spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
*ตั้งค่าถาวร (คลิกตั้งค่าถาวร) |
นี่เป็นการเย้ยหยันอย่างถึงขีดสุด!
แต่จะอย่างไรก็ตามตอนนี้พวกเขาเห็นต้วนหลิงเทียนปลอดภัย พวกเขาก็ระบายลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก แรงกดดันบีบคั้นในใจพลันมลายหายไปสิ้น
"หืม?" ทันใดนั้นเองต้วนหลิงเทียนพลันหันไปมองทางเข้าป่าไผ่ เพราะเขาจับสัมผัสบางอย่างได้
เสียงลมหวีดหวิวร่าง 3 ร่างกำลังพุ่งมาทางนี้ด้วยความเร็วสูง เพียงเสี้ยวพริบตาราวกับเหินบิน ทั้ง 3 ก็มาถึงที่เขาอยู่
3 คนนี้ล้วนเป็นชายวัยกลางคน และ 3 คนนั้นต้วนหลิงเทียนก็รู้จักเพียงคนเดียวเท่านั้น
หนิวหมัง!อาจารย์ของนักศึกษาชั้นปีที่ 1 ฝ่ายดาวขุนพล มันเป็นอาจารย์ของซูหลี่และเทียนหูนั่นเอง
ส่วนชายวัยกลางคนอีก 2 คนนั้น หนึ่ง แลดูแข็งแกร่งกำยำองอาจ อีกหนึ่งดูสุภาพทรงปัญญา ...อาศัยเพียงรูปลักษณ์ภายนอกที่เด่นชัดถึงเพียงนี้ต้วนหลิงเทียนก็เดาความเป็นมาของพวกมันได้ไม่ยาก
“ซูถง!” ทันทีที่ชายร่างหนาเคราน้ำตาลคล้ำ เหลือบไปเห็นร่างซูถงนอนหมดสติอยู่ ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นขมึงตึงเครียดเล็กน้อย เขาไม่ลังเลอะไรรีบพุ่งร่างไปประคองซูถงทันที เขารีบโคจรพลังงานต้นกำเนิดเพื่อห้ามเลือดที่กระอักออกมาจากปากของซูถง ก่อนที่จะป้อนโอสถทองประสานกายให้แก่ซูถงอย่างเร่งด่วน
"เกิดอันใดขึ้น?" คิ้วหน้าของชายร่างหนาเคราน้ำตาลกำลังขมวดเป็นปม แววตาราวกับเสือร้ายดุดันของเขาจับจ้องไปยังต้วนหลิงเทียนอย่างคาดคั้น
ต้วนหลิงเทียนไม่มีทีท่าหวาดกลัวแววตาดุร้ายเช่นนี้สักนิด เขายักไหล่ก่อนที่จะกล่าวตอบออกมาสบายๆ "มันก็ไม่มีอะไรมาก ก็แค่ตัวบัดซบที่วางแผนคิดทำลายตันเถียนผู้อื่น ทว่าสุดท้ายมันก็ล้มเหลวและประสบผลเช่นนั้นเอง ... "
ชายร่างหน้าที่กำลังประคองซูถงอยู่ เมื่อได้ฟังวาจาของต้วนหลิงเทียน เขาพลันสังเกตไปยังตันเถียนของซูถง และพบว่ามันถูกทำลายไปแล้วจริงๆ ...
ตอนนี้เองม่านตาของเขาพลันหรี่ลงก่อนที่จะปิดลงอย่างช่วยไม่ได้ เขาลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก่อนที่จะมองไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ทว่าท่าทางสบายๆไร้เรื่องราวและใบหน้าไม่สนโลกของต้วนหลิงเทียนทำให้เขารู้สึกตะลึงเล็กน้อย "เด็กน้อยเจ้ารู้ตัวหรือไม่ เจ้าสร้างปัญหาใหญ่แล้ว?"
