spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
*ตั้งค่าถาวร (คลิกตั้งค่าถาวร) |
กระบี่อ่อนดาราม่วงที่ฟันไปด้วยความเร็วสูงพลันถูกตวัดพลิกขึ้น ราวกับกระบวนท่านกนางแอ่นหวนกลับ เขาบิดข้อมือหันด้านคมกระบี่เข้าหาฝ่ามือของต้วนหลิงซิ่งในพริบตา
สีหน้าของต้วนหลิงซิ่งพลันเปลี่ยนเป็นน่ากลัวอย่างยิ่ง
เขานั้นย่อมกล้าฟาดฝ่ามือไปยังใบกระบี่ แต่ถึงแม้เขาจะมีความกล้ามากกว่านี้ถึง 10 เท่าเขาก็ไม่หาญกล้าถึงขั้นตบไปยังด้านคมของกระบี่ ถึงแม้ว่าเขาจะสวมใส่อาวุธวิญญาณระดับ 8 ก็ตาม แต่มันเป็นไปไม่ได้เลยที่คิดจะใช้มันรับด้านคมของกระบี่ที่เป็นอาวุธวิญญาณระดับ 8 เช่นกัน ...
"เจ้าคิดว่ากระทำเช่นนี้แล้วจะได้ผลเช่นนั้นรึ?" ต้วนหลิงซิ่งพลันกล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้มเยาะ เมื่อเขาบังเกิดวิธีรับมือกระบี่นี้ขึ้นมาในใจ เขาไม่ได้ยกเลิกการโจมตีของเขา แต่เขากลับฟาดฝ่ามือออกพร้อมเปลี่ยนไปใช้วิชายุทธ์สายป้องกันแทน มันเป็นวิชาป้องกันที่มีระดับห้วงมหรรณพขั้นสูงที่มีความสำเร็จในขั้นตอนแก่นแท้!
ทันทีที่กำแพงพลังงานต้นกำเนิดปรากฏออกมาปกคลุมตัวเขา เขาก็ทำการถ่ายเทมันไปหลอมรวมที่บริเวณถุงมือไหมทองทันที ก่อนที่เขาจะฟาดลงไปยังกระบี่อ่อนดาราม่วงของต้วนหลิงเทียนตรงๆ ...
ถุงมือไหมทองนั้นมีความแข็งแกร่งสูงอย่างมาก หากเป็นคมดาบคมกระบี่จากอาวุธธรรมดาคงไม่อาจสร้างริ้วรอยอะไรให้แก่มันได้ และในเมื่อตอนนี้ต้วนหลิงซิ่งอาศัยวิชาป้องกันในการกำราบกระบี่นั่นหมายความว่ายามปะทะกัน ขอเพียงมีความแข็งแกร่งที่เทียบกันหรือก็คือ ช้างแมมมอธโบราณ 14 ตัว! พลังโจมตีและป้องกันจะหักล้างสลายหายไป!
ทว่าพริบตาต่อมาสีหน้าต้วนหลิงซิ่งพลันเปลี่ยนเป็นซีดเผือดขึ้นมา ...
โอ้สวรรค์!
ข้าพึ่งเห็นอะไร!
เหนือศีรษะต้วนหลิงเทียนอยู่ๆ ก็บังเกิดภาพเงาร่างช้างแมมมอธโบราณเพิ่มขึ้นมาอีก 1 ตัว...นั่นทำให้จากตอนแรกที่เขามีความแข็งแกร่ง 14 ช้างแมมมอธโบราณ กลายเป็น 15 ช้างแมมมอธโบราณทันที!!...
ความแข็งแกร่งระดับ 15 ช้างแมมมอธโบราณ!!
“ไม่จริง เป็นไปไม่ได้! มันจะไปมีอาวุธวิญญาณระดับ 7 ได้อย่างไร?!” สีหน้าของต้วนหลิงซิ่งเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยวอย่างถึงขีดสุด น้ำเสียงของมันเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นอย่างมาก ยามนี้เรื่องเดียวที่ก้องอยู่ในหัวของมันคือ อาวุธวิญญาณของต้วนหลิงเทียนนั้นไม่ได้มีระดับแค่ 8 แต่มันต้องเป็นอาวุธวิญญาณระดับ 7 เท่านั้น!
