spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
*ตั้งค่าถาวร (คลิกตั้งค่าถาวร) |
"แต่ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ข้าขอตัวก่อนแล้วกัน" แล้วต้วนหลิงเทียนก็หันหลังเดินจากไปทันทีหลังจากกล่าววาจาจบ
"ใครอนุญาตให้เจ้าไป" ทว่าทันใดนั้นเองน้ำเสียงไม่แยแสขององค์ชาย 5 พลันดังขึ้นมาอีกครั้ง
ต้วนหลิงเทียนเองก็รั้งฝีเท้าเอาไว้ทันที... เขาเริ่มอยากจะรู้ขึ้นมาแล้ว ..ว่าองค์ชาย 5 มันคิดจะทำอะไร?
"คุกเข่าลง แล้วโขกหัวขอขมา 3 ครั้ง... กระทำแล้วข้าจะไม่ถือสาหาความเรื่องราวความขัดแย้งระหว่างน้องสาวข้า กับเจ้าก่อนหน้านี้อีกต่อไป" น้ำเสียงขององค์ชาย 5 ดังขึ้นมาจากในรถม้า และยังคงสงบไร้เรื่องราวไร้อารมณ์ใดๆ
คุกเข่า โขกหัวขอขมา?
สีหน้าของต้วนหลิงเทียนเริ่มมีน้ำโหขึ้นมาเล็กน้อย ประกายตาเขาเริ่มเย็นชาลง..
"ท่านพี่ข้าไม่ต้องการให้มันขอขมาอันใด ข้าอยากให้มันตาย!!" น้ำเสียงเย็นชาของถงลี่ดังขึ้นจากในรถม้า จากน้ำเสียงของนางดูเหมือนนางจะยืนกรานให้ต้วนหลิงเทียนตาย ไม่รับคำขอขมาใดๆทั้งสิ้น!
"ปัญญาอ่อนทั้งคู่!" ต้วนหลิงเทียนหัวเราะออกมา ก่อนที่จะเดินต่อ
"ต้วนหลิงเทียน! หากเจ้ากล้าเดินจากไป รับรองว่าเจ้าจักต้องเสียใจ" เสียงองค์ชาย 5 ดังขึ้นมาอีกครั้ง
"เสียใจ? ฮ่าๆ ข้าต้วนหลิงเทียน ไม่เคยมีคำว่าเสียใจอยู่ในหัว!" สีหน้าของต้วนหลิงเทียนเริ่มแสยะยิ้มออกมา เขาเบื่อจะกล่าววาจากับพวกพี่น้องปัญญาอ่อนนี่
ใต้เข่าของบุรุษดั่งทองคำนับพันชั่ง คนอย่างเขาเพียงคุกเข่าให้โลก สวรรค์ และบุพการีเท่านั้น!
แม้แต่องค์ราชา ราชันย์ หรือจักรพรรดิ เขายังไม่คิดคุกเข่าให้พวกมัน นับประสาอะไรกับ องค์ชาย 5!
"โอหัง" สีหน้าของชายชราคิ้วขาวเต็มไปด้วยความดุร้าย กลิ่นอายอำมหิตและจิตสังหารเริ่มแผ่ซ่านออกมา ดูเหมือนตอนนี้มันคิดพุ่งมาจับตัวหลิงเทียนไปทรมานและฆ่าให้ตาย
ต้วนหลิงเทียนรั้งเท้าเอาไว้ ก่อนที่จะหันกลับมา แววตาของเขาเริ่มเย็นชาลง มุมปากบังเกิดรอยยิ้มลี้ลับ
หากไอแก่คิ้วหงอกนี่ขยับอีกก้าวเดียว เขาจะใช้อาคมกร่อนกระดูกฆ่ามัน ก่อนที่มันจะได้ทันเสียใจด้วยซ้ำ!