"อาจารย์ จากที่ข้ารู้มากฎของสถาบันบ่มเพาะขุนพลนั้นมีเพียง ...ห้ามเข่นฆ่ากันภายในสถาบันแห่งนี้ใช่หรือไม่ แต่มันหาได้ครอบคลุมถึงเรื่องการทำลายตันเถียนหรือทำให้พิการแต่อย่างใด... แล้วในเมื่อมันมีตัวบัดซบที่คิดทำร้าย และทำลายตันเถียนของข้า ท่านจะให้ข้ายืนนิ่งเฉยๆไม่ตอบโต้หรือป้องกันตัวอันใดเลยหรือ?" ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมาก่อนที่จะแบมือยักไหล่ส่ายหน้าไปมาราวกับเจนปัญญา พร้อมทั้งหัวเราะออกมาอย่างไร้กังวล
นั่นเพราะเขารู้ดีว่าเรื่องนี้เขาไม่ได้เป็นฝ่ายผิดอะไรสักนิด หากไม่ใช่เพราะซูถงนั่น รนหาที่และแส่หาเรื่องด้วยตัวของมันเอง หรือถ้ามันไม่คิดลงมือต่อผู้อื่นด้วยอำมหิต มันจะพบจุดจบเช่นนี้หรือ?
สำหรับเขาการที่มันต้องเผชิญชะตากรรมเช่นนี้ ล้วนเป็นเพราะมันทำตัวเองทั้งสิ้น!
มุมปากของชายร่างหน้าเคราน้ำตาลถึงกับกระตุก เมื่อเห็นท่วงท่าสบายๆไร้เรื่องราว ทั้งยังรอยยิ้มสนุกสนานราวกับเด็กน้อยไร้เดียงสาที่ไม่คิดว่าตัวเองจะมีความผิดใดๆ
"เจ้าคือต้วนหลิงเทียนหรือ?" ทว่าตอนนี้เองชายวัยกลางคนที่แลดูสุภาพมีภูมิปัญญา ที่มาด้วยอีกคนพลันกล่าวถามออกมา
"ใช่แล้ว อาจารย์" ต้วนหลิงเทียนหันไปรับคำชายวัยกลางคน
แววตาของชายวัยกลางคนนั้นทอประกายเรืองวูบขึ้นมา ก่อนที่จะกล่าวพร้อมรอยยิ้ม "ที่แท้เจ้านี่เอง ต้วนหลิงเทียน ... เอาล่ะ หากเรื่องนี้มีความเป็นมาดั่งคำกล่าวของเจ้าจริง ทางสถาบันจะไม่เอาความอันใดกับเจ้า แต่เรื่องนี้ก็หาได้ง่ายดายนักสำหรับเจ้าไม่ เพราะจะอย่างไรสถานะของซูถงในตระกูลซูเองก็ไม่ธรรมดา มันมีความสำคัญและสถานะสูงอย่างยิ่งสำหรับตระกูล เจ้าต้องระวังตัวเอาไว้ให้มาก "
"ขอบคุณสำหรับคำเตือน อาจารย์" ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับเบาๆ ก่อนจะแสดงความขอบคุณ
ชายร่างหนาเคราน้ำตาลคล้ำเอง ตอนนี้ก็มองต้วนหลิงเทียนด้วยแววตาล้ำลึก ก่อนที่จะเบนสายตาไปยังชายหนุ่มที่ถูกตัดแขนทั้ง 2 คน "เอาล่ะ เจ้าทั้ง 2 คนดูเหมือนจะเป็นคนของตระกูลซูใช่หรือไม่ พวกเจ้ารีบนำซูถงกลับไปยังตระกูลซูเพื่อรักษาเสีย อ่อแล้วก็อย่าลืมนำแขนทั้งสองข้างไปด้วย พวกมันอาจจะยังนำไปต่อรักษาได้อีก"
"ขอรับอาจารย์" ชายหนุ่มทั้ง 2 ที่ถูกต้วนหลิงเทียนสะบั้นแขนเผยสีหน้าขื่นขม พวกมันไปเก็บแขนและรีบช่วยกันประคองซูถงจากไปอย่างรวดเร็ว
ในขณะเดียวกัน เทียนหูที่ไปฟังเรื่องราวเหตุการณ์จากซูหลี่และเทียนหูจนเสร็จสิ้นก็เดินเข้ามา "ข้าได้ยินเรื่องราวความเป็นมาทั้งหมด จากลูกศิษย์ในชั้นเรียนของข้าทั้ง 2 คนแล้ว เรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนหาได้มีความผิดอันใด ตัวต้นเหตุล้วนเป็นไอเด็กบัดซบซูถงนั่นทั้งสิ้น ต้วนหลิงเทียนเพียงป้องกันตัวเอง เขามิมีความผิด"
ชายวัยกลางคนทั้ง 2 คนเมื่อได้รับฟังเรื่องนี้จากเทียนหูก็พยักหน้ารับ "เอาล่ะแม้เรื่องนี้จะสรุปได้แล้ว แต่จะอย่างไรพวกเราก็ต้องรายงานให้รองผู้อำนวยการทราบ"
"เอาล่ะ " ชายวัยกลางคนทั้ง 2 หันมามองต้วนหลิงเทียนอีกครั้งพร้อมรอยยิ้มก่อนที่จะจากไป
ทั้งสองมาด้วยความรวดเร็วดั่งสายลม ขากลับก็มิต่างอันใดกับวายุกรรโชก เพียงพริบตา ร่างทั้งสองก็หายลับไป!
