หน้าแรก > War Sovereign Soaring The Heavens
บทที่ 159 โอสถ โลหิตมังกร

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

*ตั้งค่าถาวร (คลิกตั้งค่าถาวร)

"สตรี โง่เขลา!" ต้วนหรูเล่ยเพียงหันไปตวาดภรรยาอ้วนฉุของตัวอีกครั้งด้วยสายตาแฝงความอำมหิต ก่อนที่จะเบนสายตาไปยังต้วนหรง "หลานหรง เจ้ากลับไปก่อน แล้วจดจำเอาไว้ให้ดี ช่วงนี้อย่าได้พยายามไปยั่วยุโทสะอันใดจากต้วนหลิงเทียน!"

"ขอรับท่านลุง!" ต้วนหรงกล่าวตอบออกมาอย่างจริงจัง ใบหน้าของมันเต็มไปด้วยความขมขื่น ก่อนที่จะจากไป

"ต้วนหรูเล่ย ข้าขอบอกเจ้าเอาไว้ตรงนี้เลยนะ หากเจ้าไม่คิดล้างแค้นให้บุตรชายของเรา ข้าจะกลับตระกูลข้าเสียตั้งแต่วันนี้!" ดวงตาเล็กๆของสตรีร่างใหญ่ราวไอยราเต็มไปด้วยความเย็นชา ทั้งน้ำเสียงของนางก็เย็นยะเยือกและจริงจังอย่างมาก

ถึงแม้ว่าตระกูลของนางจะไม่ยิ่งใหญ่เท่าตระกูลต้วน แต่หากต้องการสังหารเด็กอย่างต้วนหลิงเทียนแค่คนเดียว คงไม่เหลือบ่ากว่าแรงอะไรนัก

“ฮึ่ม! เจ้าคิดว่าต้วนหลิงซิ่งเป็นบุตรชายเจ้าคนเดียวหรือไร!? ความเกลียดชังและความแค้นของข้าหาได้ด้อยกว่าเจ้าไม่ แต่เจ้าไม่เห็นหรือไรว่า ผู้อาวุโสหลักทั้ง 3 กับประมุข มีทีท่าอะไร...หากข้าเผยความเกลียดชังและความคิดที่จะฆ่าไอสารเลวนั่นออกมา ตัวข้าไม่พ้นต้องถูกตระกูลลิดรอนอำนาจทุกทาง เพื่อปกป้องตัวบัดซบต้วนหลิงเทียนนั่น!” น้ำเสียงของต้วนหรูเล่นเต็มไปด้วยความเย็นชาและหนาวเหน็บ “ข้าจำเป็นต้องทำร้ายเจ้าก่อนหน้านี้เพราะข้าต้องเล่นละครให้ประมุขและผู้อาวุโสทั้ง 3 ตายใจและเลิกสงสัยอะไรในตัวข้าจนลิดรอนสิทธิ์และอำนาจของข้า ทีนี้เมื่อพวกเขาเลิกรากับข้าไปหลังจากสบายใจแล้ว ข้าก็จะมีโอกาสหาทางฆ่าไอ้ชาติชั่วสารเลวนั่น!”

เมื่อได้ยินวาจาที่เต็มไปด้วยความแค้น แต่หาได้หน้ามืดตามัวทั้งยังมีแผนการยอดเยี่ยม หญิงอ้วนฉุอดไม่ได้ที่จะหน้าม้านและฉายความละอายออกมาเล็กน้อย ...เป็นเพราะความวู่วามของนางเกือบทำให้เสียการณ์ใหญ่แล้ว

"ต้วนหรูฟงทำลายตันเถียนของข้าจนข้าต้องกลับกลายเป็นคนพิการ ทำให้ตัวข้าต้องทนทุกข์ทรมาน แต่ละวันผันผ่านไปราวตกอยู่ในขุมนรก ... ตอนนี้ลูกของมันกลับลงมือสังหารบุตรชายคนเดียวของข้าอีก! ข้าแทบอยากจะแล่เนื้อมันเป็นชิ้นๆ เอากระดูกมันมาเผาและสาดเทเถ้ากระดูกมันให้กระจัดกระจาย" น้ำเสียงต้วนหรูเล่ยนั้นเย็นชาและเจือจิตสังหารเอาไว้อย่างน่าหวาดหวั่น

....