"ผู้เฒ่าไป๋, เราไปกันเถอะ" น้ำเสียงองค์ชาย 5 พลันดังขึ้นอีกครั้ง ทว่าคราวนี้ดูเหมือนจะแฝงความเย็นชาเอาไว้
ชายชราคิ้วขาวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนที่จะระบายออกมา มันระงับโทสะในหัวใจ ก่อนที่จะกลับไปบังคับม้าอีกครั้ง
ภายในรถ
ถงลี่นั่งหน้าบึ้ง เห็นได้ชัดว่านางเต็มไปด้วยความไม่พอใจ "ท่านพี่ ไม่ใช่ท่านบอกข้าก่อนหน้านี้แล้วหรือ ว่าจะล้างแค้นต้วนหลิงเทียนให้ข้า เหตุใดท่านไม่ฆ่ามันเสียเลยเล่า จะให้มันคุกเข่าขอขมาทำอันใด?"
องค์ชาย 5 เพียงยิ้มออกมาบางๆ "น้องหญิง สำหรับคนบางจำพวกนั้น ความตายหาใช่เรื่องที่ร้ายแรงที่สุดในชีวิตของพวกมันไม่ หากจะกล่าวถึงบุคคลอย่างต้วนหลิงเทียนนั้น มันย่อมเป็นบุคคลประเภทไม่ยินยอมสยบและธาตุทระนงสูง การให้มันคุกเข่าโขกหัวขอขมานั้น จะทำให้มันรู้สึกเจ็บปวดทรมานยิ่งกว่าต้องตายเสียอีก! อีกทั้งยังกล่าวได้ว่า วันนี้ข้เองก็ได้ให้โอกาสแก่มันแล้ว ...วันหน้าแม้ข้าจะลงมือสังหารมันขึ้นมา ตระกูลต้วนก็ไม่อาจตำหนิอะไรข้าได้ "
ถงลี่เองดูเหมือนจะเริ่มเข้าใจขึ้นมา...นางรู้สึกละอายไม่น้อย "ท่านพี่ ข้า...เข้าใจท่านผิด... แต่ต้วนหลิงเทียนนั่น มันก็ปฏิเสธไม่ยินยอมกลับเข้าร่วมตระกูลต้วนไม่ใช่หรือเจ้าคะ ทำไมท่านพี่ยังต้องกังวลเรื่องนี้ด้วยล่ะเจ้าคะ"
แววตาขององค์ชาย 5 พลันจดจ่อขึ้นมา "จะอย่างไรในตัวมันก็มีสายเลือดหลัก ของตระกูลต้วนไหลเวียนอยู่ ...น้องพี่เจ้าอย่าได้กังวล ข้าเพียงปล่อยให้มันมีลมหายใจอยู่อีกแค่สักพักเท่านั้น"
เมื่อกล่าวจบ สีหน้าขององค์ชาย 5 พลันปรากฏใบหน้าเด็ดเดี่ยวราวกับตัดสินใจเด็ดขาดขึ้นมา
"ขอบคุณท่านพี่มาก เจ้าค่ะ" ถงลี่เริ่มแย้มยิ้มออกมาทันที ประกายตานางส่องสว่างออกมาอย่างน่ากลัว ราวกับนางกำลังเห็นภาพต้วนหลิงเทียนที่ถูกนางฉีกร่างเป็นชิ้นๆอย่างไรอย่างนั้น
ส่วนอีกด้านนั้น
"หึ องค์ชาย 5 นี่นับว่าโอหังกว่าองค์ชาย 3 เสียอีก!" หัวใจของต้วนหลิงเทียนเริ่มบังเกิดความหนาวเหน็บออกมาเล็กน้อยในขณะที่เดินไปบนถนน "ยังดีนะที่วันนี้เจ้าไม่ระรานอะไรข้า ... ถ้าไม่อย่างนั้นแล้ว ต่อให้เจ้าเป็นลูกหลานของตระกูลราชวงศ์เจ้าก็ต้องตาย!!"