"อาจารย์หนิว เหตุใดท่านถึงจ้องข้าเช่นนั้นเล่า ข้ารู้สึกกังวลขึ้นมาเล็กน้อยแล้วนะท่าน..." ต้วนหลิงเทียนที่สังเกตเห็นว่าหนิวหมังจับจ้องเขามาด้วยสายตาวาวโรจน์ เต็มไปด้วยความปรารถนาราวกับต้องการอะไรบางอย่างถึงกับขนลุกซู่ ...
หนิวหมังร่างใหญ่ราวโคถึกผู้นี้ คงมิได้มีงานอดิเรกเช่นนั้นใช่หรือไม่?
หนิวหมังเมื่อถูกทัก พลันรู้สึกตัวขึ้นมาและสำนึกได้ว่าตัวเองจับจ้องผู้อื่นอย่างไม่เหมาะสม เขาจึงหัวเราะออกมาอย่างสุภาพก่อนที่จะบีบหมัดหักนิ้วออกมาราวกับแก้เขิน "ต้วนหลิงเทียน พรสวรรค์ในด้านบ่มเพาะและเชิงยุทธ์ของเจ้านั้นล้ำเลิศนัก ศักยภาพของเจ้าในอนาคตแทบจะไร้ขีดจำกัด ...สามารถตัดผ่านไปยังระดับกำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 9 ได้ตั้งแต่ยังเยาว์เช่นนี้... ในอนาคตหากเจ้าได้เป็นแม่ทัพใหญ่ นำพากองทัพเข่นฆ่าสังหารกวาดล้างอริราชทั่วสารทิศ เจ้าจะเสริมสร้างขวัญและกำลังใจให้แก่กองทัพได้มากมายนัก! "
"อาจารย์ หากท่านต้องการกล่าววาจาใด ท่านก็กล่าวออกมาตรงๆเถิดอย่าได้อ้อมค้อม" ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมาเล็กน้อย แน่นอนว่าเขาย่อมเข้าใจถึงความต้องการภายใต้คำพูดของหนิวหมัง
"เห็นหรือไม่ เจ้านั้นมีความตรงไปตรงมา! เช่นนี้ นี่ล่ะ! บุคลิกของแม่ทัพใหญ่!!... เอาล่ะข้าขอกล่าวตรงๆ เจ้าสนใจจะมาร่ำเรียนในฝ่ายดาวขุนพลของข้าหรือไม่?" ดวงตาของหนิวหมังวาววูบออกมาราวกับจะเปล่งแสงได้ ใบหน้าของมันเต็มไปด้วยความคาดหวังยามกล่าวกับต้วนหลิงเทียน
สำหรับเขาเมื่อต้วนหลิงเทียนเติบโตความสามารถของมันในเชิงยุทธ์ต้องเหนือล้ำพุ่งทะยานฟ้าอย่างแน่นอน
หากตัวตนสะท้านฟ้าเช่นนี้ถือกำเนิดขึ้นภายใต้การดูแลฟูมฟักของเขาแล้วล่ะก็ นับว่าหลายปีแห่งการเป็นอาจารย์ในสถาบันบ่มเพาะขุนพลไม่ไร้ความหมายแล้ว
"เอ่อ...เรื่องนี้ " ต้วนหลิงเทียนตกอยู่ในสถานการณ์อึดอัดใจเล็กน้อย ด้วยไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไรดีให้สุภาพ ทว่าเมื่อเขาเงยศีรษะขึ้นมาจะกล่าวตอบ สายตาของเขาพลันจับสังเกตถึงสิ่งหนึ่งได้ รอยยิ้มเริ่มปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขา "อาจารย์หนิวหมัง ข้าว่าเรื่องนี้ ท่านก็ควรกล่าวกับอาจารย์ซื่อหม่าของข้าก่อน"
หนิวหมังเอง พลันจับสังเกตได้ว่าบรรยากาศมันเปลี่ยนไป... มีอะไรผิดปกติกัน?
