หน้าแรก > War Sovereign Soaring The Heavens
บทที่ 174 การตัดสินใจของซูหลี่

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

*ตั้งค่าถาวร (คลิกตั้งค่าถาวร)

"ผู้อาวุโสหลัก ท่านไม่คิดว่ายามนี้ท่านควรอธิบายเรื่องราวบางอย่างให้ข้ากระจ่างแจ้งเสียหน่อยหรือ?" แววตาของซูผอหยาประมุขตระกูลซู เห็นได้ชัดว่าเต็มไปด้วยโทสะ ในขณะที่มันสบตากับอาวุโสหลัก

"ประมุข ท่านหมายถึงอะไร?" ความรู้สึกประหวั่นเริ่มบังเกิดขึ้นในใจของซูหนัน ดูจากท่าทางของประมุขแล้ว เขารับรู้ได้ทันทีเขาบังเกิดโทสะไมน้อยเลยทีเดียว

"จ่านฉง! รองผู้อำนวยการแห่งสถาบันบ่มเพาะขุนพล พึ่งออกจากตระกูลซูเราไปเมื่อครู่!" สีหน้าของซูผอหยาบิดเบี้ยวอย่างมาก เขากล่าวออกมาด้วยเสียงขุ่นมั่ว "ผู้อาวุโสหลัก ข้านั้นไว้วางใจมอบหมายให้ท่านสะสางเรื่องราวครานี้ เพราะข้าเชื่อมั่นว่าท่านต้องกระทำการได้อย่างรอบคอบเหมาะสม อีกทั้งยังให้ท่านได้แก้แค้นให้หลานชาย ... แต่ลองดูสิ่งที่ท่านกระทำเข้าซี่? มิเพียงขาดความรอบคอบ แม้กระทั่งต้วนหลิงเทียนเองมันยังอยู่ดีมีสุข! ซ้ำร้ายยังกลับกลายเป็นก่อปัญหาใหญ่หลวงให้แก่ตระกูลซูของเราเพิ่มอีก "

หลังจากที่ซูหนันได้ฟังวาจาของซูผอหยา สีหน้าเขาพลันเปลี่ยนเป็นคล้ำขึ้นทันที

หรือว่าแผนการครานี้จะล้มเหลว?

"ประมุข เกิดอะไรขึ้นกันแน่?" ลมหายใจของซูหนันเริ่มปั่นป่วน

"เมื่อครู่ รองผู้อำนวยการ จ่านฉง แห่งสถาบันบ่มเพาะขุนพล ได้นำศพของซูปิงและซูชิมา... " ซูผอหยากล่าวออกมาพร้อมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ

ซูปิง? ซูชิ?

สีหน้าของซูหนันบิดเบี้ยวทันที "ประมุข...ซูปิงและซูชิตกตายแล้วหรือ?"

ซูปิงและซูชิเป็นเบี้ยสองตัวที่เขาคิดใช้ประสานงานกับซูหลี่ เพื่อใช้ในการลอบสังหารต้วนหลิงเทียน

"ไม่เพียงแต่พวกมันจะตกตาย! แม้กระทั่งผู้ที่สังหารพวกมันยังเป็นต้วนหลิงเทียน!" ซูผอหยากล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยโทสะ "มันคงหาได้เป็นเรื่องราวอันใดไม่ หากพวกมันลงมือสังหารต้วนหลิงเทียนได้สำเร็จ! เต็มที่สถาบันบ่มเพาะขุนพลก็ทำแค่เพียงขับไล่พวกมันออกไป มิมีอันใดเกี่ยวข้องกับตระกูลซูของเรา ...แต่นี่พวกมันกลับล้มเหลว ไม่อาจสังหารต้วนหลิงเทียนได้! พวกมันยังต้องมาตกตายภายใต้น้ำมือของต้วนหลิงเทียนเช่นนี้! เพื่อให้คำอธิบายแก่ต้วนหลิงเทียน...ท่านคิดว่ารองผู้อำนวยการจ่านฉง จะเลิกราง่ายๆหรือไร! "

"แล้วท่านรู้หรือไม่เป็นเพราะเรื่องราวครั้งนี้ รองผู้อำนวยการจ่านฉง ลดสิทธิ์เข้าศึกษายังสถาบันบ่มเพาะขุนพลประจำปีของตระกูลซูลง จาก 5 สิทธิ์ เหลือเพียง 3 สิทธิ์!" เมื่อซูผอหยากล่าววาจาจบลง สีหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยโทสะ!