ตอนนี้อารมณ์ของหลิงเทียนไม่ค่อยจะดีสักเท่าไร เพราะการจากไปของซูหลี่ ทำให้เพลิงโทสะในใจของเขานั้นระอุขึ้นมา
ทั้งการปรากฏตัวขององค์ชาย 5 กับตัวโง่งมอย่างถงลี่ และการกระทำของพวกมันนั้น แทบไม่ต่างอะไรจากราดน้ำมันเข้ากองเพลิงแม้แต่น้อย ทำให้เพลิงโทสะของเขาปะทุคุกรุ่นยากหยุดยั้งเอาไว้ได้
แต่เมื่อต้วนหลิงเทียนเดินทางมาถึงเขตจวนเจ้าพระยา อารมณ์คุกรุ่นพลันค่อยๆสงบลง รอยยิ้มเริ่มปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง
ในเมืองหลวงแห่งนี้นั้น นอกจากบ้านที่มีครอบครัวของเขาอยู่ หรือยามที่รวมตัวกับเหล่าสหาย ก็มีเพียงจวนเจ้าพระยาแห่งนี้เท่านั้น ที่ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นในหัวใจ
เมื่อต้วนหลิงเทียนมาถึงประตูจวนเจ้าพระยา ทหารหนุ่มเฝ้าประตูคนหนึ่งพลันก้าวออกมาข้างหน้าพร้อมทั้งกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงดังลั่นพร้อมวางท่า "หยุดอยู่ตรงนั้น!"
เพียะ!
ก่อนที่ต้วนหลิงเทียนจะเอ่ยวาจาอะไรออกมา ปากของเขาต้องชะงักค้างลงเพราะ ทหารหนุ่มเมื่อครู่กลับโดนทหารวัยกลางคนอีกคน วิ่งเข้ามาตบไปที่หลังศีรษะด้วยความรวดเร็วอย่างแรง
"พี่จางท่านทุบตีข้าทำไมกัน?" ทหารหนุ่มหันกลับไปมองทหารวัยกลางคนด้วยความขุ่นเคือง
ทว่าทหารวัยกลางคนนั้นไม่สนใจมันแม้แต่นิด เขาหันมาให้ความสำคัญและกล่าวกับต้วนหลิงเทียนที่ยืนหน้าจวนเจ้าพระยาด้วยความเคารพ "เชิญนายน้อยต้วนหลิงเทียนเข้าไปได้เลยขอรับ"
"เจ้ารู้จักข้าด้วยหรือ?" ต้วนหลิงเทียนรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย เขาจำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่เขามาที่จวนนี้ ไม่เคยเจอทหารวัยกลางคนผู้นี้เข้าเวรหน้าประตูมาก่อน
"นายน้อยต้วนหลิงเทียน ข้าน้อยมีโอกาสได้เห็นท่านวันที่ ท่านเข้าจวนมาพร้อมกันกับรองแม่ทัพผังหวู่ขอรับ" นายทหารวัยกลางคนกล่าวออกมาอย่างสุภาพ ตัวมันเองก็ย่อมเห็นท่าทางนอบน้อมของรองแม่ทัพผังยามที่พาตัวต้วนหลิงเทียนเข้าจวนมา แล้วมันจะกล้าล่วงเกินนายน้อยผู้นี้ได้อย่างไร
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวออกมา "เอาล่ะ เจ้ากลับไปทำงานของเจ้าเถิด ข้าจะเข้าไปหาท่านพระยาด้วยตัวเอง" หลังจากกล่าวจบ ต้วนหลิงเทียนก็เดินเข้าจวนเจ้าพระยาเข้ามาทันที ซ้ำยังแลดูชำนาญทางไม่น้อย
"พี่จาง เข้าเป็นผู้ใดหรือ?" ทหารหนุ่มลูบหลังหัวป้อยๆ หลังจากที่เห็นว่าชายหนุ่มสวมชุดสีม่วงคนนี้มีความเป็นมาไม่ธรรมดา เขาก็ไม่โกรธทหารวัยกลางคนอีก
"ฮ่าๆ! ไอหนู เจ้าช่างกล้าหาญนักถึงกล้าไปวางท่าเช่นนั้น... ส่วนเรื่องที่ว่าเขาเป็นใครกันแน่ข้านั้นก็ไม่แน่ใจสักเท่าไร แต่ทั้งหมดที่ข้ารู้ก็คือ ...วันนั้น รองแม่ทัพเป็นคนไปเชิญเขามา ทั้งยังแสดงท่าทางนอบน้อมนัก นอกจากนี้ขากลับท่านพระยาและท่านพระยาน้อยก็เป็นผู้เดินออกมาส่งเขาด้วยตัวเอง" ทหารวัยกลางคนนั้นแสดงสีหน้าหวาดกลัวออกมาเล็กน้อย "ตอนนี้ไหนเจ้าลองบอกข้าที ว่าเจ้าสมควรถูกทุบตีหรือไม่?"
