หน้าแรก > War Sovereign Soaring The Heavens
บทที่ 164 ศัตรูร่วมของผู้คน

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

*ตั้งค่าถาวร (คลิกตั้งค่าถาวร)

ในตอนที่ต้วนหลิงเทียนปรากฏตัวออกมาครั้งแรกนั้น ดวงตาสวยงามขององค์หญิงปี้เหยายังสงบไม่ต่างอะไรกับผิวน้ำในทะเลสาบที่ไร้ลม ทว่ายามนี้ที่นางได้เห็นท่าทีของต้วนหลิงเทียนนั้น แววตาที่เคยสงบนิ่งกลับค่อยๆบังเกิดระลอกคลื่นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว...

ชายหนุ่มคนนี้นั้นช่างต่างจากบุรุษทุกคนที่นางเคยพบเห็น ยามที่เขาต้องเผชิญกับการเยาะเย้ยดูหมิ่นหรือกระแนะกระแหน เขายังคงวางตัวอยู่สูงราวกับไร้เรื่องราวให้แยแส มันเป็นการยากที่จะจินตนาการได้ว่า ชายหนุ่มที่ยังเยาว์วัยถึงเพียงนี้มีสภาวะจิตใจสูงส่ง ไม่หวั่นไหวเช่นนี้ได้อย่างไร!

"คุณชายต้วน ปี้เหยาเองก็เคยได้ยินเรื่องราวของท่านมาไม่น้อย และปี้เหยาก็ชื่นชมท่านอย่างยิ่ง ปี้เหยาขอใช้ชาจอกนี้ต่างสุรา คารวะท่าน!" ในที่สุดองค์หญิงปี้เหยาที่งดงามราวเทพธิดาก็กล่าววาจาออกมา น้ำเสียงของนางไม่ต่างอันใดกับดุริยางค์สวรรค์ ระงับเสียงคำกล่าวเยาะเย้ยถากถางที่สาดเทมายังต้วนหลิงเทียนได้ชะงัก

ประกายตาของต้วนหลิงเทียนเรืองวูบขึ้นเล็กน้อย มีหรือที่คนอย่างเขาจะไม่รู้ว่า ตอนนี้องค์หญิงปี้เหยากำลังช่วยเหลือตนอยู่

ส่วนทางด้านองค์ชาย 3 นั้น เขาทำเพียงนั่งมองอยู่ด้านข้างด้วยสายตาสบายๆ โดยไม่ได้กล่าวคำอะไรออกมา

‘องค์หญิงปี้เหยานี้นับว่ามีจิตใจที่บริสุทธิ์นัก ช่างหาได้ยากยิ่งในตระกูลราชวงศ์ที่เต็มไปด้วยวังวนแห่งการแก่งแย่งชิงดี ไม่คิดเลยว่านางจะรักษาหัวใจอันบริสุทธิ์เช่นนี้ไว้ได้’ ต้วนหลิงเทียนคิดขึ้นมาในใจ ก่อนที่จะยกจอกสุราแล้วพยักหน้าให้องค์หญิงปี้เหยา

หลังจากยกจอกสุราขึ้นซดรวดเดียวหมดจอก ต้วนหลิงเทียนก็หัวเราะออกมาอย่างปลอดโปร่ง “ข้าเองก็ย่อมเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า ในเมืองหลวงแห่งนี้องค์หญิงปี้เหยานั้น เป็นสตรีที่งามล้ำเป็นลำดับที่ 1 ข้าเองยังคิดอยู่เลยว่าคำกล่าวนี้มันออกจะเกินเลยไปอยู่บ้าง แต่เมื่อได้มาประจักษ์ด้วยสองตานี้...ข้าเองก็อดตบหน้าตัวเองเสียไม่ได้! ที่คิดเช่นนั้นในตอนแรก ...ยามนี้ข้านั้นใคร่รู้นักว่าบุรุษคนใดที่จะมีโชคลาภวาสนาสูงส่งถึงขั้นได้เป็นคู่ครองขององค์หญิง หากแม้นบุรุษใดได้ท่านไปเป็นเจ้าสาว เกรงว่าเขาคงต้องเป็นผู้ที่ทำแต่ความดีสั่งสมบุญบารมีมาชั่วชีวิตเป็นแน่”

"คุณชายต้วนท่านล้อปี้เหยาเล่นแล้ว" แม้แต่องค์หญิงปี้เหยาเองที่ชาชินกับคำกล่าวและวาจายกย่องชมเชยมามากมาย ยังอดไม่ได้ที่จะบังเกิดความเขินอายกับวาจาคมคายนี้ของต้วนหลิงเทียน พวงแก้มนางขึ้นสีระเรื่อออกมาเล็กน้อย...

