติชั่ว!" อย่างไรก็ตามแม่ทัพทั้ง 2 คนที่ใช้ชีวิตอย่างมีเกียรติยศและศักดิ์ศรีมาตลอด และมีประสบการณ์เข่นฆ่าสังหารศัตรูมากมายในสนามรบกลับกราดเกรี้ยวจนไม่อาจทานทนได้ พวกเขาคำรามออกมาด้วยน้ำเสียงแหบต่ำสีหน้าของพวกเขาคล้ำลงด้วยอำมหิต
"ใคร?" ก้อนเนื้อชั่วๆในห้องพลันได้ยินเสียงและรังสีอำมหิต ทันใดนั้นมันพลันแหงนหน้าขึ้นมาด้านบน ก่อนที่จะพบว่ากระเบื้องมุงหลังคาถูกนำออกไปแผ่นหนึ่ง
"เจ้าสองคนนี่... เฮ่อ...ให้มันได้ยังงี้สิ... " ต้วนหลิงเทียนมองไปยังจางเฉวียนและจ้าวกังก่อนที่จะส่ายหัวออกมาอย่างอ่อนใจ พร้อมกล่าวว่า "ดูเหมือนว่าบทเรียนแรกที่ข้าจะสั่งสอนพวกเจ้าคงไม่พ้น ต้องเป็นเรื่องควบคุมอารมณ์แล้วล่ะ... เอาล่ะๆ จะอย่างไรตอนนี้เป้าหมายก็รู้ตัวเพราะความสะเพร่าของพวกเจ้า ข้าก็จะให้พวกเจ้าจัดการมันด้วยตัวเองแล้วกัน" ต้วนหลิงเทียนกล่าวจบก็ผายมือออกราวกับเขาต้องสั่งเช่นนี้ออกมาเพราะช่วยไม่ได้
จางเฉวียนกับจ้าวกังนั้นรอคำสั่งนี้ของต้วนหลิงเทียนมานานแล้ว แทบจะทันทีที่ต้วนหลิงเทียนกล่าววาจาจบคำ ขาของพวกเขาก็กระทืบหลังคาจนพัง ทิ้งตัวลงไปในห้องอย่างรวดเร็ว
ต้วนหลิงเทียนเองก็ตามลงมาด้วยเช่นกัน
"หัวขโมยสวะเช่นพวกเจ้ามาจากที่ใดกัน เจ้ากล้าขึ้นบ้านนายน้อยผู้นี้ได้อย่างไร ก่อนออกปล้นเจ้ามิได้สืบเรื่องราวก่อนงั้นรึ? รู้หรือไม่ว่าน้อยน้อยผู้นี้เป็นผู้ใด?" ตัวบัดซบสารเลวเต็มไปด้วยก้อนเนื้ออุบาทว์ หรือซูเลี่ยหลานชายคนหนึ่งของอาวุโสหลัก ได้แสดงท่าทางโอหังออกมาต่อหน้าของกลุ่มต้วนหลิงเทียนทั้ง 3 คน
"อย่างไรก็ตาม ในเมื่อพวกเจ้ามาแล้วก็ตายอยู่ที่นี่แล้วกัน!" ไขมันบ่นร่างซูเลี่ยกระเพื่อมเล็กน้อย ก่อนที่เงาร่างช้างแมมมอธโบราณจะปรากฏเหนือศีรษะมัน 400 ตัว อันหมายความว่าตัวมันเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 3 มันเคลื่อนร่างอ้วนท้วมกระโจนเข้าหากลุ่มต้วนหลิงเทียนด้วยความดุร้าย
ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ!
ซูเลี่ยสะบัดฝ่ามืออ้วนกลม 3 ครั้งติดต่อกัน ส่งกระบวนท่าฝ่ามือที่ควบแน่นพลังงานต้นกำเนิดจนมีสภาพ ซัดใส่กลุ่มของต้วนหลิงเทียนทั้ง 3 คน
"สวะ!" จางเฉวียนและจ้าวกังพลันลงมืออย่างพร้อมเพรียง เงาร่างช้างแมมมอธโบราณเหนือศีรษะของพวกเขาพลันฉายชัดออกมาคนละ 1,000 ตัว...ช้างแมมมอธโบราณถึง 2,000 ตัวลอยเด่นกลางนภาด้วยท่วงท่าสง่าราวกับจะกระทีบทลายชั้นฟ้า!
"อะไร ผู้ฝึกยุทธ์ระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 7 ทั้ง 2 คน?" ซูเลี่ยตกตะลึงพรึงเพริด ตอนแรกมันคิดว่าทั้ง 3 เป็นเพียงโจรกระจอกโง่งม ที่หาญกล้ามาปล้นผิดบ้าน แต่ไม่คิดเลยว่าในกลุ่มจะมีผู้ฝึกยุทธ์ระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 7 อยู่ถึง 2 คนเช่นนี้ สีหน้าของมันเปลี่ยนเป็นซีดเผือดท่าทางมันเปลี่ยนเป็นหวาดกลัว
“พวกเจ้าเป็นใครกันแน่?” ซูเลี่ยกล่าวถามออกมาอย่างร้อนรน
แต่น่าเสียดายที่มันไม่ได้รับคำตอบ แต่กลับได้รับโทสะอันเกรี้ยวกราดของจางเฉวียนและจ้าวกังแทน ....