ตั้งแต่เรื่องราวเมื่อยามเที่ยง ตอนนี้บทสนทนาของสถาบันบ่มเพาะขุนพลก็ลุกฮือกระหึ่มขึ้นมาราวกับพายุ ข่าวเรื่องการประลองเป็นตายเมื่อยามเที่ยงแพร่กระจายไปทั่วทั้งสถาบัน!

“นี่ๆ เจ้ารู้หรือไม่ เมื่อช่วงเที่ยง ต้วนหลิงเทียน ที่เป็นบุตรชายของอัจฉริยะแห่งอาณาจักรเราเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ต้วนหรูเฟิง ได้ระเบิดพลังยุทธ์ระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 9 ออกมาอย่างน่าสะพรึงกลัว ทั้งๆทีมันมีอายุเพียง 18 ปีเท่านั้น มันสับแขนขาและปาดคอต้วนหลิงซิ่งที่เป็นคนตระกูลเดียวกันจนตกตาย!”

"เจ้าได้ยินหรือไม่ ต้วนหลิงเทียน ที่เป็นนักศึกษาเข้าใหม่ปีนี้ สังหารนักศึกษาชั้นปีที่ 4 ได้อย่างง่ายดาย!”

ตอนนี้ทั้งสถาบันลุกฮือไปด้วยข่าวเขย่าขวัญผู้คนนี้ อย่างน่าตระหนก...

ไม่นานข่าวดังกล่าวก็ค่อยๆแพร่กระจายออกจากตัวสถาบันบ่มเพาะขุนพลจนโด่งดังไปทั่วเมืองชั้นใน และคาดว่าไม่นานเมืองชั้นในทั้งเมืองและรวมถึงเมืองชั้นนอกด้วยต้องได้ยินข่าวที่น่าตื่นตระหนกนี้โดยทั่วกัน!

อัจฉริยะไร้ผู้ต้านได้ปรากฏกายขึ้นมาที่ตระกูลต้วนอีกครั้ง!!

อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนที่กำลังเป็นหัวข้อเด่นประเด็นร้อนทุกเรื่องราวสนทนาในยามนี้ กำลังนอนอย่างสบายอารมณ์หลังจากกินอิ่มอยู่บนต้นไม้ทางมุมหนึ่งของลานฝึกซ้อม ดวงตาของเขาปิดลงไป อย่างมีความสุข แสงแดดอ่อนๆ อาบไล้ไปทั่วร่างกายเขา พร้อมกับสายลมเย็นเบาๆแผ่วพลิ้วพัดโชยนำพาให้ร่างทั้งร่างผ่อนคลายปลอดโปร่งมีความรื่นรมย์นัก

ส่วนทางด้านเซี่ยวหยูกับเซี่ยวฉวินนั้น ยังคงประลองชี้แนะวิชายุทธ์ต่างๆกับคนอื่นๆกันอยู่ ที่ลานฝึกซ้อม

ทางด้านนักศึกษาฝ่ายดาวกุนซือในชั้นปีที่ 1 นั้น มักจะชะเง้อมองมาทางต้วนหลิงเทียนเป็นระยะๆ ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความยำเกรง

แม้ว่าพวกเขาจะรู้ตั้งแต่แรกว่าชายหนุ่มคนนี้หาได้ง่ายดายไม่ แต่พวกเขาไม่เคยคาดคิดเลยว่าชายหนุ่มคนนี้จะน่าพรั่นพรึงถึงเพียงนี้ นอกจากนี้ตัวตนของเขาเองยังน่าตกตะลึงไม่น้อย!