เหล่าชายหนุ่มอัจฉริยะมากพรสวรรค์ทั้งหลาย ล้วนจ้องมองไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาอิจฉาและริษยาอย่างถึงขีดสุด เมื่อพวกมันได้เห็นต้วนหลิงเทียนกล่าววาจาหยอกล้อกับองค์หญิงปี้เหยาอย่างสนิทสนม ไม่สนใจผู้คน ราวกับว่าโลกนี้มีแต่มันกับองค์หญิงเท่านั้น!

"เอาล่ะ ข้าขอดื่มสุราจอกนี้เป็นการคุณเหล่าผู้มีพรสวรรค์ทั้งหลายที่ได้ตอบรับคำเชิญของข้ามาเข้าร่วมงานเลี้ยงในวันนี้" องค์ชาย 3 ที่ไม่ได้กล่าววาจาอันใดและนั่งเงียบมานาน เมื่อเหตุการณ์รอบๆเริ่มบังเกิดความเปลี่ยนแปลงจนบรรยากาศเริ่มอึมครึมลง เขาพลันใช้สุราจอกเดียวสลายบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความอิจฉาอันน่าอึดอัดนี้ทิ้งไป

มุมปากของต้วนหลิงเทียนยกขึ้นเล็กน้อยพร้อมประกายตาแวบวาบขึ้นมาครู่หนึ่ง อย่างที่คาดไว้ไม่มีผิดองค์ชาย 3 คนนี้ไม่ง่ายนัก!

ต้วนหลิงเทียนนั้นเริ่มสงสัยเพียงเล็กน้อยเท่านั้นในตอนแรก ว่าการที่องค์ชาย 3 เว้นที่นั่งไว้ให้เขามันมีจุดประสงค์อะไร เขาเว้นมันไว้เพื่อหยั่งเชิงทดสอบอะไรหรือวางหลุมพรางอะไรเขาหรือไม่? ... อย่างไรก็ตามการกระทำขององค์ชาย 3 มันดูไม่ค่อยมีเหตุผลสักเท่าไร

หากองค์ชาย 3 กำลังทดสอบและวางหลุมพรางเขาอยู่ แล้วตกลงเขาคิดที่จะทำอะไรกันแน่ ถึงได้สลายบรรยากาศนี่

ต้วนหลิงเทียนส่ายหน้าออกมาเบาๆก่อนที่จะเลิกคิดถึง และสนใจอะไรมันอีกต่อไป ...เพราะเขามาที่นี่เพียงเพราะจะกินอาหารฟรีเท่านั้น เรื่องอื่นๆใครจะทำอะไรก็เรื่องของมัน เขาจะต้องไปสนใจทำไม? เอาเวลาไปหยิบของกินน่าอร่อยเสียจักประเสริฐกว่า!

ตราบใดที่พวกคนเหล่านี้ไม่ได้ล้ำเส้นเขา เขาก็จะคิดเสียว่ามันเป็นเพียงหมาที่เห่าหอนไปวันๆ แต่หากมันล้ำเส้นเขาเมื่อไหร่ พวกมันก็จะได้รู้ว่าเขาไม่ใช่คนที่ใครจะมาลามปามได้ง่ายๆ!

ในขณะที่เขาคิดถึงจุดนี้ประกายตาของต้วนหลิงเทียนพลันส่องประกายเยือกเย็นอย่างน่าขนลุกออกมาวูบหนึ่ง

สำหรับในช่วงเวลาของงานเลี้ยงเช่นนี้เหล่าชายหนุ่มอัจฉริยะมากพรสวรรค์ทั้งหลายก็ไม่ได้มีเป้าหมายอะไรมากไปกว่า การพยายามเข้าหาองค์หญิงปี้เหยา ...นั่นเพราะตราบใดที่พวกเขาสามารถเข้าหานางและจับพลัดจับผลูลงเอยกับนางได้ล่ะก็ พวกเขาก็จะพุ่งทะยานข้ามแดนดินทะลุสู่สวรรรค์ชั้นฟ้าได้ในพริบตาเดียว

นี่เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ง่าย เพราะองค์หญิงปี้เหยาคนนี้เป็นบุตรีที่องค์ราชารักมากที่สุด! หากได้กลายเป็นราชบุตรเขยแล้วล่ะก็ หมายความว่าพวกเขาแทบจะข้ามผ่านช่วงเวลา 30 ปีที่ต้องดิ้นรนหรือแก่งแย่งชิงดีรวมทั้งพยายามอย่างหนัก แล้วข้ามไปตอนประสบความสำเร็จได้เลย!