หลังจากสลายพลังงานต้นกำเนิดที่เกิดจากการฟาดตบฝ่ามือของซูเลี่ยทั้ง 3 ลงได้อย่างง่ายดาย กระบวนท่าสังหารที่รวดเร็วดุดันของสองแม่ทัพก็พุ่งไปซัดร่างของซูเลี่ยด้วยความเร็วสูง
ร่างที่เต็มไปด้วยไขมันของซูเลี่ยพลันดิ้นพล่านก่อนที่จะจบชีวิตลงอย่างรวดเร็ว
ต้วนหลิงเทียนเองก็เดินเข้าไปอย่างไร้อารมณ์หยิบแหวนมิติบนนิ้วของซูเลียขึ้นมาก่อนจะสร้างพันธะครอบครองทันที
เมื่อเห็นกองตั๋วเงินในแหวนมิติ ประกายตาของต้วนหลิงเทียนก็เรืองวูบออกมาด้วยความพอใจ ก่อนที่จะกล่าวออกมาด้วยเสียงพึมพำ "ตั๋วเงินและแท่งเงินนี้คงมีมูลค่ารวมกันราว 7 -8 ล้านเหรียญเงินเห็นจะได้ ... ไม่เลวนัก"
"7... 7 หรือ 8 ล้านเหรียญเงิน?" จางเฉวียนและจ้าวกังพลันตกตะลึง
"นายน้อยขอรับ ไออ้วนบัดซบนี้เป็นผู้ใดกันแน่?" ขางเฉวียนพลันกลืนน้ำลายอึกใหญ่ สังหรณ์อันตรายพลันตั้งเค้าลางขึ้นในใจ
"อะไร? เจ้าไม่รู้ว่ามันเป็นใคร แต่เจ้ายังลงมือทุบตีมันจนตายอีกงั้นหรือ?" ต้วนหลิงเทียนพูดไม่ออก
"แต่ก็ดี เพราะจะยังไงเป้าหมายที่ข้ามาที่นี่แต่แรกก็เพื่อสังหารมันอยู่แล้ว... ไออ้วนนี่เรียกว่าซูเลี่ยเป็นผู้ดูแลกิจการโรงเตี๊ยมแห่งนี้ ส่วนตัวตนของมันนั้นก็...เป็นทายาทสายหลักของตระกูลซู อีกทั้งยังเป็นหลานชายคนหนึ่งของซูหนัน ผู้อาวุโสหลักตระกูลซู" ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมารวดเดียวโดยไม่พักหายใจอย่างไม่แยแส พร้อมยักไหล่
สีหน้าของจางเฉวียนและจ้าวกังพลันซีดลงลง ... สาวกสายหลักของตระกูลซู!
สวรรค์ช่วย ต่อให้เป็นท่านพระยาเองก็คงไม่กล้าเข่นฆ่าสาวกสายหลักของตระกูลซูเช่นนี้ ใช่หรือไม่?
"อะไรกัน พวกเจ้า 2 คนไม่ได้คิดว่ามันสมควรตายหรอกหรือ?"ต้วนหลิงเทียนสังเกตเห็นสีหน้าแปลกๆของทั้ง 2 คนก่อนจะเอ่ยขึ้นมา ดูเหมือนตอนนี้ทั้ง 2 คนจะลืมโทสะก่อนที่จะลงมือสังหารมันอย่างดุร้ายแล้วใช่หรือไม่?
“ท่านผู้ดูแลเกิดอันใดขึ้นหรือไม่?” ทันใดนั้นเองมีเสียงหนึ่งดังขึ้นและดูเหมือนกำลังเดินมาทางนี้อีกด้วย
"ถ้าพวกเจ้าไม่อยากถูกผู้ใดพบตัวรีบหนีเร็วเข้า!" ต้วนหลิงเทียนตวาดจางเฉวียนและจ้าวกังก่อนจะจับจ้องพวกมันด้วยแววตาจริงจัง และรีบกระโดกลับขึ้นหลังคาและหลบหนีไปทันที
จางเฉวียนและจ้าวกังเองก็ไม่กล้าลังเล พวกมันรีบติดตามต้วนหลิงเทียนหลบหนีไปทันที
หากพวกมันปล่อยให้คนของตระกูลซูรู้ว่าพวกมันเป็นคนสั่งหารซูเลี่ยแล้วล่ะก็ แม้แต่พระยาเองก็ไม่อาจช่วยเหลืออะไรพวกมันได้
เพราะนี่มันเป็นถึงสาวกสายหลักของตระกูลซู!
