spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
*ตั้งค่าถาวร (คลิกตั้งค่าถาวร) |
‘ทะเลดาราพวกนี้ สมควรเป็นดาวเคราะห์จำนวนมากมายที่เรียงรายกันใช่ไหมนะ? จากความทรงจำของจักรพรรดิกลับชาติมาเกิด ขอบเขตของทวีปเมฆาล่องนี้กว้างใหญ่ไพศาลนัก ...ทั้งเมื่อมุ่งหน้าไปจนสุดแผ่นดิน ก็ยังเจอแต่มหาสมุทรกว้างใหญ่ ทั้งราวกับมันจะไร้สิ้นสุดอีกต่างหาก’
‘จักรพรรดิกลับชาติมาเกิดเองก็เคยสงสัยและมุ่งหน้าหมายบินข้ามทะเลเพื่อแสวงหาจุดสิ้นสุด ...แต่สุดท้ายเขาก็เห็นเพียงมหาสมุทรกว้างใหญ่สุดไพศาลราวกับไร้จุดสิ้นสุด สุดท้ายเขาก็กลัวที่จะหลงทางจนหาทางกลับไม่ได้ ต้องล้มเลิกความคิดที่จะออกไปสำรวจ ไม่กล้าบินออกไปไกลๆอีก...’ ส่วนหนึ่งของความทรงจำแล่นวูบขึ้นมาในหัวของต้วนหลิงเทียน
กล่าวให้ชัดก็คือ แม้จะเป็นจักรพรรดิกลับชาติมาเกิดเองก็ยังไม่อาจสำรวจโลกใบนี้ให้ละเอียดได้
"บางทีทวีปเมฆาล่องที่ข้าอยู่ กับมหาสมุทรสุดไพศาลราวกับไร้จุดสิ้นสุดนั่น เป็นแค่เพียงสวนหนึ่งของดาวเคราะห์ขนาดมหึมาดวงนี้เท่านั้น" ต้วนหลิงเทียนเริ่มคาดเดาขึ้นมาในความคิด
ตอนนี้เขาบังเกิดแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่ขึ้นมา
ในอนาคตหากเขาสามารถก้าวไปถึงจุดสูงสุดของทวีปเมฆาล่องแห่งนี้แล้ว เขาจะพาครอบครัวออกเดินทางท่องเที่ยวไปในมหาสมุทรสุดไพศาลไร้สิ้นสุดอะไรนั่น เพื่อสำรวจโลกใบนี้ดู ว่ามันกว้างใหญ่แค่ไหน... เขาอยากจะเห็นกับตาว่า แท้จริงแล้วนี่เป็นดาวเคราะห์ดวงหนึ่งหรือไม่!
จากการประเมินคร่าวๆของเขา หากมันเป็นดาวเคราะห์จริง มันต้องมีเส้นผ่านศูนย์กลางขนาดใหญ่โตมโหฬารมากกว่าโลกเดิมของเขาไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า
นั่นเพราะความเร็วสูงสุดยามที่จักรพรรดิกลับชาติมาเกิด บิท่องทะยานไปบนท้องฟ้านั้น มันเร็วยิ่งกว่าเครื่องบินเจ็ท ที่เร็วที่สุดของโลกเดิมเขาเสียอีก... และด้วยความเร็วมหาศาลขนาดนั้นของจักรพรรดิกลับชาติมาเกิด หากเขาไปโผบินที่รอบเก่าล่ะก็ คงสามารถบินรอบโลก ได้ในเวลาเพียงพริบตาเดียว
"แล้วถ้าแผ่นดินที่ข้าเหยียบอยู่นี่เป็นดาวเคราะห์ดวงหนึ่งจริงๆ... " สายตาของต้วนหลิงเทียนพลันมองไปยังทะเลดาราบนท้องฟ้า "แล้วดาวเคราะห์ดวงใดกันเล่า ที่เป็นดาวโลกของข้า?"
โลกเป็นบ้านเกิดของเขา ความทรงจำมากมายของเขาก็เกิดขึ้นที่นั่น ...