มีเพียงต้วนหลิงเทียนเท่านั้นที่ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมใดๆทั้งสิ้น! เขาเพียงหยิบอาหารและดื่มสุราเลิศรสอย่างเอร็ดอร่อย และเหม่อมองการกระทำของชายหนุ่มที่มีพรสวรรค์ทั้งหลาย ที่เข้าหาองค์หญิงปี้เหยาแล้วกล่าววาจายกยอปอปั้นไม่ต่างอะไรกับดูคณะละครสัตว์

ตอนนี้ประกายตาขององค์ชาย 3 แปรเปลี่ยนไปอย่างมาก เขาไม่คิดเลยว่าต้วนหลิงเทียนจะล้ำลึกและน่ากลัวกว่าที่เขาคิดเอาไว้มากโข

ตอนแรกเขาคิดว่าแม้ต้วนหลิงเทียนจะมีพรสวรรค์เลิศล้ำในด้านวิชายุทธ์ แต่ต้วนหลิงเทียนอาจจะขาดประสบการณ์และความรู้ความเข้าใจ รวมทั้งสติปัญญาเพื่อใช้ในการอยู่รอดในโลกใบนี้ ...ทว่าตอนนี้องค์ชาย 3 กลับเริ่มหวาดกลัวท่าทีสูงส่งหยามหยันโลกหล้า และดูราวกับมีสติปัญญาความเข้าใจที่เหนือล้ำไปเกินกว่าคนหนุ่มสาวในวัยเดียวกันไปมากโข

และถึงแม้ยามนี้ตัวเขาจะพยายามอย่างมากแล้วก็ตาม แต่เขาก็มองชายหนุ่มคนนี้ออกเพียงผิวเผินเท่านั้น! เขาไม่อาจหยั่งลึกถึงก้นบึ้งของชายหนุ่มคนนี้ได้แม้แต่น้อย! แต่ทว่ามีเรื่องหนึ่งที่เขามั่นใจ นั่นก็คือ...ชายหนุ่มคนนี้หาใช่คนที่เขาสามารถควบคุม และจะเป็นบริวาณอยู่ใต้อาณัติของเขาได้!!

"น้องชายต้วนหลิงเทียน" องค์ชาย 3 พลันกล่าวออกมาอย่างฉับพลัน แววตาเต็มไปด้วยปัญญาและเป็นมิตรของเขาเริ่มสั่นไหวราวกับระลอกคลื่น

ศาลากลางน้ำที่เต็มไปด้วยเสียงสนทนาจอแจเมื่อครู่พลันเงียบสงัดลง หลงเพลือแต่เพียงเสียงของสายลมหวีดหวิวพัดผ่านผิวน้ำ เหล่าชายหนุ่มอัจฉริยะมากพรสวรรค์ทั้งหลายที่กำลังกล่าววาจาเยินยอยกย่ององค์หญิงปี้เหยาอยู่ ก็ล้วนปิดปากเงียบสนิท...และยามนี้พวกเขาพลันเบนสายตาไปจับจ้องต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง

ส่วนต้วนหลิงเทียนนั้นก็กำลังคิดอยู่แท้ๆ ว่างานนี้เขาคงได้ดื่มกินจนอิ่มหนำสำราญเต็มที่อย่างไร้เรื่องราวแล้ว... แต่เมื่อเขาได้เห็นรอยยิ้มที่มุมปากขององค์ชาย 3 หัวใจของเขาก็กระตุกเล็กน้อย...ดูท่าความซวยจะมาเยือนเสียแล้ว...!