สีหน้าของทหารหนุ่มเปลี่ยนเป็นซีดเผือด ก่อนที่มันจะผงกหัวระรัวราวลูกเจี๊ยบจิ๊กอาหาร "สมควร...สมควรถูกทุบตีแล้ว ทุบตีได้ดียิ่ง!!"
หลังจากที่เข้ามาในจวนเจ้าพระยาแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็เดินไปยังห้องโถงทันที
หลังจากที่ทหารเฝ้าหน้าห้องโถงไปรายงานอยู่ครู่หนึ่ง นี่เหวี่ยก็เดินออกมาพบต้วนหลิงเทียนที่นั่งรออยู่
"เทียนน้อย" นี่เหวี่ยฉีกยิ้มกว้างยามเห็นต้วนหลิงเทียน "เจ้ามาครั้งนี้ มีเรื่องอันใดให้ลุงผู้นี้ช่วยเหลือกันเล่า?"
ต้วนหลิงเทียนยิ้มออกมาบางๆ "ลุงนี่ ช่างคาดการณ์ได้แม่นยำ ราวกับเทพยากรณ์อย่างแท้จริง"
นี่เหวี่ยหัวเราะออกมา "เด็กน้อย ให้ลุงนี่ผู้นี้เดา...เจ้ามาครั้งนี้คงมิพ้นเรื่องราวของตระกูลซูใช่หรือไม่?"
"ลุงนี่ ท่านนับว่าไม่ธรรมดาจริงๆ" ม่านตาของหลิงเทียนหรี่ลงเล็กน้อย ก่อนที่จะแย้มยิ้มออกมา
"นักศึกษาจากตระกูลซูได้พยายามลอบสังหารนักศึกษาคนหนึ่งกลางโรงอาหารของสถาบันบ่มเพาะขุนพล แต่ทว่าพวกมันกลับถูกเหยื่อสังหารจนตกตายเสียเอง ... รองผู้อำนวยการบันดาลโทสะ จนบุกไปถึงตระกูลซูและทำการลดสิทธิ์ผู้ที่จะเข้าศึกษาในสถาบันบ่มเพาะขุนพลลงจากปีละ 5 เป็น 3 สิทธิ์ ...อา ดูเหมือนว่ารองผู้อำนวยการจ่าน จะดูแลเจ้าดีไม่น้อย" นี่เหวี่ยมองไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้มหยอกล้อ
ต้วนหลิงเทียนกระพริบตาปริบๆ เขารู้มาบ้างว่ารองผู้อำนวยการบุกไปถึงตระกูลซู แต่เขาไม่รู้เรื่อที่ตระกูลซูถูกลดสิทธิ์ในการเข้าศึกษาต่อ ถึง 2 สิทธ์ ...
ตอนนี้ ต้วนหลิงเทียนรู้สึกขอบคุณชายชราคนนั้นขึ้นมาบ้างแล้ว
"เอาล่ะ เจ้ากล่าวมาเถิดว่าต้องการให้ลุงทำอันใด? นี่เหวี่ยมองไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาอบอุ่นก่อนจะกล่าวถามออกมา
"ท่านลุงนี่ ข้าอยากรู้ข้อมูลการค้าและกิจการทั้งหมดของตระกูลซูในเมืองหลวงแห่งนี้ รวมทั้งข้อมูลของผู้รับผิดชอบการค้าและกิจการเหล่านั้น" ต้วนหลิงเทียนกล่าวแจ้งจุดประสงค์ในการมาครั้งนี้ออกไปทันที
"หืม เจ้ามาที่นี่เพราะเรื่องนี้เช่นนั้นหรือ?" นี่เหวี่ยรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย เขาคิดว่าต้วนหลิงเทียนคงมาหาเขา เพราะต้องการให้เขาออกหน้า และสะกดพวกตระกูลซูไม่ให้กำแหงอะไรเช่นนั้น แต่ไม่คิดเลยว่าต้วนหลิงเทียนจะมาหาเขาด้วยเรื่องเท่านี้ ...