หากเขามีโอกาสกลับไปล่ะก็แน่นอนว่าเขาย่อมกลับไป และการกลับไปของเขาก็ไม่ได้มีเหตุผลอะไรมากมายนัก เขาจะกลับไปแล่เนื้อเถือหนังสายข่าวที่ขายเขา! เขาจะเผาร่างมันให้เป็นธุลีก่อนจะเหยียบย่ำเถ้ากระดูกของมัน เตะให้มันฟุ้งกระจาย
ถึงแม้ว่าเขาเอง ก็อยากจะขอบคุณสายข่าวบัดซบนั่น ที่ทำให้เขาได้มายังโลกใบนี้จนได้ใช้ชีวิตที่มีความสุข มีคนที่รักเช่นนี้! แต่จะอย่างไรทุกอย่างล้วนมีราคา สองเรื่องนี้ไม่สามารถนำมารวมกันได้ มันต้องชดใช้เรื่องที่ทรยศหักหลังเขา!
"นายน้อยท่านคิดอันใดอยู่หรือเจ้าคะ?" เสียงอ่อนโยนของเค่อเอ๋อดังขึ้น ปลุกต้วนหลิงเทียนที่กำลังจมอยู่ในภวังค์ให้รู้สึกตัวขึ้นมา เขายิ้มอย่างนุ่มนวลก่อนที่จะกล่าวออกมาว่า "ข้ากำลังคิดอยู่ว่า มีมนุษย์คนอื่นอยู่บนดวงดาวเหล่านั้นหรือไม่... "
"นายน้อย! ท่านคิดเช่นนั้นได้อย่างไรเล่าเจ้าคะ? หากมีผู้คนบนดวงดาวเหล่านั้นจริง พวกเขาตกมาตายนานแล้วล่ะเจ้าค่ะ!" เค่อเอ๋อมองไปยังทะเลดาราบนผืนฟ้า ก่อนที่คิ้วแสนงดงามของนางจะขมวดเป็นปม แล้วกล่าววาจาออกมาอย่างบริสุทธิ์ไร้เดียงสา
มุมปากของต้วนหลิงเทียนพลันกระตุก
เขาจะพูดอะไรได้อีกล่ะทีนี้?
เป็นไปได้หรือไม่เล่า ที่เขาจะอธิบายเรื่องแรงดึงดูดหรือความเร่งเข้าสู่จุดศูนย์กลาง ให้แก่เค่อเอ๋อจนนางเข้าใจ นางจะรู้จักวิชาฟิสิกส์ไหม?
ในขณะเดียวกันลี่เฟยที่นอนอยู่ด้านข้างก็มองไปยังทะเลดาราที่งดงามเช่นกัน แววตากระจ่างใสของนางก็จมอยู่กับความคิด
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนและคู่หมั้นทั้งสองคน กำลังนอนดูทะเลดาราและจันทราที่งดงามตระการตากันอย่างมีความสุขนั้น ...หน้าประตูเขตที่พักของตระกูลซูก็มีร่าง 2 ร่างกำลังพุ่งเข้าประตูไปอย่างเร่งรีบ
ร่างด้านหน้านั้นแลดูมีอายุอานามประมาณ 22-23 ปี ส่วนร่างด้านหลังนั้น มีอายุอานามประมาณ 20 ปีสวมชุดสีแดง อีกทั้งยังมีใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเย็นชา แขนข้างนึงกอดกระบี่เอาไว้ ประกายตาของเขาฉายแววสงสัยออกมาไม่น้อย
หลังจากั้นไม่นาน
"ท่านผู้อาวุโสหลัก ข้านำซูหลี่มาแล้วขอรับ" ก่อนที่จะเดินเข้าไปในลานกว้างแห่งหนึ่ง ชายที่นำหน้าพลันกล่าวขึ้นมาหน้าประตู
"ให้มันเข้ามา" เสียงหนึ่งดังขึ้นจากในลาน
ชายหนุ่มที่เต็มไปด้วยความเย็นชาสวมชุดสีแดง ที่แท้คือซูหลี่นี่เอง
แววตาของซูหลี่ฉายความซับซ้อนและสงสัยออกมาไม่น้อย ก่อนที่จะเดินเข้าไปในลาน ด้วยความรวดเร็ว
ภายในมีชายชราคนหนึ่งที่ยืนตระหง่านอยู่ราวกับภูผา และสองตาของมันยังจับจ้องมายังซูหลี่ด้วยประกายตาเจิดจ้า ...