แล้วก็ไม่ผิดจากที่คาดไว้แม้แต่น้อย องค์ชาย 3 พลันกล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้มว่า “แท้จริงแล้ว น้องสาวของข้าคนนี้เองก็ถึงวัยออกเรือนแล้ว ทว่าคนที่นางชื่นชอบมากที่สุดก็คือบิดาของน้องชายต้วนหลิงเทียนที่เป็นอัจฉริยะไร้ผู้ต้านคนนั้น ต้วนหรูเฟิง! ...ชายผู้ซึ่งเคยเป็นที่เรื่องลือระบือนาม และสั่นสะท้านไปทั่วทั้งอาณาจักรนภาล่อง! น้องสาวข้านั้นชื่นชมและเห็นเขาเป็นบุรุษที่ฝันใฝ่....”

“นางเคยกล่าวเอาไว้ว่าหากชีวิตนี้ ถ้า...นางต้องแต่งงานกับใครสักคน บุรุษผู้นั้นต้องเป็นบุรุษที่มีความสามารถที่น่าพรั่นพรึงดั่งเช่นต้วนหรูเฟิง! โดยส่วนตัวของข้านั้นคิดว่า ยามนี้พรสวรรค์และความสามารถของน้องชายต้วนหลิงเทียน ได้เหนือล้ำและยอดเยี่ยมยิ่งกว่าบิดาของเขาในอดีตไปแล้ว!” วาจาที่ลั่นออกมาครานี้ขององค์ชาย 3ดูเหมือนจะมีจุดประสงค์บางอย่าง และแน่นอนทุกอย่างนั้นล้วนเพ่งเล็งไปยังต้วนหลิงเทียน

"พี่ 3 ท่านกล่าววาจาเหลวไหลอันใดกันเล่า?" ใบหน้าขององค์หญิงปี้เหยานั้นเต็มไปด้วยความตกตะลึงพรึงเพริด

นางเคยกล่าววาจาอะไรเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันเล่า?!

และไม่นานหลังจากนั้น นางพลันสังเกตได้ทันทีว่ายามนี้ทุกสายตาของชายหนุ่มอัจฉริยะมากพรสวรรค์ล้วนจับจ้องไปยัง บุรุษชุดสีม่วงที่กำลังยกจอกสุราขึ้นมาดื่มพร้อมรอยยิ้มเจื่อนๆ ด้วยแววตาไม่เป็นมิตร! ...นางเองก็เป็นสตรีที่ฉลาดเฉลียวนางย่อมล่วงรู้จุดประสงค์ของพี่ชายนางได้ในทันที

โทสะเริ่มบังเกิดขึ้นภายในใจของนาง แต่สุดท้ายนางก็ไม่ได้กล่าวต่อว่าอะไรออกมาเพราะอย่างไร สายสัมพันธ์คำว่าพี่น้องมันก็หนักแน่นนัก จะอย่างไรนางก็ต้องไว้หน้าเขาบ้าง...

นางได้แต่ยิ้มออกมาอย่างขื่นขม...และเมื่อนางสังเกตเห็นต้วนหลิงเทียนจ้องมองมาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย นางเองก็ส่ายหน้าตอบเขาไปช้าๆ อย่างจนปัญญา

ทางด้านต้วนหลิงเทียนนั้นก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยขึ้นมาจนต้องมองไปยังองค์หญิงปี้เหยาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม ทว่าเมื่อเขาเห็นสีหน้าแววตาท่าทางของนาง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เรื่องราวครั้งนี้นางหาได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรแม้แต่น้อย และในเวลาเดียวกันนั้นเขาก็สัมผัสได้ถึงความลำบากใจที่ไม่อาจทำอะไรได้ของนาง ...

นั่นทำให้เขาเข้าใจเจตนาขององค์ชาย 3 ทันที และได้แต่เย้ยหยันมันภายในใจของเขา!

องค์ชาย 3 นั้นมาไม้นี้งั้นหรือ? ตอนนี้ในหัวใจของเขาเริ่มบังเกิดอารมณ์รังเกียจองค์ชาย 3 ขึ้นมาบ้างแล้ว

อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้กล่าววาจาเดือดดาลอะไรออกมา ตรงกันข้าม เขายิ้มแย้มแจ่มใสให้กับบรรดาสายตาริษยาทั้งหลาย ก่อนที่จะหันไปกล่าวกับองค์ชาย 3 อย่างสนุกสนาน "โอ้! หากเป็นเช่นนั้น ไม่ทราบว่าองค์ชาย 3 จะอนุญาตให้ข้า ยืมตัวองค์หญิงปี้เหยาน้องสาวที่แสนงดงามปานเทพธิดาของท่าน ไปเดินเล่นชมทะเลสาบยามค่ำคืนกระชับความสัมพันธ์เสียหน่อยจะได้หรือไม่เล่า?"