"อาจารย์ซื่อหม่า" ทันใดนั้นร่างชายวัยกลางคนสวมชุดคลุมผ้าไหม พร้อมพัดขนนกเล่มหนึ่ง ก็เดินมาถึงลานฝึกซ้อม เหล่านักศึกษาชั้นปีที่ 1 ล้วนทำความเคารพ

"อาจารย์" ต้วนหลิงเทียนเพียงแสดงปฏิกิริยาเล็กน้อย เมื่อเขาเห็นว่าซื่อหม่าฉางฟงนั้นเดินมาทางเขา

ฟุ่บ!

ขาของซื่อหม่าฉางฟงเพียงงอลงเล็กน้อยก่อนที่จะกระโดดออกมาเบาๆ ร่างของเขาลอยมาอย่างช้าๆราวกับไร้น้ำหนักก่อนที่จะมาหยุดบนกิ่งไม้กิ่งเดียวกับที่ต้วนหลิงเทียนนอนเล่นอยู่ กิ่งไม้นั้นเพียงไหวเบาๆเท่านั้น! มันไหวเบายิ่งกว่ายามสายลมพัดเสียอีก!

ดวงตาของต้วนหลิงเทียนหรี่ลงทันทีที่ได้เห็นสิ่งนี้ นี่เป็นเรื่องที่คนธรรมดาไม่มีทางกระทำได้เด็ดขาด! ไม่คาดคิดเลยว่าอาจารย์ของฝ่ายดาวกุนซือชั้นปีที่ 1 จะมีความสามารถยอดเยี่ยมถึงขนาดนี้

ยิ่งไปกว่านั้นต้วนหลิงเทียนยังสังเกตเห็นได้อีกว่าซื่อหม่าฉางฟงผู้นี้ระงับกลิ่นอายเอาไว้ นั่นทำให้เขาไม่อาจล่วงรู้ถึงระดับบ่มเพาะที่แท้จริงของอาจารย์คนนี้ได้ ถึงแม้เขาจะอาศัยความทรงจำของจักรพรรดิกลับชาติมาเกิดและก็พลังวิญญาณของเขาแล้วก็ตามที

"ทำไมวันก่อนเจ้าถึงบอกกล่าวกับข้าว่า เจ้าไม่ใช่คนของตระกูลต้วนกันเล่า?" ซื่อหม่าฉางฟงกล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้ม ประกายตาของเขาแฝงความลึกลับเอาไว้ขณะจ้องมายังต้วนหลิงเทียน เห็นได้ชัดว่าเรื่องราวเมื่อตอนเที่ยงเขาคงรับรู้แล้ว

"นี่เพราะข้าเองก็ค้นพบชาติกำเนิดของข้า เมื่อ 2 ปีที่แล้วเท่านั้น และเท่าที่ข้ารู้มาตั้งแต่เกิด ท่านแม่เป็นคนเลี้ยงดูข้ามาเพียงลำพัง ข้าไม่เคยจำได้แม้แต่ครั้งเดียว ว่าเคยเกี่ยวพันธ์อะไรกับตระกูลต้วน! พวกมันไม่เคยหยิบยื่นความเมตตาหรือหันมาเหลียวแลข้าสองแม่ลูกสักเพียงครั้ง! เช่นนั้นข้าก็ไม่คิดว่าตัวเองเป็นคนของตระกูลต้วน! ไม่ใช่ตั้งแต่อดีต! ไม่ใช่ตอนนี้! และไม่ใช่ในอนาคต!" ต้วนหลิงเทียนยิ้มออกมาบางๆ "เช่นนั้นสิ่งที่ข้าบอกต่อท่านก่อนหน้า ก็เรียกได้ว่าข้ากล่าววาจาตามความสัตย์จริง"

ซื่อหม่าฉางฟงเพียงส่ายหัวช้าๆ "จะอย่างไรเลือดที่ไหลเวียนในกายเจ้าก็เป็นสายเลือดตระกูลต้วน ... "