ในอดีตที่ผ่านมาลำพังสิทธิ์เข้าศึกษาต่อยังสถาบันบ่มเพาะขุนพล 5 สิทธิ์นั้น ก็ไม่เพียงพอต่อกลุ่มคนระดับสูงของตระกูลซูอยู่แล้ว พวกมันก็ต้องแย่งกันแทบตาย มายามนี้สิทธิ์ยังถูกลดไปเหลือเพียง 3 เท่านั้น เขาสามารถคิดถึงสีหน้าของเหล่ากลุ่มคนระดับสูงของตระกูลได้ เมื่อพวกมันรับรู้เรื่องราวครั้งนี้

สีหน้าและท่าทางของซูหนันเองก็เปลี่ยนเป็นซีดเผือด

ขโมยไก่ไม่สำเร็จยังเสียข้าวสารไปอีกหลายกำมือ!

"ไม่ ... เป็นไปไม่ได้ ... เป็นไปไม่ได้ที่พวกมันจะล้มเหลว หากพวกมันลงมือหลังจากที่ซูหลี่วางยาต้วนหลิงเทียนเสร็จสิ้นแล้ว จะอย่างไรก็ต้องสำเร็จ!" ซูหนันไม่อยากจะเชื่อว่าเรื่องราวนี้จะเป็นจริง

"ฮึ่ม!" สีหน้าของซูผอหยาหมองคล้ำอย่างมาก เขาสะบัดแขนเสื้อ ก่อนที่จะหันหลังกลับไป "ผู้อาวุโสหลัก หากท่านไม่อาจจัดการสะสางเรื่องราวครานี้ได้ด้วยตัวเอง ...เพียงเอ่ยวาจาออกมา ข้าพร้อมจะหาผู้อื่นมากระทำแทน!"

หลังจากซูผอหยาจากไป ซูหนันยังคงนิ่งอึ้งไม่ขยับเป็นเวลานาน

แผนการที่เขาคิดว่าสมบูรณ์แบบแล้ว เหตุใดจึงกลับกลายเป็นเช่นนี้?

จุดที่สามารถทำให้แผนครั้งนี้พังพินาศมีอยู่เรื่องเดียวคือ ซูหลี่หักหลังพวกเขา และหลอกล่อให้ทั้ง 2 คนนั่นจู่โจม จนพวกมันตกตายภายใต้น้ำมือของต้วนหลิงเทียน

ทันใดนั้นเอง

"ผู้อาวุโสหลักขอรับ มีจดหมายส่งถึงท่านขอรับ" น้ำเสียงนอบน้อมของสาวกรับใช้ตระกูลซู ดังขึ้นจากนอกลานบ้านในมือของมันมีจดหมายฉบับหนึ่ง รอยื่นส่งแก่ซูหนัน

ซูหนันรับมาและเปิดออกอ่านเนื้อความ

"อา ผู้อาวุโสหลัก ข้าขอโทษที วันนี้ในระหว่างมื้อเที่ยง...มือข้าลื่นจึงทำให้จอกสุราตกแตก แต่คนของท่านดันเข้าใจผิดว่าเป็นการส่งสัญญาณลับให้ลงมือสังหารต้วนหลิงเทียนได้ พวกมันจึงลงมืออย่างวู่วาม... "

ลงนาม ซูหลี่

แม้เนื้อหาในจดหมายจะไม่ได้ยาวมากมายอะไร แต่มันทำให้ซูหนันบังเกิดโทสะจนทั้งร่างสั่นระริก เลือดในร่างกายของมันสูบฉีดอย่างบ้าคลั่ง

"พรวด" มิคิดว่ามันจะมีโทสะมากมายจนถึงขั้นกระอักโลหิตออกมา

ดวงตาของซูหนันแปรเปลี่ยนเป็นอำมหิตอย่างถึงขีดสุด สองตาของมันแดงก่ำเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย น้ำเสียงของมันยะเยือกสั่นสะท้านหนาวเหน็บ “ซูหลี่ ข้าจะให้ครอบครัวเจ้าตายอย่างไร้ที่ฝัง!”