ใบหน้าขององค์ชาย 3 พลันแข็งค้าง เขาไม่คิดเลยว่าหนังหน้าของต้วนหลิงเทียนจะหนาถึงเพียงนี้ มันกล้าตามกระแสเรื่องราวของเขา แล้วใช้โอกาสนี้หาประโยชน์ใส่ตัวมันเอง!

เขาไร้คำจะกล่าวจริงๆ

ซูหล่านพลันกล่าวออกมาด้วยสีหน้าบิดเบี้ยวที่เต็มไปด้วยความขุ่นเคือง "ต้วนหลิงเทียน เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นผู้ใดกัน ต่อหน้าองค์ชาย 3 เจ้ากลับกล้ากล่าววาจาเหิมเกริมออกมาเช่นนี้?" เขาตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงดังกังวานราวกับจะแสดงตัวต่อหน้าองค์ชาย 3 และองค์หญิงปี้เหยา ...

คิ้วของต้วนหลิงเทียนกระตุกขึ้นเล็กน้อย เขาเบนสายตาลงมาหาตัวบัดซบซูหล่าน และถามมันออกมาว่า "เจ้าเรียกว่า ซูหล่านใช่หรือไม่?"

"ถูกต้อง ข้าซูหล่าน!" ซูหล่านเชิดศีรษะขึ้น ท่าทางของมันเต็มไปด้วยความหยิ่งยโสโอหัง

"ซูหล่าน...เจ้ากล่าวถามว่าข้าเป็นผู้ใด...แต่ตัวข้านั้นยังสงสัยนัก ว่าที่แท้แล้วตัวเจ้าเป็นผู้ใดกันแน่? ข้ากำลังกล่าววาจาสนทนากับองค์ชาย 3 และแม้กระทั่งองค์ชาย 3 เองยังไม่ทันได้กล่าววาจาอันใดสักครึ่งคำหลังรับฟังข้า แต่เจ้าที่ไม่ได้มีอันใดเกี่ยวข้องและมีบทบาทในเรื่องราวสักเพียงนิด กลับเสนอหน้าชิงกล่าววาจาตัดหน้าองค์ชาย 3 ออกมาเช่นนี้! หรือเจ้าคิดว่า...ตัวเจ้านั้นเลิศเลอถึงขนาดออกความคิดเห็นแทนองค์ชาย 3 ได้กันเล่า? หรือว่าจริงๆแล้วเจ้าไม่คิดถึงองค์ชาย 3 เลยกันล่ะ!" มุมปากของต้วนหลิงเทียนแสยะยิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย น้ำเสียงของเขาค่อยๆดังขึ้นเล็กน้อย และวาจาคำกล่าวของเขานั้นก็ตรงกลางป้องและถูกต้องอย่างถึงที่สุด

ทันใดนั้นซูหล่านพลันหวาดกลัวจนสีหน้าซีดเผือดไร้สีเลือด

"องค์ชาย 3 ข้า... ข้าไม่ได้มีเจตนาดังกล่าว" ซูหล่านรีบหันไปหาองค์ชาย 3 และกลาวออกมาอย่างร้อนรน ดูเหมือนคนที่กำลังร้อนตัวหวาดกลัวความผิด

เมื่อองค์ชาย 3 หันไปมองซูหล่าน แววตาของเขาก็เต็มไปด้วยความเย็นชาและไม่พอใจผสมผสานปะปนกันไป แต่ไม่นานมันก็หายไปแล้วกลับมาเป็นแววตาเป็นมิตรเข้าถึงง่ายเช่นเคย

ต้วนหลิงเทียนพลันตื่นตัวขึ้นเล็กน้อย การกระทำขององค์ชาย 3 ย่อมไม่พ้นสายตาของเขา ‘มันเก็บอารมณ์ได้ยอดเยี่ยมนัก’

คนประเภทนี้ไม่ต่างอะไรไปกับ หมาป่าห่มหนังแกะ หรือพวกซ่อนดาบในรอยยิ้มแม้แต่น้อย!