"แล้วมันจะอย่างไร?" ต้วนหลิงเทียนไม่ได้ยืนยันหรือปฏิเสธ "ข้าไม่อาจเลือกเกิด หรือเปลี่ยนแปลงชาติกำเนิดของข้าได้ แต่ข้าสามารถเลือกที่จะกุมอนาคตไว้ด้วยสองมือของข้า ไม่มีใครที่จะมาหยุดยั้งข้า หรือเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจของข้าได้ ...ท่านอาจารย์ ข้าคิดว่าที่ท่านมาที่นี่ มิพ้นคงมาในฐานะทูตของตระกูลต้วนสินะ ดูท่าแล้ว...ท่านคงมีความสัมพันธ์กับคนตระกูลต้วนไม่น้อย" เมื่อกล่าวจบต้วนหลิงเทียนก็หันไปจับจ้องซื่อหม่าฉางฟงด้วยแววตาที่ราวกับจะล่วงรู้ทุกสิ่ง

"ฮึ่ม เด็กน้อย เจ้านี่มันเป็นจิ้งจอกน้อยจอมเจ้าเล่ห์ชัดๆ!" ซื่อหม่าฉางฟงไม่ได้โมโหอะไรที่ถูกต้วนหลิงเทียนมองออก "ข้าเองก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกับตระกูลต้วนหรอก เพียงแต่ว่าผู้อาวุโส 4 ของตะระกูลต้วนนามว่า ต้วนหรูหง เองก็เป็นสหายที่ดีของข้า ตัวข้าที่มานี่ก็มาเพื่อช่วยเขา"

"ผู้อาวุโส 4” ต้วนหลิงเทียนเพียงหรี่ตาลงเล็กน้อย เขาอดไม่ได้ที่จะคิดย้อนไปถึงวันนั้นที่เมืองวายุโปรย เมื่อเขาได้พบกับชายวัยกลางคนๆหนึ่งที่แม่ของเขาเรียกว่าพี่ 4 และสุดท้ายแม่เขาก็นำให้เขารู้จัก "ลุง 4"

เช่นนั้นเขาก็คือต้วนหรูหง?

หลังจากที่นิ่งคิดไปนาน ในที่สุดหลิงเทียนก็รู้สึกตัวอีกครั้ง ก่อนที่จะมองไปยังซื่อหม่าฉางฟง "อาจารย์ได้โปรดส่งข้อความของข้าให้แก่ต้วนหรูหงด้วยว่า ข้าต้วนหลิงเทียน ไม่ได้เป็นสมาชิกของตระกูลต้วนอีกต่อไป นับตั้งแต่ ที่มารดาได้อุ้มข้าออกมาจากตระกูลต้วน!"

ซื่อหม่าฉางฟง ขยับตัวเล็กน้อย "ต้วนหลิงเทียน เรื่องนี้นับว่ามีความสำคัญไม่น้อย มันอาจจะเป็นเรื่องใหญ่หลวงขึ้นมาก็ได้ เช่นนั้นเจ้าสมควรพิจารณามันให้รอบคอบเสียหน่อย"

"อาจารย์ ท่านคงเป็นกังวลว่าตระกูลต้วนจะตามเอาเรื่องข้า ในเรื่องที่ข้าลงมือสังหารต้วนหลิงซิ่ง หากข้าปฏิเสธไม่เข้าร่วมกับตระกูลงั้นสินะ?" ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามออกมาพร้อมเสียงหัวเราะ

“การประลองเป็นตายของเจ้านั้นได้ถูกลงนามยินยอมทั้งสองฝ่าย และเป็นเรื่องที่ทาสถาบันบ่มเพาะขุนพลได้เป็นพยานรู้เห็นแล้ว ทางตระกูลต้วนจึงไร้เหตุผลที่จะเข้ามาแทรกแซง แต่ก็บอกได้เลยว่าการตัดสินใจของเจ้านั้น ย่อมทำให้เจ้าตกอยู่ในอันตรายอย่างแน่นอน นี่เพราะต้วนหรูเล่ยบิดาของต้วนหลิงซิ่ง เป็นรองประมุขของตระกูลต้วน หาใช่ตัวตนง่ายดายที่เจ้าจะรับมือได้ หากเจ้ากลับไปยังตระกูลต้วน อย่างน้อยๆ ก็จะมีคนคอยคุ้มกันให้แก่เจ้าอีกทางหนึ่ง นั่นจะทำให้ต้วนหรูเล่ยไม่กล้าผลีผลามลงมือ” ซื่อหม่าฉางฟงกล่าวออกมาด้วยความเป็นห่วงจากใจ และกล่าวชี้ให้เห็นถึงประเด็นสำคัญทันที