ตอนนี้ ด้านหลังหนิวหมัง มีร่างชายวัยกลางคนที่ดูสง่างามราวกับนักปราชญ์ในมือถือพัดขนนกที่กำลังพัดเบาๆ ยืนอยู่... "หนิวหมัง เดี๋ยวนี้เจ้ากล้าถึงขนาดหลอกล่อนักศึกษาในชั้นเรียนของข้าแล้วหรือ?" ดวงตาทอประกายของเขาจับจ้องไปยังหนิวหมัง
"ว๊าก ซื่อหม่า!" หนิวหมังหันกลับมาเจอซื่อหม่าฉางฟงพลันสะดุ้งไปเล็กน้อย ก่อนที่จะหัวเราะออกมาอย่างเขินอาย "ฮ่าๆ มันเป็นแค่เรื่องล้อเล่นสนุกสนาน ...ล้อเล่นจริงๆ... "
"ต้วนหลิงเทียน เจ้าตามข้ามาก่อน" ซื้อหม่าฉางฟงส่ายหน้าและเลิกสนใจโคถึกอย่างหนิวหมัง เขาเรียกต้วนหลิงเทียนก่อนที่จะเดินนำเข้าไปยังส่วนลึกของป่าไผ่
"เอาล่ะ พวกเจ้าไปหาอะไรกินกันก่อนเถอะ เดี๋ยวข้าตามไป" ต้วนหลิงเทียนไม่ลืมหันกลับมากล่าวกับเซี่ยวหยูและพรรคพวก ก่อนที่จะเดินตามซื่อหม่าฉางฟงไป
"ฮึ่มเจ้าหนู เป็นเพราะพวกเจ้าทั้ง 2 คนแท้ๆ ทำให้อาจารย์ฝ่ายดาวขุนพลชั้นปีที่ 1 อย่างข้าต้องเสียหน้า ... มีความผิดต้องถูกลงโทษ! พวกเจ้าทั้ง 2 คน ต้องเป็นคนชำระค่าอาหารกลางวันให้แก่ข้าอาจารย์เป็นการไถ่โทษ พวกเจ้าข้องใจอันใดหรือไม่?" เสียงกล่าววาจาไร้ความเป็นธรรม ซ้ำยังข่มขู่บังคับนักศึกษาดังเข้าหูต้วนหลิงเทียน อดไม่ได้ที่เขาจะหัวเราะออกมา
และเสียงของเทียนหูก็ดังขึ้น "ไม่ข้องใจขอรับ ไม่ข้องใจใดๆทั้งสิ้น ...เท่านี้พอหรือไม่อาจารย์"
เมื่อซื่อหม่าฉางฟงเดินนำต้วนหลิงเทียนเข้าป่าไผ่มาลึกพอแล้วเขาพลันชะงักเท้าลง ต้วนหลิงเทียนเองก็รั้งเท้าไว้เช่นกัน
"เจ้านี่น้า...เรื่องนี้เจ้าวู่วามเกินไปแล้ว" ซื่อหม่าฉางฟงถอนหายใจออกมา
เห็นได้ชัดว่าตัวเขาเองทราบเรื่องราวความเป็นมาทั้งหมดแล้ว
"วู่วามอย่างไรเล่าท่านอาจารย์?" ต้วนหลิงเทียนไม่ได้ยอมรับหรือปฏิเสธ เขาเลือกตอบคำถามด้วยคำถาม
"เฮ่อ เจ้าก็ลงมือเกินเลยไป ...จริงอยู่ที่ ซูถงยังไม่ตกตาย ส่วนเจ้าก็เป็นฝ่ายป้องกันตัวเองอย่าถูกต้อง นั่นทำให้สถาบันบ่มเพาะขุนพลไม่กล่าวว่าอะไรเจ้า...แต่เจ้ารู้หรือไม่ ว่าซูถงเป็นทายาทสายหลักของตระกูลซู อีกทั้งตระกูลซูยั้งเลี้ยงดูปูเสื่อทุ่มเทให้เขาอย่างเต็มที่ นี่เพราะเขาเป็นคนที่มีศักยภาพสูงมากพอที่จะเป็นประมุขของตระกูลคนต่อไป "
"เจ้าทำให้ซูถงพิการเช่นนี้ มันจะแตกต่างอันใดกับตบหน้าตระกูลซูฉาดใหญ่กัน แน่นอนว่าตระกูลซูย่อมไม่ปล่อยปละละเว้นหรือเลิกราต่อเจ้าเป็นแน่!" ซื่อหม่าฉางฟงส่ายหัวไปมา นักศึกษาของเขาคนนี้กล่าวได้ว่าเป็น ลูกพยัคฆ์ไร้ซึ่งความหวาดกลัวใดๆอย่างแท้จริง