"น้องชายต้วนหลิงเทียนเรื่องที่เจ้าขอนั้นข้าก็ไม่ได้มีอันใดที่ต้องคัดค้าน... " องค์ชาย 3 ค่อยๆกล่าววาจาออกมา

หัวใจขององค์หญิงปี้เหยาพลันเต้นระรัวขึ้นมาทันที เมื่อได้ยินคำกล่าวขององค์ชาย 3 และนางเองก็แอบชะเง้อมองต้วนหลิงเทียนเล็กน้อย ก่อนที่จะรีบก้มหน้างุดๆ ยามนี้พวงแก้มสวยงามอมชมพูของนางเริ่มบังเกิดสีแดงระเรื่อเจือขึ้นมาเพราะความเขินอาย

‘ข้ากำลังจะได้ไปเดินเล่นชมทะเลสาบกับเขาจริงหรือ?’

อย่างไรก็ต้วนหลิงเทียนยังมององค์ชาย 3 ไม่ต่างไปจากเดิมและคิดว่าต้องไม่ง่ายดายเพียงแค่นี้แน่ เพราะเขานั้นเห็นแววตาที่ฉายความไม่ยินยอมออกมาจากดวงตาขององค์ชาย 3

และตามที่คาดเอาไว้ไม่มีผิด องค์ชาย 3 พลันหันไปมองเหล่าชายหนุ่มอัจฉริยะมากพรสวรรค์ทั้งหลาย แล้วกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่ราวกับจะเป็นคนใจกว้างว่า "แต่จะอย่างไร...นี่ก็ดูจะไม่เป็นธรรมกับผู้อื่นที่มาร่วมงานเลี้ยงอยู่บ้าง พวกเจ้าคิดเกี่ยวกับเรื่องเช่นนี้ว่าอย่างไรเล่า : ผู้ที่แข็งแกร่งนั้นล้วนเป็นผู้ที่จะได้รับการยอมรับนับถือของผู้คนในอาณาจักรนภาล่องแห่งนี้ อีกทั้ง พวกท่านทั้งหลายที่อยู่ในงานเลี้ยงนี้ ยังเป็นคนหนุ่มอัจฉริยะมากพรสวรรค์ ที่อยู่ในระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 9 ด้วยกันแทบจะทั้งสิ้น ... ."

"น้องชายต้วนหลิงเทียน หากเจ้าสามารถเอาชนะพวกเขาได้ และสามารถแสดงความสามารถให้พวกเขาประจักษ์ด้วยสองตาจนพวกเขายอมรับเจ้าแล้ว และเมื่อข้าแน่ใจว่าพวกเขาจะไม่มีข้อคัดค้านใดๆ ข้าก็จะให้เจ้าทำตามความประสงค์ เช่นนี้ทุกคนคิดเห็นอย่างไรเล่า?" สายตาขององค์ชาย 3 นั้นมองต้วนหลิงเทียนเป็นเชิงกล่าวถามอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเบนไปยังผู้คนรอบๆ

"องค์ชาย 3 ช่างฉลาดล้ำนัก"

"เช่นนี้ย่อมถูกต้องที่สุด!"

ทันใดนั้นเหล่าชายหนุ่มอัจฉริยะมากพรสวรรค์ทั้งหลายในงานเลี้ยงล้วนชูกำปั้นขึ้น แววตาของพวกมันฉายชัดให้เห็นถึงความร้อนแรงและกระหายที่จะแสดงความสามารถต่อหน้าองค์ชายและองค์หญิง

"องค์ชาย 3 แม้นว่าพวกเราจะมีระดับบ่มเพาะอยู่ที่ระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 9 เช่นเดียวกันกับต้วนหลิงเทียน แต่ว่าเขามีอาวุธวิญญาณระดับ 7... เช่นนั้นหากตัวเขาพึ่งพาอาศัยอาวุธวิญญาณ ก็ย่อมหมายความว่าเป็นการเอาชนะโดยที่ไม่ได้ใช้ความสามารถของตนเอง ใช่หรือไม่?" ชายหนุ่มมากไหวพริบคนหนึ่ง พลันกล่าวออกมา มันกลับไม่ละเลยเรื่องเช่นนี้!