ซูหลี่เพียงยืนนิ่งๆไม่กล่าววาจาใดๆออกมาแม้ครึ่งคำ
“บิดาของเจ้ายังสบายดีอยู่หรือไม่?” ผู้อาวุโสหลักของตระกูลซู ซูหนัน กล่าวถามออกมาพร้อมจับจ้องไปยังซูหลี่
"ก็ไม่เลว เขากินอิ่มนอนหลับ" ซูหลี่กล่าวตอบออกมาอย่างไม่แยแส ดูเหมือนเขาจะไม่อยากสนทนากับซูหนันสักเท่าไร "เจ้าให้คนไปตามข้ามามีธุระอะไร ถ้ามีอะไรก็รีบๆกล่าวออกมา"
ซูหนันไม่ได้เร่งร้อนอะไร ก่อนจะกล่าวออกมา "ข้ายังจำได้ว่า บิดาของเจ้าเองก็ฝึกฝนบ่มเพาะศึกษาในแนวทางของกระบี่ และเพลงกระบี่ไร้เงาของเขาเองก็เป็นเพลงกระบี่ที่กล่าวได้ว่าเลิศล้ำ จนยากจะหาคู่เปรียบได้ในตระกูลซูของเรายามนั้น...แต่น่าเสียดายที่บิดาของเจ้ามันยโสและจองหองเกินไป ถึงขั้นหาญกล้าไปท้าทายต้วนหรูเฟิงแห่งตระกูลต้วนที่กำลังโด่งดัง ราวกับดาราสุกสกาวในเวลานั้น... สุดท้ายแล้วเป็นไรเล่า ไม่เพียงแต่เพลงกระบี่ของบิดาเจ้าจะพ่ายแพ้เขา ตัวเขายังได้รับบาดเจ็บสาหัสจนต้องทุกข์ทรมานอย่างหนักซ้ำยังไร้หนทางรักษา ต้องกลับกลายมาเป็นคนพิการที่ไม่อาจใช้พลังงานต้นกำเนิดได้อีกครั้งอย่างทุกวันนี้ "
"แต่ข้าได้ยินมาว่าตัวเจ้ากลับไปมีสัมพันธ์อันดีกับต้วนหลิงเทียนบุตรชายของต้วนหรูเฟิงนั่น แม้กระทั่งไปคบหาเป็นสหายกับมัน ... เหอะ! บุตรชายของคนที่ทำร้ายบิดาเจ้าจนต้องพิกลพิการเช่นนี้! เจ้ายังไปญาติดีกับมันได้อย่างไร? เจ้าไม่มีความแค้นต่อมันแม้แต่น้อยเลยหรือไร?" ในขณะที่กล่าวถึงเรื่องนี้ ประกายตาซูหนันเรืองวูบออกมาอย่างล้ำลึก ราวกับมันหวังผลเลิศล้ำอันใดอยู่
"ทำไมข้าต้องเกลียดเขาล่ะ?" ซูหลี่กล่าวถามออกมาด้วยน้ำเสียงไม่แยแสพร้อมท่าทางสงบนิ่ง "หากเจ้าเรียกข้ามาที่นี่เพียงเพราะหวังยุยงให้พวกเราแตกแยก...เสียเวลาเปล่าๆ"
ถึงแม้ว่าบิดาของเขาจะพ่ายแพ้ต้วนหรูเฟิงจนพิกลพิการ แต่บิดาของเขาไม่เคยนึกโทษหรือโกรธเคือง ต้วนหรูเฟิงแม้แต่เพียงครั้งเดียว เพราะบิดาเขาเป็นผู้แสวงหาความเป็นเลิศในเพลงกระบี่อย่างแท้จริง ยามนั้นทั้งหมดล้วนเป็นเพราะบิดาเขาฝืนจนเกินตัว จึงต้องพบกับอาการบาดเจ็บเช่นนี้
อีกทั้งทุกครั้งยามที่กล่าวถึงต้วนหรูเฟิง...บิดาของเขายังแสดงความเคารพออกมาอีกด้วย ราวกับทุกคราที่กล่าวถึงเขาจะหวนไปนึกถึงการประลองกระบี่ครั้งนั้น
และถึงแม้พวกเขาจะอยู่ห่างไกลจากเมืองหลวงในตอนนั้น แต่ตอนที่ได้รับข่าวคราวการหายตัวไปของต้วนหรูเฟิง บิดาของเขายังซึมเศร้าและเสียใจออกมาอยู่เป็นเวลานาน
ต่อให้ตัวเขายังเป็นเด็กน้อยอยู่ในเวลานั้น แต่ความรู้สึกของบิดา ตัวเขาย่อมเข้าใจมันเป็นอย่างดี
และตัวเขาที่สานต่อปณิธานมาจากบิดาตั้งแต่ยังเล็ก ย่อมไม่มีวันเคียดแค้นต้วนหรูเฟิงอย่างแน่นอน!