ซูถงเองที่ยืนอยู่ไม่ไกลตั้งแต่แรก ก็แสดงสีหน้าอัปลักษณ์อย่างมาก

มันได้รับรู้ว่าต้วนหลิงเทียน...ศัตรูที่มิอาจร่วมฟ้าเดียวกัน รอดเงื้อมมือไปได้

ณ สถาบันบ่มเพาะขุนพล

ต้วนหลิงเทียนยังคงนั่งขัดสมาธิบ่มเพาะพลังตรงที่ประจำของเขา แน่นอนว่าย่อมเป็นต้นไม้ใหญ่ต้นเดิม และท่าทางของเขาก็ดูมีความสุขอย่างมาก บรรยากาศเงียบสงบและร่มรื่นนัก

"ต้วนหลิงเทียน!" ทันใดนั้นเองน้ำเสียงร้อนรนหนึ่งก็ปลุกหลิงเทียนให้ตื่นจากภวังค์

เมื่อต้วนหลิงเทียนลืมตาออกมาเขาก็เห็นเทียนหูกำลังวิ่งมาแต่ไกล ท่าทางร้อนรนไม่น้อย ....

ต้วนหลิงเทียน กระโดดลงมาจากกิ่งไม้ทันที ก่อนที่จะเดินไปหาเทียนหู "เฮ่ เทียนหู เกิดอะไรขึ้นกัน?"

"ต้วนหลิงเทียน ซูหลี่ ไปแล้ว" เทียนหูกล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้มขมขื่น

"ไปแล้ว?" ต้วนหลิงเทียนค้างไปครู่หนึ่ง

"นี่เป็นจดหมายที่ซูหลี่ทิ้งไว้ให้เจ้า" เมื่อเทียนหูยื่นส่งจดหมายมาหลิงเทียนพลันรู้สึกตัว และสีหน้าของเขาเริ่มเปลี่ยนเป็นเครียดทันที

ต้วนหลิงเทียนเปิดจดหมายออกมาอ่าน

"ต้วนหลิงเทียน ตอนที่เจ้าเห็นจดหมายฉบับนี้ ข้าคงกำลังควบขี่อาชาเหงื่อโลหิต ที่ซื้อมาด้วยเงินที่หยิบยืมเจ้า กลับบ้านอยู่เป็นแน่ ... "

"เมื่อคืนข้าได้เดินทางออกจากตระกูลลี่... ด้วยการตัดสินใจของข้าเอง ถึงแม้ว่าข้าซูหลี่จะต้องทิ้งอนาคต แต่ข้าจะไม่มีวันทำร้ายสหายอย่างเด็ดขาด ข้าจะรีบกลับไปพาบิดาและมารดาของข้าหลบหนีออกไปให้ไกลไอพวกสวะบัดซบ! ...ส่วนเรื่องที่ข้าจะไปไหนนั้น ตัวข้าเองก็ยังไม่รู้และยังไม่ได้คิดเอาไว้เลย แต่บางทีข้าอาจจะต้องออกจากอาณาจักรนภาล่อง"

....

"อภัยให้ข้าด้วย ที่ข้าจำต้องจากมาโดยไม่ล่ำลา ฝากเจ้าเอ่ยคำลาแก่เซี่ยวหยูและคนอื่นๆให้ข้าด้วย"

"หากโชคชะตานำพา คงมีสักวันที่พวกเราจักได้พบพานกันอีกครั้ง ... ยามนั้นข้าจะไม่ลืมคืนเงินที่เป็นหนี้เจ้าแน่นอน"

ลงนาม ซูหลี่

แกรบ!

ต้วนหลิงเทียนกำขยี้จดหมายที่อยู่ในมือ

จดหมายที่ซูหลี่ทิ้งเอาไว้ให้เขานี้ ล้วนอธิบายเรื่องราวให้เขากระจ่างแจ้งแล้ว ...