"ท่านอาจารย์ ข้าต้องขอขอบคุณมากสำหรับความห่วงใยที่ท่านมอบให้ข้า แต่ตัวข้านั้นได้ตัดสินใจไปแล้ว!" ต้วนหลิงเทียนเพียงยิ้มบางๆออกมา เขาย่อมสัมผัสได้ถึงความห่วงใยจากใจจริงของซื่อหม่าฉางฟง และนั่นทำให้หัวใจของเขารู้สึกอบอุ่นนัก

อย่างไรก็ตาม อาศัยเพียงแค่การแก้แค้นของต้วนหรูเล่ย นั้นไม่เพียงพอที่จะบีบบังคับให้เขาหวนกลับคืนสู่ตระกูล!

มันก็คงจะดี..หากต้วนหรูเล่ยไม่มายุ่งวุ่นวายอะไรกับเขา หากมันมาแล้วล่ะก็ ต้วนหรูเล่ยจะไม่ได้เป็นเพียงคนพิการอีกต่อไป แต่มันจะเป็นคนตาย!

ในขณะที่เขาคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ประกายตาเย็นชาแฝงอำมหิตก็เรืองวูบขึ้นมาแวบหนึ่ง

"เอาล่ะ หากเจ้าตัดสินใจไปแล้วข้าเองก็จะไม่กล่าวอะไรอีก" ซื่อหม่าฉางฟงเองก็เป็นคนฉลาดเฉลียว เขารู้ว่าหากยังยืนกรานพยายามชักชวนอะไรต้วนหลิงเทียนอีกล่ะก็ รังแต่จะสร้างความขุ่นเคืองและรำคาญเสียมากกว่า

ไม่นานหลังจากนั้น ราวกับซื่อหม่าฉางฟงนึกขึ้นได้ถึงเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่ง เขาจึงกล่าวออกมาเพื่อเปลี่ยนหัวข้อและทำลายบรรยากาศอึดอัด "มีอีกเรื่องหนึ่ง ... ยามนี้สถานการณ์บ้านเมืองไม่ค่อยสู้ดีสักเท่าไหร่นัก เหตุการณ์ทางชายแดนด้านตะวันตกกำลั่งอยู่ในช่วงระส่ำระสายเกรงว่าสงครามอาจจะเกิดขึ้นได้ในเร็วๆนี้ และเมื่อสงครามเกิดขึ้น ทางสถาบันบ่มเพาะขุนพลของเราก็จะส่งเหล่านักศึกษาบางส่วนออกไปเป็นกำลังเสริม และคนแรกที่จะได้รับการพิจารณาย่อมเป็นนักศึกษาของฝ่ายดาวกุนซือเรา หากเจ้าสนใจข้าจะส่งรายชื่อของเจ้าไป และเมื่อเจ้าทำผลงานได้ยอดเยี่ยม เจ้าอาจได้รับพระราชทาน อวยยศเป็นขุนนางจากตระกูลราชวงศ์ สามารถพุ่งทะยานขึ้นไปเหนือฟ้าได้ในคราเดียว! "

ดวงตาของต้วนหลิงเทียนพลันส่องประกายวาวโรยจน์สว่างไสวออกมา "หากตัวข้าได้รับโอกาสแล้วล่ะก็ แน่นอนว่าข้าย่อมคิดลองสัมผัสกับมันดูสักครั้ง... " ในฐานะราชันย์แห่งอาวุธที่ได้ข้ามมายังโลกนี้จากโลกเก่า ตอนนี้เลือดของต้วนหลิงเทียนพลันร้อนรุ่มขึ้นมาและกระหายจนไปถึงกระดูก