ที่สำคัญเหตุผลเดียวที่บิดาเขาต้องจากตระกูลซู และออกจากเมืองหลวงไปในปีนั้น ไม่ใช่เพราะกลุ่มตัวบัดซบในตระกูลซูหรอกหรือ!
หากจะกล่าวถึงความเกลียดชังแล้ว ชีวิตนี้สิ่งที่เขาเกลียดชังที่สุดคือ ตระกูลซูบัดซบนี่ล่ะ!
"เฮอะ ที่แท้ตัวเจ้ากับบิดาก็งมงายไร้สาระไม่แพ้กัน!" สีหน้าของซูหนันเริ่มหมองคล้ำลง
"หากไม่มีอะไรแล้ว ข้าจะกลับ" ประกายตาของซูหลี่เรืองวูบขึ้นมาอย่างดุร้ายมือที่กุมกระบี่เกร็งขึ้นมาจนข้อขาว คนที่เขาชื่นชมมากที่สุดในชีวิตคือบิดาผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาให้เขาตั้งแต่ยังเล็ก เขาไม่มีวันทนฟังผู้ใดดูหมิ่นบิดาของเขาได้!
"เช่นนั้นข้าจะกล่าวอย่างตรงไปตรงมา ...เจ้ารับนี่ไปก่อน" ซูหนันหยิบขวดเล็กๆใบหนึ่งส่งให้ซูหลี่
ซูหลี่ขมวดคิ้วเล็กน้อย เพราแค่ดูก็รู้ว่ามันเป็นขวดโอสถ แต่เขาไม่คิดว่าคนอย่างซูหนันจะใจดีมอบโอสถนี้ให้เป็นของขวัญแก่เขาอย่างแน่นอน
"นี่คือโอสถระงับกำเนิด" ซูหนันกล่าวออกมาช้าๆ
สีหน้าของซูหลี่พลันเครียดขึ้นมาทันที เขาย่อมรู้ว่าโอสถในมือคืออะไร แม้ว่ามันจะไม่ได้นับว่าเป็นยาพิษร้ายแรงอะไร แต่หากคนที่มีระดับบ่มเพาะต่ำกว่ากำเนิดแก่นแท้ได้รับมันเข้าไปแล้วล่ะก็ พลังงานต้นกำเนิดในร่างกายทั้งหมดจะถูกระงับเอาไว้ไม่อาจโคจรใช้ออกมาได้ และช่วงเวลาที่ผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นไม่อาจใช้พลังงานต้นกำเนิดได้ก็มีมากถึง 5 ชั่วยาม
ถึงแม้ว่าผู้ฝึกยุทธ์จะได้รับมันไปเพียงเล็กน้อย ไม่กี่หยด แต่พลังงานต้นกำเนิดก็จะถูกระงับเอาไว้ขั้นต่ำ 2 เค่อ
ตอนนี้เองซูหลี่พลันเข้าใจเรื่องราวที่ซูหนันคิดกระทำทันที "เจ้าต้องการให้ข้านำโอสถระงับกำเนิดนี่ ไปวางยาต้วนหลิงเทียนใช่หรือไม่?"