"ใช่แล้วท่านลุง" ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ
"เพียงเท่านี้ ไม่มีอันใดแล้ว?" นี่เหวี่ยวกล่าวถามออกมาด้วยความอึ้ง
"ฮ่าๆ ไม่มีแล้วท่านลุง" ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวออกมาพร้อมหัวเราะ เขามาที่จวนเจ้าพระยาเพราะต้องการข้อมูลที่แม่นยำและถูกต้องที่สุด ส่วนเรื่องอื่นนอกเหนือจากนี้นั้นเขาสามารถจัดการได้ด้วยตัวเองหมดทั้งสิ้น
"เอาล่ะ เช่นนั้น อีก 3 วันเจ้ามารับได้เลย" นี่เหวี่ยเพียงจ้องไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยแววตาลึกซึ้งโดยไม่ได้กล่าวถามอะไรเพิ่มเติม
"ขอบคุณท่านลุงนี่มาก เช่นนั้นข้าขอตัวลากลับบ้านก่อน ป่านนี้มารดาข้าคงเริ่มเป็นห่วงแล้ว"ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมา
แล้วพระยานี่เหวี่ย ก็เดินออกมาส่งต้วนหลิงเทียนด้วยตัวเองถึงหน้าประตูจวนเจ้าพระยา ทหารที่ก้าวไปตวาดต้วนหลิงเทียนอย่างวางท่าถึงกับหน้าซีดปากสั่น หวาดกลัวจับขั้วหัวใจ นับว่ามันยังโชคดีนักที่ยังไม่ทันได้ทำอะไรล่วงเกินชายหนุ่มชุดสีม่วงผู้นี้ หาไม่แล้วมันคงไม่อาจทานรับผลที่จะตามมาไหว
เช้าวันรุ่งขึ้น เพียงแค่ต้วนหลิงเทียนเดินมาถึงหน้าประตูสถาบันบ่มเพาะขุนพล เข้าก็อดขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้
เพราะอสรพิษน้อยทั้งสองในแขนเสื้อเริ่มส่งสัญญาณออกมาอีกครั้ง ต้วนหลิงเทียนพลันแผ่พลังวิญญาณออกไปสัมผัสรอบๆบริเวณ .และด้วยสัมผัสอันละเอียดอ่อนเขาก็ค้นพบผู้ที่กำลังเฝ้าดูเขาจากเงามืด..
"ฮึ่ม!" ต้วนหลิงเทียนเพียงหยุดฝีเท้าลงครู่หนึ่ง ก่อนที่จะหันกลับมองมาทางหนึ่งเล็กน้อย พร้อมแสยะยิ้มเย้ยหยัน
เขาไม่สนว่าใครจะส่งพวกมันมา แต่ถ้าพวกมันกล้าที่จะปรากฏตัวออกมาต่อหน้าเขา เขาก็ยินดีที่จะส่งพวกมันไปโลกหน้าด้วยรอยยิ้ม...
บริเวณมุมถนนหนึ่งห่างจากหน้าประตูสถาบันบ่มเพาะขุนพลไม่น้อย มีร่างสองร่างยืนอยู่ในเงามืด
"หืม? ดูเหมือนว่าเขาจะสังเกตเห็นพวกเรา" ชายวัยกลางคนรูปร่างผอมบางกล่าวออกมา ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ
"ข้าเองก็คิดว่าเป็นเช่นนั้น" ชายวัยกลางคนอีกคนหนึ่งกล่าวออกมาพร้อมพยักหน้าเห็นด้วย
ชายร่างผอมนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะกล่าวออกมา “ข้าได้ยินมาว่าระดับบ่มเพาะของเขาอยู่ที่ระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 9 เท่านั้น ... หากจะกล่าวกันจริงๆ ตามเหตุผลแล้ว มันไม่น่าจะเป็นไปได้เลยที่เขาจะพบตัวพวกเรา”
"บางทีมันอาจจะเป็นเพียงเรื่องบังเอิญก็ได้" ชายอีกคนกล่าวออกมาอย่างไม่ค่อยแน่ใจสักเท่าไร
หลังจากเดินเข้าไปในสถาบันบ่มเพาะขุนพลแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ว่า สายตาที่จับจ้องเขาในเงามืดได้หายไป เขาจึงเดินไปเข้าห้องเรียนตามปกติ
ชั้นเรียนช่วงเช้าอันยาวนานของอาจารย์ซื่อหม่าฉางฟง ค่อยๆผ่านไปอย่างช้าๆ ...