ซูหลี่เลือกที่จะทิ้งสถาบันบ่มเพาะขุนพล และอนาคตของตัวเอง

ประการแรก เพื่อความปลอดภัยในชีวิตของบุพการี

ประการที่สอง เพื่อเห็นแก่ความปลอดภัยของต้วนหลิงเทียน สหายของเขา!

ตอนนี้เรื่องราวและคำถามมากมายในใจของต้วนหลิงเทียนพลันคลี่คลาย ราวกับจิ๊กซอว์ทุกชิ้นเรียงตัวครบแล้ว...

ว่าเพราะอะไร ซูหลี่ถึงทำจอกสุราตกแตก และทำไมสมาชิกตระกูลซูทั้ง 2 คนนั้นถึงมั่นใจนัก ยามลงมือจู่โจมหมายลอบสังหารเขา ...

นั่นน่าจะเป็นเพราะพวกมันทั้งสองจากตระกูลซูคิดว่า ซูหลี่ได้ลอบวางยาด้วยโอสถระงับกำเนิดแก่เขาแล้ว

"ซูหลี่" หัวใจของต้วนหลิงเทียนพลันสะท้านขึ้นมา

แม้ว่าซูหลี่นั้นจะเงียบขรึมและเย็นชา แต่ตอนนี้เขาสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นของคำว่ามิตรภาพจากซูหลี่ได้จับใจ เพื่อเห็นแก่ความปลอดภัยของตัวเขา สหายซูหลี่นั้นเต็มใจและไม่ลังเลที่จะทิ้งอนาคตตัวเองไปแม้แต่นิด!

"ซูหลี่ ข้าเชื่อมั่นในตัวเจ้า วันหน้าฟ้าใหม่ พวกเราต้องได้พบเจอกันอีกแน่!" ต้วนหลิงเทียนสูดลมหายใจเข้ายาวลึก ประกายตาคาดหวังเรืองวูบในแววตา ยามนี้อารมณ์เขาหนักอึ้งไม่น้อย

แต่ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้รู้เลยว่า...การจากกันครั้งนี้ กว่าที่เขาจะได้พบเจอซูหลี่อีกครั้ง นั่นต้องเป็นเรื่องหลังจากนี้ไปอีกหลายปีแล้ว...

"ต้วนหลิงเทียน ซูหลี่จากไปแล้วหรือ?" ตอนนี้เองเซี่ยวหยูและเวี่ยวฉวินพลันมาถึง

"พวกเจ้าลองอ่านดูสิ" ต้วนหลิงเทียนระบายลมหายใจหนักอกออกมา ก่อนที่จะยื่นส่งจดหมายที่ยับยู่ยี่เพราะขยำไปแล้วให้แก่ เซี่ยวหยู

เซี่ยวหยูเปิดจดหมายออกมา โดยมีเซี่ยวฉวินและเทียนหูชะเง้อมาอ่านด้วย ...

"บัดซบ! ช่างชั่วช้าสารเลวนัก ไอลูกคณิกาอาวุโสหลักตระกูลซู!" หลังจากที่เทียนหูได้อ่านจดหมายจบ สีหน้าของมันบิดเบี้ยวอย่างถึงที่สุด มันขบเคี้ยวฟันดังกรอดๆด้วยโทสะ

เขาและซูหลี่เป็นสหายกันหลังจากที่ได้ต่อสู้ต่อยตีกัน ทั้งพวกเขายังเข้าร่วมร่ำเรียนในสถาบันบ่มเพาะขุนพลดุจเดียวกัน ซูหลี่นัน้นับเป็นสหายที่ดีของเขาในใจมากนานแล้ว แต่เขาไม่คิดเลยว่าซูหลี่จะต้องจากไปด้วยเหตุจำใจเช่นนี้

เขาสงสัยว่ายังจะมีโอกาสได้พบเจอซูหลี่อีกครั้งหรือไม่ในอนาคต!

เซี่ยวหยูและเซี่ยวฉวินเอง หลังจากที่อ่านจดหมายจบแล้ว ประกายตาของพวกมันก็เต็มไปด้วยโทสะไม่น้อยไปกว่าเทียนหู ทว่าในเวลาเดียวกันประกายตาของพวกมันก็ยังเจือไปด้วยความชื่นชมไม่น้อย

ซูหลี่เลือกที่จะละทิ้งความฝันและอนาคต...และจากไป เพราะเห็นแก่ความปลอดภัยของสหาย... การกระทำเช่นนี้สมควรเคารพยกย่องอย่างยิ่ง!