สถานที่ๆเขานั้นคุ้นเคยและมั่นใจที่สุดแน่นอนว่ามันคือสนามรบ สนามรบในโลกที่ดูราวกับเป็นอดีตของโลกเก่าเช่นี้ ย่อมหนีไม่พ้นการรบในรูปแบบแม่ทัพและกองทหาร เหล่าขุนพลเลื่องชื่อลือนามทั้งหลายในอดีตล้วนเกิดมาจากการเป็นเทพเจ้าล่าสังหารในสนามรบ นำทัพกองทหารนับหมื่นนับแสนเข้าเข่นฆ่าศัตรูอย่างเกรียงไกรแทบทั้งสิ้น

บุกกระหน่ำโถมทับดั่งวายุพัด ซัดสาดอริราชด้วยพละกำลัง ควบม้าคู่กายฟันฝ่าทะลวงกองทัพประดุจดั่งสายลม!

มันจะมีอะไรน่าพึงพอใจและตื่นเต้นเท่ากับเรื่องเช่นนี้อีกเล่า!

"หากเจ้าสนใจนั่นย่อมเป็นเรื่องที่ดี เรื่องดีอย่างยิ่ง!" ซื่อหม่าฉางฟงพยักหน้าออกมาด้วยรอยยิ้มแห่งความพึงพอใจ เขาสะบัดพัดขนนกในมือเล็กน้อย ก่อนที่ร่างของเขาจะทะยานพุ่งไปราวกับสายลมฉับไวหายลับไปในพริบตา

หลังจากที่ซื่อหม่าฉางฟงจากไป ต้วนหลิงเทียนไม่รอช้าเขาปิดตาลงและบ่มเพาะพลังทันที

วิชาบ่มเพาะ 9 มังกรจักรพรรดิสงคราม รูปแบบ งูเหลือมคลั่ง!

ระดับพลังงานก่อกำเนิดค่อยๆเพิ่มพูนและโคจรหมุนวนในรางกายของเขาราวกับสายน้ำเชี่ยวกราด มันโคจรผ่านทุกจุดชีพจร รวมทั้งเริ่มหลอมรวมผสานเข้ากับกายเนื้อและโลหิตของเขาเสริมสร้างพวกมันให้แข็งแกร่งขึ้นทีละนิดๆ ...

หลังจากผ่านช่วงบ่ายไปแล้ว ความคืบหน้าของเขาก็ไม่ได้มีมากมายอะไร

"อา หากข้ายังบ่มเพาะต่อไปด้วยความเร็วเท่านี้ มีหวังตัวข้าคงยังอยู่ในระดับก่อกำเนิด ทั้งๆที่เค่อเอ๋อและลี่เฟยตัดผ่านไปยังระดับกำเนิดแก่นแท้ แล้วเป็นแน่" ความขื่นขมเริ่มปรากฏออกมาบนมุมปากของต้วนหลิงเทียนจางๆ บางครั้งวิธีบ่มเพาะของรูปแบบงูเหลือมคลั่งนี่ถึงมันจะแข็งแกร่งกว่าคนในระดับเดียวกันอย่างมาก แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันใช้เวลานานไม่น้อย จนทำให้เขาเริ่มปวดหัว! ...ถึงแม้ว่าความแข็งแกร่งของเขานั้นจะนับว่ายอดเยี่ยมในหมู่คนรุ่นเดียวกันและไร้ผู้ต้าน แต่ภัยอันตรายของเขานั้นไม่ได้มากจากผู้ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขาสักหน่อย!

ถึงแม้ว่าเขาจะยังพอสามารถพึ่งพาความเลิศล้ำของอาคมจารึกได้ แต่จะอย่างไรนั่นก็ไม่ใช่ความแข็งแกร่งของตัวเขาเอง มันไม่เป็นไรที่จะใช้อาคมจารึกเป็นครั้งคราว แต่หากเขาใช้มันบ่อยๆ ต่อไปเขาไม่ได้เป็นอันทำอะไรพอดี