"โอ้! นับว่าเจ้าเฉลียวฉลาดนัก ... " ประกายตาของซูหนันเรืองวูบขึ้นมา ก่อนที่จะกล่าวออกมาอย่างช้าๆ “ข้ารู้ว่าเจ้ายึดถือมันเป็นสหาย ข้าจึงไม่คิดบังคับให้เจ้าเป็นคนลงมือเข่นฆ่ามัน ... เจ้าเพียงต้องทำให้มันกินโอสถระงับกำเนิดนี่เข้าไปให้ได้ในช่วงมือกลางวัน แม้จะเป็นเพียงหยดเดียวก็ยังดี พอมันกินไปแล้วเจ้าก็ส่งสัญญาณ และตอนนั้นสาวกของตระกูลซูจะเป็นผู้ลงมือเอง”
"เหอะ! เจ้าคิดว่าเรื่องนี้เป็นไปได้?" ซูหลี่หัวเราะเยาะ เขายกมือขึ้นหมายจะซัดขวดโอสถให้แหลกเป็นชิ้นๆ
สีหน้าของซูหนันพลันเคร่งขรึมขึ้น มันกล่าวออกมาด้วยวาจาอำมหิต "หากเจ้ากล้าโยนขวดโอสถนี่ทิ้ง! เจ้าจะต้องเสียใจ ที่กระทำการไม่คิดจนไม่อาจแก้ไขอะไรได้อีก"
"เจ้ากล้าข่มขู่ข้าหรือ? หรือเจ้าคิดว่าข้าซูหลี่รักตัวกลัวตาย จนถึงขั้นคิดคดทรยศสหาย?" ซูหลี่หัวเราะเย้ยหยันออกมา
เขายอมตายเสียดีกว่าจะต้องมาขายเพื่อน! แล้วนับประสาอะไรกับข่มขู่เขาให้ไปทำร้ายเพื่อนเช่นนี้!
ซูหนันหรี่ตาจ้องมองซูหลี่ ก่อนจะกล่าวออกมาช้าๆ "ไม่เลวเลยทีเดียว เจ้านี่นับว่าเหมือนกันกับบิดาไร้ค่าของเจ้าในปีนั้นนัก! อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้เจ้าไม่มีทางเลือก! ตระกูลซูของเรานั้นค้นพบร่องรอยครอบครัวเจ้านานแล้ว! พวกเจ้าคิดหรือว่าถึงไปหลบอาศัยอยู่ในเมืองสุสานยุทธ์ ของมณฑลสายลมโปรยบุปผาที่ห่างไกล แล้วทางตระกูลซูจะหาไม่พบ!”
ซูหนันกล่าวถึงตรงนี้พลันจิตสังหารออกมา “ข้าให้เวลาเจ้าเพียง 2 วัน หากเจ้าไม่นำโอสถระงับกำเนิดนี่ไปวางยาใส่ต้วนหลิงเทียนแล้วล่ะก็ ข้าจะให้มือสังหารควบขี่อาชาเหงื่อโลหิต ไปยังเมืองสุสานยุทธ์และสังหารบิดามารดาเจ้า!”
ใบหน้าของซูหลี่พลันเปลี่ยนเป็นซีดเผือด
ถึงแม้ว่าระดับบ่มเพาะของบิดาเขาจะไม่ต่ำ แต่เพราะอาการบาดเจ็บเรื้อรังที่ยากรักษาหาย เขาจึงไม่อาจใช้พลังงานต้นกำเนิดของเขาออกมาได้ ส่วนมารดาของเขานั้นเป็นเพียงสตรีชาวบ้านร้านถิ่นธรรมดาเท่านั้น ระดับบ่มเพาะของนางยังต่ำกว่าเขาเสียอีก!
"ชั่วช้า สารเลวนัก" ไม่เคยมีสักครั้งที่ซูหลี่จะคิดว่าผู้อาวุโสหลักของตระกูลซูจะชาติชั่วได้ถึงขนาดนี้ มันกล้าใช้ชีวิตบิดามารดามาข่มขู่เขา!
"ชีวิตของบิดามารดาอยู่ในกำมือของเจ้าแล้ว ... เจ้าเลือกมันอย่างระวังก็แล้วกัน!" ซูหนันแย้มยิ้มอย่างอ่อนโยนราวกับตอนนี้ซูหลี่อยู่ในกำมือของเขา แล้วมันก็โบกมือให้ซูหลี่กลับไป
ซูหลี่สูดหายใจเข้าลึกๆ และแววตาของเขาดูเหมือนกำลังจมอยู่กับมโนธรรมในหัวใจ
สุดท้ายตัวเขาก็เลือกที่จะเดินออกจากตระกูลซู พร้อมกำขวดโอสถระงับกำเนิดเอาไว้
เช้าวันต่อมา
หลังจากกินอาหารเช้ากับครอบครัวแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็พาเสี่ยวเฮยและเสี่ยวไป๋มาสถาบันบ่มเพาะขุนพลตามปกติ
เห็นได้ชัดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน ทางสถาบันบ่มเพาะขุนพลไม่ได้มีเจตนาที่จะแพร่งพรายออกไป ทำให้วันนี้ชีวิตของต้วนหลิงเทียนก็ยังเป็นปกติสุข กลุ่มนักศึกษาในชั้นเรียนดาวกุนซือ เลยไม่ได้จ้องต้วนหลิงเทียนด้วยแววตาเหมือนเห็นตัวประหลาด มากไปกว่าเดิม..