ต้วนหลิงเทียนเดินจากไปเงียบๆ ก่อนที่จะกระโดดขึ้นไปบนต้นไม้อีกครั้ง เขาเอนหลังลงก่อนที่จะเหม่อมองไปยังขอบฟ้าแสนไกลผ่านใบไม้...

"ตระกูลซู ... ในเมื่อพวกเจ้ายังตอแยข้าไม่เลิกและทำกันถึงขั้นนี้ ข้าจะตอบแทนพวกเจ้าอย่างดี!!" แววตาของต้วนหลิงเทียนเริ่มไร้อารมณ์ลงเรื่อยๆสุดท้ายก็เหน็บหนาวราวขั้วโลก มุมปากเริ่มเผยรอยยิ้มอำมหิตออกมา

การจากไปของซูหลี่ ทำให้ภายในใจของต้วนหลิงเทียนมีบางอย่างตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ราวกับสิ่งที่เคยกักเก็บเอาไว้ได้ปลดเปลื้องพันธนาการออกมา

ตอนนี้สีหน้าของต้วนหลิงเทียนจะดูเหมือนจะกลับไปเป็นราชันย์ผู้เชี่ยวชาญการต่อสู้ด้วยอาวุธทุกชนิด และทหารรับจ้างที่เย็นชาเลือดเย็นอย่างที่เคยเป็น...อดีตทหารรับจ้างที่เหล่านักฆ่าล้วนกล่าวเป็นคำเดียวยามถูกคนจ้างวานมาให้สังหารว่า...ไม่รับภารกิจฆ่าตัวตาย...

ยามเย็น

นอกสถาบันบ่มเพาะขุนพลมีรถม้ามาจอดเทียบอยู่ แลดูหรูหราไม่น้อย

สารถีที่ขับรถม้าคันนี้เป็นชายชราคิ้วขาวรูปร่างท่าทางไม่ธรรมดา ไม่ว่าใครก็ตามที่มองไปที่เขาล้วนสัมผัสได้ทันทีว่าเขาเป็นตัวตนที่ไม่ควรไปตอแยด้วย

ต้วนหลิงเทียนเองก็สังเกตเห็นรถม้าและชายชราคิ้วขาวคนนี้เช่นกันในขณะที่ออกจากสถาบันบ่มเพาะขุนพล แต่ทว่าเขาไม่ได้ให้ความสนใจอะไรนัก เขากล่าวคำอำลากับเซี่ยวหยูและเซี่ยวฉวินก่อนที่จะแยกย้ายกันไป

ทว่าในขณะที่เขาเดินผ่านรถม้าไปนั้นเอง

ฟุ่บ!

ร่างหนึ่งที่เคลื่อนไหวรวดเร็วคล้ายประกายแสง พลันวูบไหวมาขวางทางต้วนหลิงเทียนเอาไว้ราวกับภูตผี

และเมื่อต้วนหลิงเทียนสังเกตร่างเบื้องหน้า เขาก็สามารถจดจำได้ทันทีว่ามันคือชายชราคิ้วขาว ที่กุมบังเหียนรถม้าอยู่เมื่อครู่

"หืม?" สีหน้าของต้วนหลิงเทียนเคร่งขึ้น เมื่อสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยของอสรพิษน้อยทั้ง 2 ที่ถูกซ่อนเอาไว้ใต้แขนเสื้อ

อาศัยความประสบการณ์และความทรงจำของจักรพรรดิกลับชาติมาเกิด พร้อมทั้งพลังวิญญาณที่เหนือคนทั่วไป ต้วนหลิงเทียนสามารถอนุมานได้ว่า ชายชราตรงหน้าของเขาคนนี้เป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 7 ขึ้นไป

หากมองแต่เพียงเรื่องความแข็งแกร่งของระดับบ่มเพาะแล้ว มันหาได้ด้อยไปกว่า ลุงหู ขององค์ชาย 3!!