ตามข่าวลือนั้นเหตุผลเดียวที่ต้วนหลิงเทียนสามารถสังหารต้วนหลิงซิ่ง ที่มีระดับบ่มเพาะเท่าเทียมกับเขาได้นั้น เป็นเพราะอาศัยอาวุธวิญญาณระดับ 7 ที่เขามีไว้ในครอบครอง ...และเรื่องนี้ก็หาได้เป็นความลับอันใดในเมืองหลวงของอาณาจักรนภาล่องแห่งนี้อีกต่อไป

เมื่อสังเกตเห็นองค์ชาย 3 มองมา ต้วนหลิงเทียนเพียงยักไหล่แล้วกล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้ม "เช่นนั้นข้าก็แค่ไม่ใช้อาวุธวิญญาณ ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรใช่หรือไม่?"

"น้องชายต้วนหลิงเทียนนั้นนับว่าไม่ทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ ... เอาล่ะเช่นนี้ใครก็ตามที่ประลองกับน้องชายต้วนหลิงเทียน ก็ห้ามใช้อาวุธวิญญาณ อาคมจารึก หรืออำนาจที่นอกเหนือไปจากความแข็งแกร่งของตัวเองทั้งสิ้น!" องค์ชาย 3 กล่าวออกมาพร้อมเสียงหัวเราะ แววตาดีใจที่แผนการประสบความสำเร็จเรืองวูบขึ้นมาแว่บหนึ่ง

ตัวเขาเองและไม่เว้นแม้กระทั่งทุกคนในที่นี้ ย่อมไม่คิดว่าต้วนหลิงเทียน จะสามารถเอาชนะเหล่าชายหนุ่มอัจฉริยะมากพรสวรรค์ที่มีระดับบ่มเพาะอยู่ที่ระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 9 โดยไม่พึ่งพาอาศัยอาวุธวิญญาณระดับ 7 ...นั่นเพราะโดยปกติแล้วผู้ฝึกยุทธ์ที่มีระดับบ่มเพาะเท่ากัน ก็จะมีพละกำลังเท่ากัน

ความแตกต่างระหว่างผู้ฝึกยุทธ์ก็คือความสำเร็จในด้านสรรพวิชา รวมทั้งระดับวิชาที่ใช้ ใครที่มีวิชาระดับสูงไว้ในครอบครองและฝึกฝนมานานจนมีความสำเร็จในระดับสูงก็ย่อมได้เปรียบผู้อื่น

และเหล่าชายหนุ่มมากพรสวรรค์ที่เป็นอัจฉริยะทั้งหลายที่เขาเชิญมาร่วมงานเลี้ยงครั้งนี้ ก็มีอายุอยู่ระหว่าง 20-25 ปีทั้งสิ้น พวกมันได้ฝึกฝนวิชายุทธ์ต่างๆมานานหลายปีแล้ว

ในแง่ของวิชายุทธ์ แน่นอนว่าพวกมันย่อมไม่ด้อยไปกว่าต้วนหลิงเทียน!

"พี่ 3!" องค์หญิงปี้เหยาที่เงียบและอดทนฟังอยู่ด้านข้างมาเป็นระยะเวลานาน เมื่อนางเห็นต้วนหลิงเทียนกลับกลายเป็น ศัตรูร่วม ของเหล่าชายหนุ่มที่เป็นอัจฉริยะมากพรสวรรค์ในศาลาแห่งนี้ ด้วยวาจาที่เต็มไปด้วยเจตนาเพียงไม่กี่ประโยคของพี่ชายนาง ใบหน้างดงามของนางเองถึงกับขึ้นสีแดงด้วยโทสะจนไม่อาจอยู่นิ่งเงียบไม่กล่าวคำใดๆได้อีกต่อไป

ยามนี้ความอดทนของนางถึงขีดจำกัดแล้ว!

“ปี้เหยาอย่าได้กังวลไปเลย นี่เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น บุรุษในดวงใจของเจ้า ไม่เป็นอันใดหรอก” องค์ชาย 3 ยิ้มออกมาบางๆ

สีหน้าท่าทางของชายหนุ่มอัจฉริยะมากพรสวรรค์ทั้งหลายล้วนเปลี่ยนเป็นเดือดดาลไม่น้อย เมื่อพวกเขาได้ยินเรื่องนี้ อีกทั้งประกายตาของพวกมันยังลุกโชนไปด้วยเพลิงริษยา เมื่อสังเกตได้ถึงความห่วงใยและเป็นกังวลขององค์หญิงปี้เหยาที่มีต่อต้วนหลิงเทียน!

Copyright © 2019 spoilsoc.com All rights reserved.