"อาจารย์...ข้าเองก็ย่อมเข้าใจคำกล่าวนี้ของท่าน แต่จะอย่างไรคนเรานั้น ผู้คนบนโลกนี้ ล้วน มีเรื่องราวที่สมควรกระทำ และไม่สมควรกระทำ! ซูถงผู้นั้นคิดทำลายระดับบ่มเพาะของข้า การกระทำนี้ของมันได้ล้ำเส้นข้ามากเกินไป! ขีดความอดทนของข้ามีจำกัด ...นี่ก็นับว่าข้าเมตตามากพอแล้วที่ไม่ได้ฆ่ามันทิ้ง!" ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบออกมาพร้อมแววตาเรียบเฉยไร้ความเปลี่ยนแปลง "สำหรับตระกูลซู หากพวกมันยังตอแยข้าไม่เลิก ข้าก็จะให้พวกมันได้รู้สำนึก!"
ผู้คนบนโลกนี้ ล้วน มีเรื่องราวที่สมควรกระทำ และไม่สมควรกระทำ!
เพียงวาจาประโยคนี้ที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมา ซื่อหม่าฉางฟงก็ตระหนักถึงความเด็ดเดี่ยวทระนงและดื้อรั้นของต้วนหลิงเทียนได้เป็นอย่างดี
ทั้งตอนนี้เขายังสัมผัสได้ถึงความมั่นใจจากต้วนหลิงเทียนอีกด้วย เขาทำเพียงมองต้วนหลิงเทียนด้วยแววตาลึกซึ้งก่อนจะกล่าว "เอาล่ะ ข้าเองก็ไม่คิดว่าเจ้าจะรับรู้และเข้าใจผลลัพธ์เรื่องราวของการกระทำในครั้งนี้ละเอียดถี่ถ้วนดีแล้ว หากเจ้าไม่ได้ลงมือเพราะความโกรธหรือวู่วามขาดความยั้งคิด ข้าเองก็ไม่มีวาจาใดจะกล่าวอีกต่อไป"
ลังจากนั้นต้วนหลิงเทียนและซื่อหม่าฉางฟงก็เดินออกมาจากป่าไผ่และแยกย้ายกันไป
ตระกูลซู!
ต้วนหลิงเทียนหรี่ตามองไปยังทิศทางหนึ่งก่อนที่จะแสยะยิ้มออกมา
หลังจากที่มาถึงโรงอาหารต้วนหลิงเทียนก็ไปนั่งข้างเซี่ยวหยูและลงมือจัดการอาหารจนหมด
แน่นอนว่าตอนนี้เซี่ยวหยูและคนอื่นๆ ล้วนเป็นกังวลกับความปลอดภัยของต้วนหลิงเทียนกันทั้งสิ้น ... เพราะจะอย่างไรตระกูลซูสำหรับพวกมันก็ไม่ต่างอะไรกับยักษ์ตัวใหญ่ที่มีพลังอำนาจมากพอที่จะบดขยี้พวกเขา เป็นการยากที่จะต่อต้าน
แต่ต้วนหลิงเทียนไม่ได้เดือดร้อนหรือสนใจอะไรเขาปล่อยผ่านเรื่องราวทั้งหมด ก่อนจะกินอาหารออกมาด้วยความสบายใจ เขาเพียงหัวเราะให้กับเรื่องราวอย่างไม่แยแส ราวกับเรืองราวพวกนี้ไม่ได้มีความสำคัญหรือเกี่ยวข้องอะไรกับเขา
ตระกูลซูนั้นเป็น 1 ใน 3 ตระกูลใหญ่แห่งเมืองหลวง และชื่อเสียงของมันก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าตระกูลต้วน และตระกูลเซี่ยว เลยสักนิด
ในตอนนี้ที่หองโถงหลักของตระกูลซุ คนระดับสูงของตระกูลซูล้วนรวมตัวกันครบครัน
ชายวัยกลางคนสวมชุดคลุมขลิบทองนั่งอยู่เหนือสุด หลังของมันตั้งตรงดั่งหอกแหลม หว่างคิ้วฉายชัดออกมาถึงอำนาจ มันเป็นประมุขของตระกูลซู ซูผอหยา
ซูผอหยานั้นมีอายุล่วงเลยเข้าสู่วัย 60 แล้ว...อีกไม่กี่ปี มันก็จะกลายเป็นผู้ชราคนหนึ่ง
เมื่อถึงเวลานั้น มันก็ต้องเกษียณอายุ สละที่นั่งประมุขของตระกูลให้แก่คนรุ่นใหม่ และคอยช่วยเหลือประมุขตระกูลคนใหม่จากในเงา
ตอนนี้ดูเหมือนบรรยากาศในห้องโถงหลักจะตึงเครียดไม่น้อย ที่นั่งด้านล่างถัดจากซูผอหยาเองก็ว่างเปล่า ทันใดนั้นเอง ...