ชั้นเรียนช่วงเช้าจึงดำเนินไปอย่างปกติสุข
ตอนเที่ยงกลุ่มของต้วนหลิงเทียนก็มารวมตัวกันเพื่อรับประทานอาหารเที่ยงอีกครั้ง
"เฮ่ ซูหลี่ เจ้าเป็นอันใด เหตุใดสีหน้าจึงย่ำแย่นักเล่า ?" ต้วนหลิงเทียนสังเกตได้ว่าสีหน้าของซูหลี่วันนี้ไม่สู้ดีนัก เขาจึงอดถามขึ้นมาไม่ได้
"ข้าเองก็สงสัยเช่นกัน ไม่รู้มันถ่ายไม่ออก หรือมีอันใดผิดปกติ แต่มันทำหน้าเช่นนี้มาตั้งแต่เช้าแล้ว" เทียนหูส่ายหัวไปมา
"ข้าไม่ได้เป็นอะไร" ภายใต้การจับจ้องอย่างเป็นห่วงจากสายตาของเซี่ยวหยูและเซี่ยวฉวินและทุกคน ซูหลี่พลันกล่าวออกมาพร้อมส่ายหัว
ไม่นานอาหารก็ถูกนำมาจัดวาง เหยือกสุราเองก็เช่นกัน
"ข้ารู้สึกสนุกสนานทุกทียามนึกถึงเรื่องเมื่อวาน เอาล่ะ พวกเรามาดื่มฉลองกันเถอะ ... " ต้วนหลิงเทียนยิ้มก่อนที่จะเอื้อมมือไปจับเหยือกสุรา
หมับ!
ซูหลี่พลันยกมือขึ้นมาจับมือที่ถือเหยือสุราของต้วนหลิงเทียนไว้ ก่อนที่จะหยิบเหยือกสุรามาถือเอาไว้เอง ราวกับมันคิดรินสุรา
"อะไร! วันนี้ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกงั้นหรือ? ซูหลี่ถึงคิดรินสุราให้พวกเราเช่นนี้!" สีหน้าของเทียนหูเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ
"หากไม่ใช่เพราะเจ้ามาทันเวลา เมื่อวานนี้ระดับบ่มเพาะของข้า คงถูกซูถงทำลายไปแล้ว ... " ซูหลี่กล่าวออกมาเบาๆ
"เจ้ายังจะกล่าวอะไรอีก พวกเราล้วนเป็นสหายกันทั้งสิ้น" ต้วนหลิงเทียนเพียงส่ายหัวออกมาพร้อมรอยยิ้ม "เอาล่ะ ซูหลี่ หากเจ้าซึ้งใจมากรีบรินสุรามายกหมดจอกเร็วๆ"
ที่โต๊ะห่างออกไปไม่ไกลมีชาย 2 คนกำลังนั่งอยู่ด้วยกัน
"ดูเหมือนซูหลี่จะลงมือแล้ว"
“ฮึ่ม! มันกล่าวเสียดิบดีว่าเป็นสหายกัน! แต่ดูมันสิ มิใช่ยามนี้มันกำลังคิดขายสหายตัวเองหรือไร? ตอนนี้ต่อให้ต้วนหลิงเทียนตกตายไป มันยังคงคิดไม่ถึงเลยกระมัง ว่าสหายที่แสนดีของมันจะวางยามันเช่นนี้” ชายหนุ่มทั้ง 2 คนพูดคุยกระซิบกระซาบกันด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา โดยมีเพียงพวกมันเท่านั้นที่ได้ยิน
"จะอย่างไรก็ช่างเถอะ เมื่อพวกเราลงมือสังหารต้วนหลิงเทียนแล้ว พวกเราก็ต้องรีบออกจากสถาบันบ่มเพาะขุนพล ไม่สิพวกเราต้องรีบหนีออกจากเมืองหลวงให้เร็วที่สุด"
"รางวัลที่ผู้อาวุโสหลักสัญญาว่าจะมอบให้พวกเรานับว่ามากมายมหาศาลนัก พอให้พวกเราใช้ชีวิตอย่างสุขสบายได้เหลือเฟือโดยมิต้องกังวล ... "