ในตอนเที่ยงกลุ่มของต้วนหลิงเทียนก็ยังคงมานั่งกินอาหารกลางวันกันที่เดิม แม้มันจะรู้สึกแปลกไปและใจหายไม่น้อย เพราะที่นั่งที่เคยมีซูหลี่กลับกลายเป็นว่างเปล่า แต่ทุกคนก็เข้าใจเรื่องราวดีจึงเงียบและไม่กล่าวถึง
ตกเย็นหลังจากที่ต้วนหลิงเทียนบอกลาเซี่ยวหยูและเซี่ยวฉวินหน้าสถาบันบ่มเพาะขุนพลแล้ว ต้วนหลิงเทียนพลันจับสัมผัสสายตาที่เฝ้ามองเขาจากมุมมืดได้อีกครั้ง... นอกจากนี้พวกมันไม่ได้มีแค่คนเดียว
"ดูเหมือนว่าจะเป็น 2 คนเดียวกัน กับเมื่อเช้า" ต้วนหลิงเทียนคิดในใจ ก่อนที่จะเดินไปยังซอยๆหนึ่งที่ไกลออกไปเล็กน้อย เขาคิดที่จะล่อสองคนนี้ออกมาสังหารในซอยให้มันจบๆไป
แต่ทว่าคราวนี้เมื่อเขาเดินเขาซอยเปลี่ยวร้าง ซ้ำยังพยายามเดินช้าๆอยู่นาน...แต่สองคนที่ติดตามเขามากลับไม่ปรากฏกายออกมาแต่อย่างใด
"พวกมันรอบัดซบอันใดกัน?" ต้วนหลิงเทียนสบทออกมาเพราะเริ่มหมดความอดทน
“ฮึ่ม! ในเมืองพวกมันไม่ออกมา ข้าก็จะไปหาพวกมันเอง!” สายตาของต้วนหลิงเทียนเรืองวูบออกมาด้วยประกายตาดุร้าย ก่อนที่เขาจะพุ่งร่างอย่างรวดเร็วแล้วเลี้ยวหายลับไปในพริบตา
ชายหนุ่มวัยกลางคนทั้งสองพลันปรากฏร่างออกมาแล้วรีบเลี้ยวตามเข้าไปในซอยนั้นทันที...แต่ทว่าเมื่อพวกมันเลี้ยวไป ก็พบว่าร่องรอยของต้วนหลิงเทียนหายไปอย่างสิ้นเชิง พวกมันไม่อาจจับสัมผัสถึงทิศทางที่ต้วนหลิงเทียนหายไป
ถึงแม้ว่าพวกมันจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับวิญญาณแรกก่อตั้ง แต่พวกมันก็ไม่ใช่ผู้จารึกอาคม พลังวิญญาณของพวกมันก็ไม่ได้ฝึกฝนมาให้สามารถจับสัมผัสได้อย่างละเอียดอ่อน นอกจากนี้พวกมันจะไปมีปัญญาสะกดรอยตามต้วนหลิงเทียนที่ชำนาญการตอบโต้การสะกดรอยตาม ที่ฝึกฝนมาจนช่ำชองในสมัยที่ยังเป็นทหารรับจ้างและหน่วบรบพิเศษได้อย่างไร
"อา...พวกเราปล่อยให้เขาหนีไปทั้งๆที่อยู่ใต้จมูกของพวกเราได้อย่างไรกัน!" ชายวัยกลางคนหัวเราะออกมาอย่างข่มขื่น
"เช่นนั้นพวกเราก็มั่นใจได้แล้วว่าพวกเราไม่ได้เข้าใจผิด เมื่อเช้านั้น...เขาสัมผัสถึงพวกเราได้จริงๆ" ชายวัยกลางคนอีกคนแสดงท่าทางตึงเครียดออกมา
"เล่นซ่อนหาเช่นนี้...พวกเจ้าสนุกสนานหรือไม่?" ทันใดนั้นเองน้ำเสียงไม่แยแส พลันดังขึ้นมาจากด้านหลังของชายวัยกลางคนทั้ง 2 ทำให้สีหน้าของพวกมันแปรเปลี่ยนเป็นหวาดกลัวทันที