"ถึงแม้ข้าจะสามารถหลอมโอสถโลหิตมังกรที่อยู่ในความทรงจำของจักรพรรดิกลับชาติมาเกิดได้ก็จริง แต่วัตถุดิบสมุนไพรนั้นมันก็ลำบากไม่น้อย วัตถุดิบสมุนไพรธรรมดาขาคงสามารถหามาได้ แต่โลหิตมังกรที่เป็นส่วนสำคัญนี่ข้าจะทำอย่างไรกัน?" ต้วนหลิงเทียนรู้สึกหงุดหงิดไม่น้อย

ด้วยความทรงจำของจักรพรรดิกลับชาติมาเกิด หากเขามีโอสถโลหิตมังกรที่พึ่งกล่าวมา ช่วยเหลือในการบ่มเพาะแล้วล่ะก็ ในตอนที่เขาบ่มเพาะพลังด้วยรูปแบบงูเหลือมคลั่ง มันจะทำให้เขาได้ผลลัพธ์ที่ว่องไวมากกว่าเดิมถึง 2 เท่า ทั้งๆ ที่ใช้ความพยายามและเวลาเพียงครึ่งเดียว จากเมื่อก่อนเท่านั้น!

เมื่อเขากินโอสถโลหิตมังกรเข้าไปแล้วล่ะก็ ผลที่เลิศล้ำของโอสถมันจะไปช่วยเขาในเรื่องการสร้างพลังงานต้นกำเนิดเพื่อใช้ในการบ่มเพาะร่างกายแต่ละระดับ กล่าวง่ายๆ หากต้วนหลิงเทียนมีโอสถโลหิตมังกรแล้วล่ะก็ ต้วนหลิงเทียนสามารถสั่งสมพลังงานต้นกำเนิดเพื่อทะลวงผ่านไปยังระดับต่อไปได้ทันที เช่นเดียวกันกับผู้บ่มเพาะคนอื่นทั่วๆไป ไม่จำเป็นต้องนำพลังงานต้นกำเนิดที่สั่งสมมา บ่มเพาะหลอมกลั่นร่างกายเช่นนี้อีก

ทั้งผลเลิศล้ำของโอสถโลหิตมังกรนี่มันก็แทบจะทำให้เขาเสร็จสิ้นกระบวนการบ่มเพาะร่างกายในแต่ละระดับขั้นได้ทันที ด้วยวิธีนี้ความเร็วในการบ่มเพาะของเขาจะเพิ่มพูนขึ้นอย่างมหาศาล เนื่องจากไม่ต้องมาเสียเวลาในการบ่มเพาะร่างกายด้วยการกลั่นพลั่งงานต้นกำเนิดไปหลอมผสานเช่นนี้อีก

ไม่อย่างนั้นแล้ว เขาคงไม่อาจไล่ตามระดับบ่มเพาะของลี่เฟยและเค่อเอ๋อได้ทัน ...

“โอสถโลหิตมังกร... โลหิตมังกร ... จากความทรงจำของจักรพรรดิกลับชาติมาเกิด มังกรที่อ่อนแอที่สุดก็คือ มังกรวารี แต่มันก็เป็นถึงสัตว์อสูรปีศาจที่มีระดับบ่มเพาะในขั้นแรกสัมผัสธรรมชาติ ถึงข้าจะสามารถหาตัวมันจนพบ แต่ข้าจะนำโลหิตมันออกมาได้อย่างไร?” ต้วนหลิงเทียนรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย

แต่ทันใดนั้นเอง

อสรพิษสีดำตัวน้อย พลันชูคอออกมาจากแขนเสื้อของต้วนหลิงเทียน มันแลบลิ้นออกมาอย่างน่าเอ็นดูก่อนที่จะชูคอไปมาราวกับทำท่าผงกหัว

"อะไรเล่า เจ้าไม่ใช่มังกรเสียหน่อย" ต้วนหลิงเทียนหน่ายกับการกระทำของเสี่ยวเฮยเล็กน้อย

อย่างไรก็ตามเมื่อเขาเผลอมองไปยังเขาน้อยๆ ที่โผล่ออกมาจากศีรษะของเสี่ยวเฮย เข้าก็จับจ้องไปที่มันในทันใดพร้อมครุ่นคิด "เป็นไปได้หรือ…."

Copyright © 2019 spoilsoc.com All rights reserved.