เสียงย่ำเท้าดังขึ้นจากภายนอกบ่งบอกว่ามีผู้คนกำลังเดินมา
ชายชราคนหนึ่งสีหน้าดำคล้ำราวกับอัดอั้น ดวงตาของมันลุกโชนไปด้วยเพลิงโทสะอย่างถึงขีดสุด กลิ่นอายกระหายเลือดและจิตสังหารแผ่ซ่านออกมาอย่างยากที่จะสะกด ท่าทางของมันแลดูไม่มั่นคงราวกับจะระเบิดอารมณ์ออกมาได้ทุกเมื่อ
ไม่นานชายชราคนนั้นก็เดินมานั่งทีเก้าอี้ต่ำกว่าซูผอหยาขั้นหนึ่ง...และที่นั่งนี้ย่อมมีไว้สำหรับผู้อาวุโสหลักของตระกูลซู
ตัวตนของชายชราคนนี้พลันกระจ่างชัด ... มันคืออาวุโสหลักของตระกูลซู ซูหนัน!
"ผู้อาวุโสหลัก ตันเถียนของซูถงมีความหวังอันใดสำหรับการรักษาตันเถียนของซูถงหรือไม่?" ประมุขตระกูลซูอย่างซูผอหยากล่าวถามออกมา สายตาของมันจับจ้องมายังซูหนันขณะกล่าววาจา อีกทั้งน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง
เหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายของตระกูลซูล้วนจับจ้องมายังซูหนันด้วยสายตาคาดหวังเช่นเดียวกัน
"ประมุข ตันเถียนของซูถงหลานข้า...ถูกทำลายลงอย่างยับเยินด้วยพลังของอาคมจารึกที่รุนแรงนัก ไม่เหลือหนทางใดในการรักษาแม้แต่น้อย ... ตลอดชีวิตนี้ของเขา...ไม่อาจสั่งสมพลังงานต้นกำเนิดได้อีกต่อไป!" น้ำเสียงของซูหนันยามกล่าวแฝงออกมาด้วยความเคียดแค้นและอำมหิต
ลูกชายของเขานั้นเสียชีวิตไปเนิ่นนานแล้ว ทั้งหมดในชีวิตของเขาหลงเหลือเพียงหลานชายคนนี้คนเดียว เขานั้นได้ทุ่มเทความรักความเอาใจใส่และฝากฝังความหวังทั้งหมดไว้ที่หลานชายคนนี้ อบรมสั่งสอนเคี่ยวกรำมันด้วยตัวเองตั้งแต่ยังเด็ก
และหลานชายของเขา ซูถงคนนี้ก็ไม่เคยทำให้เขาผิดหวัง มันกลายเป็นรุ่นเยาว์ที่แข็งแกร่งและเปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์มากที่สุดของตระกูลซู ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าหากไม่มีอะไรผิดพลาดแน่นอนว่าเก้าอี้ประมุขตระกูลซูต้องถูกมันนั่งอย่างแน่นอน
ทว่าในขณะที่เส้นทางชีวิตของหลานชายเขากำลังรุ่งโรจน์อย่างถึงขีดสุด และกำลังจะได้รับเกียรติยศที่สูงที่สุด...ตันเถียนของหลานชายเขากลับถูกคนทำลายจนย่อยยับ สูญสิ้นระดับบ่มเพาะ อนาคตดับวูบ กลับกลายเป็นตัวพิการไร้ค่าตัวหนึ่ง...