อย่างไรก็ตามสำหรับชายชราคนนี้ ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ว่ามันไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันกับ ผู้ฝึกยุทธ์ครึ่งก้าวสู่แรกสัมผัสธรรมชาติ อย่างพระยาเรืองฤทธิ์

และหากไม่ใช่ตัวตนระดับนั้นแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้มีความหวาดกลัวอะไรหากมันหมายเล่นงานเขา! หากมันกล้า เขามั่นใจว่ามันต้องตกตายอย่างทรมานด้วยอาคมกร่อนกระดูก!

เจ้าน่ะหรือ คือต้วนหลิงเทียน?" ชายชราคิ้วขาวกล่าวถามต้วนหลิงเทียนออกมาด้วย น้ำเสียงไม่แยแส พร้อมทั้งสายตาที่มองมาดูความหยามหยัน

"ไสหัวไปให้พ้น!" สีหน้าต้วนหลิงเทียนเข้มขึ้นเล็กน้อยก่อนจะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงไม่แยแส พร้อมประกายตาที่เย็นชาลง เขาไม่คิดไว้หน้าพวกคนแก่ที่หยิ่งยโสและดูแคลนผู้อื่นเพียงเพราะมันมีอาวุโสมากกว่าสักนิด

ชายชราคิ้วขาวเห็นได้ชัดว่าตกใจไม่น้อย มันไม่คิดเลยว่าต้วนหลิงเทียนจะกล้าแสดงกริยาไม่ไว้หน้าหรือเกรงใจเช่นนี้ต่อหน้าของมัน สีหน้ามันเริ่มเจือไปด้วยโทสะทันที ...

ในขณะที่มันกำลังจะระเบิดอารมณ์จู่โจมออกมา

"ผู้เฒ่าไป๋ อย่าได้ลืมเป้าหมายของเรา" เสียงเรียบๆ ไร้อารมณ์ของชายหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้นจากในรถม้า ทำให้ชายชราคิ้วขาวที่กำลังบันดาลโทสะเริ่มสงบลงทันที

คิ้วของต้วนหลิงเทียนยักขึ้นเล็กน้อย แววตาเผยความประหลาดใจออกมา

ดูเหมือนคนในรถม้าจะไม่ได้ง่ายดายซะแล้ว

ชายชราคิ้วขาวระงับโทสะ ก่อนที่จะกล่าวออกมากับต้วนหลิงเทียนว่า "ต้วนหลิงเทียน นายท่านของข้าอยากสนทนากับเจ้า"

"ขออภัย แต่ข้าไม่สนใจ" ต้วนหลิงเทียนยักไหล่ออกมาอย่างไม่แยแส

“หยุเดี๋ยวนี้นะ!” ทว่าตอนนี้เองกลับมีอีกเสียงหนึ่งดังขึ้นจากในรถม้าและเสียงมันเล็กเกินกว่าจะเป็นน้ำเสียงของบุรุษ

ต้วนหลิงเทียนเองก็คลับคล้ายคลับคลาว่าดูเหมือนเขาจะเคยได้ยินน้ำเสียงนี้จากที่ไหนสักแห่ง แต่เขาก็จำไม่ได้

ทว่าน้ำเสียงของอิสตรีพลันดังขึ้นมาอีกครั้ง แต่คราวนี้นางกลับกล่าววาจากับคนในรถม้า "ท่านพี่เจ้าคะ ต้วนหลิงเทียนผู้นี้มันไม่รู้อะไรควรไม่ควรและโอหังมากเจ้าคะ ท่านพี่ให้ผู้เฒ่าไป๋สังหารมันทิ้งเลยดีกว่าเจ้าค่ะ"

หลังจากวาจานี้ เสียงในรถม้าพลันเงียบไปครู่หนึ่ง ราวกับไร้คนอยู่

“เป็นนาง” ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็จำได้ น้ำเสียงหนวกหูนี่ไม่ใช่ นังแพศยาถงลี่หรอกหรือ?

เช่นนั้นคนที่นางเรียกว่าท่านพี่ ... นอกจากองค์ชาย 5 แล้วยังจะมีใครอีกกัน?

Copyright © 2019 spoilsoc.com All rights reserved.