ตระกูลใหญ่อย่างตระกูลซูขึ้นชื่อเรื่องการรักษาหน้าตามากที่สุด การฆ่าสาวกสายหลักตระกูลซูคาบ้านเช่นนี้ แทบไม่ต่างอะไรกับการตบหน้าตระกูลซูฉาดใหญ่
หลังจากหลบหนีออกจากโรงเตี๊ยมและผ่านไปหลายถนน ต้วนหลิงเทียนก็หยุดร่างลง
"เป็นอย่างไรเล่า รู้สึกพอใจหรือไม่ ที่ได้ฆ่าเศษสวะรกแผ่นดิน?" ต้วนหลิงเทียนยิ้มกว้างในขณะที่มองทั้ง 2 คน
"มันก็น่าพอใจอยู่หรอกขอรับ ...แต่จะอย่างไรก็ตาม มันเป็นถึงสาวกสายหลักของตระกูลลี่ หากพวกมันค้นพบว่าพวกเราเป็นผู้ลงมือแล้ว พวกเราต้องจบสิ้นอย่างแน่นอน!" จางเฉวียนเพียงเผยยิ้มขมขื่นออกมา เขารู้สึกเริ่มแสดงท่าทางเสียใจออกมาไม่น้อย หลังจากที่เลือกออกจากจวนเจ้าพระยาติดตามชายหนุ่มคนนี้มา ...ยังไม่ทันไรเขาก็ลงมืออุกอาจสังหารผู้คน นำภัยร้ายแรงมาสู่ตัวเสียแล้ว ทั้งๆที่ยังไม่ได้เรียนทักษะอันใดทั้งสิ้น
แม้ว่าจ้าวกังจะไม่ได้กล่าววาจาอันใดออกมา แต่สีหน้าทาทางของมันคงไม่พ้นกำลังคิดเห็นเช่นเดียวกันกับจางเฉวียน
“เจ้ากล่าวออกมาเอง ว่าหากพวกมันรู้ เช่นนั้นพวกเราก็อย่าให้มันรู้เสียก็สิ้นเรื่อง” ต้วนหลิงเทียนถึงกับเหวอแทบกล่าวคำไม่ออก สมองของพวกมันผิดปกติหรือไม่ เหตุใดทัศนคติมันตื้นเขินเช่นนี้?
ปับ!
ต้วนหลิงเทียนยกมือขึ้นมาก่อนที่จะหยิบตั๋วเงินออกจากแหวนมิติ และแบ่งมันเป็น 2 กอง ส่งให้ทั้ง 2 คน "คืนนับว่าได้กำไรไม่เลว ..นี่ 2,000,000 เหรียญเงิน พวกเจ้าแบ่งไปคนละ 1,000,000 เหรียญเงิน!"
1,000,000 เหรียญเงิน?
จางเฉวียนและจ้าวกังถึงกับสะอึกตาค้างราวกับตัวโง่งม
พวกมันเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับวิญญาณแรกก่อตั้ง ซ้ำยังหาได้เป็นคนธรรมดาแต่เป็นถึงแม่ทัพ! ทว่าทรัพย์สมบัติและความมั่งคั่งที่พวกมันเก็บหอมรอมริบมาเกือบครึ่งชีวิตจากกองทัพ ยังมีเพียงไม่กี่แสนเหรียญเงินเท่านั้น
แต่ตอนนี้พวกมันพึ่งสังหาร ก้อนเนื้ออุบาทว์ชาติชั่วสมควรตายสถานะไม่ธรรมดาไปคนเดียว พวกเขากลับทำเงินได้มากมายขนาดนี้
ทั้ง 2 คนต่างกำลังสงสัยว่าหลับฝันอยู่หรือไม่!
อย่างไรก็ตามทั้ง 2 คนไม่กล้ารับเงินต้วนหลิงเทียนและผลักมันกลับไป "นายน้อยพวกเราไม่อาจรับเงินก้อนนี้ได้"
ต้วนหลิงเทียนนั้นไม่สนใจท่าทางอะไรของพวกมันเขาผลักเงินไปและจับยัดใส่มือ ก่อนที่จะกล่าวออกมาราวกับรำคาญ "อย่าลีลารีบรับเงินแล้วเอาไปเก็บ เรื่องราวในคืนนี้นับว่าเป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น ข้านายน้อยสัญญาว่าหากพวกเจ้ายังติดตามข้านายน้อยอยู่แล้วล่ะก็ ในอนาคตพวกเจ้าต้องได้รับผลตอบแทนมหาศาล! "
ค่ำคืนนี้เพียงการเริ่มต้น?
จางเฉวียนและจ้าวกังถึงกับร้องไม่ออก ตอนนี้พวกมันรู้สึกชีวิตต้องมาพัวพันเรื่องราวใหญ่หลวงแล้ว...