เพราะหากจะให้ผู้ฝึกยุทธ์ระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 9 ที่มีความแข็งแกร่งระดับ 12 ช้างแมมมอธโบราณ เพิ่มพูนความแข็งแกร่งไปจนถึงระดับ 15 ช้างแมมมอธโบราณแล้วล่ะก็ หนทางเดียวที่ทำได้คือใช้อาวุธวิญญาณระดับ 7 ที่สามารถเพิ่มพูนความแข็งแกร่งให้แก่ผู้ใช้ได้สูงถึง 30%!
แต่มันจะไปล่วงรู้ได้อย่างไร ว่าแท้จริงแล้วอาวุธที่อยู่ในมือนั้นก็หาได้เป็นอาวุธวิญญาณระดับ 7 อะไรอย่างที่มันเข้าใจ ...
วิชาบ่มเพาะพลังงานต้นกำเนิดอย่างเคล็ดวิชา 9 มังกรจักรพรรดิสงคราม รูปแบบงูเหลือมคลั่งนั้น ทำให้ต้วนหลิงเทียนสามารถครอบครองความแข็งแกร่งได้สูงถึง 12 ช้างแมมมอธโบราณหลังจาก ที่เขาใช้พลังงานต้นกำเนิดของระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 4 บ่มเพาะร่างกายเสร็จสิ้นแล้ว ซึ่งเท่านี้มันก็เท่าเทียมกับผู้ฝึกยุทธ์ระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 9 เข้าไปแล้ว! และเมื่อวานต้วนหลิงเทียนยังตัดผ่านไปยังระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 5 อีกด้วยทำให้เขาได้รับความแข็งแกร่งเพิ่มมาอีก 1 ช้างแมมมอธโบราณ!!
ปัจจุบันต่อให้ต้วนหลิงเทียนไม่ต้องใช้งานอาวุธวิญญาณอะไรเขาก็มีความแข็งแกร่งสูงถึง 13 ช้างแมมมอธโบราณแล้ว และเมื่อไหร่ก็ตามที่เขาใช้งานอาวุธวิญญาณ ผลของการเพิ่มพูนความแข็งแกร่งก็จะทำงานทันที
และตอนนี้เองเหล่าฝูงชนเองก็เริ่มลุกฮือตื่นตระหนกขึ้นมาถึงขีดสุด
"อะ..อาวุธวิญญาณระดับ 7!"
"โอ้สวรรค์ ตะ...ต้วนหลิงเทียน กลับมีอาวุธวิญญาณระดับ 7!"
"แม้จะเป็นตัวตระกูลต้วนเอง อาจจะยังไม่มีอาวุธวิญญาณระดับ 7 ใช้กันด้วยซ้ำ แล้วนี่ต้วนหลิงเทียนไปได้มันมาจากที่ใดกัน?"
...
ความคิดของพวกเขานั้นก็ไม่ได้แตกต่างอะไรไปกับต้วนหลิงซิ่ง เพราะพวกเขาทั้งหมดเองก็ล้วนคิดว่าต้วนหลิงเทียนต้องอาศัยอาวุธวิญญาณระดับ 7 เท่านั้นถึงจะมีความแข็งแกรงสูงถึง 15 ช้างแมมมอธโบราณได้
"อาวุธวิญญาณระดับ 7 งั้นหรือ?" มุมปากของเซี่ยวหยู,เซี่ยวฉวินรวมทั้งเทียนหูเอง ก็อดบังเกิดรอยยิ้มขื่นขมออกมาไม่ได้ เมื่อทุกคนได้รับรู้ว่าแท้จริงแล้วต้วนหลิงเทียนนั้นกลับปกปิดความแข็งแกร่งเอาไว้มากมายมหาศาลถึงเพียงนี้ แม้แต่ประกายตาของซูหลี่เองก็เรืองวูบขึ้นมาพร้อมเจือแววตกตะลึงเอาไว้ไม่น้อย
"ไอสารเลวนั่นมันมีอาวุธวิญญาณระดับ 7 ได้อย่างไร?" สีหน้าของถงลี่บิดเบี้ยวอย่างมาก มือที่กำแส้สีดำเอาไว้สั่นระริกขึ้นมา
"ท่านพี่!" สีหน้าของต้วนหรงแปรเปลี่ยนเป็นซีดเผือด ยามนี้ความหวาดกลัวฉายชัดอยู่ทุกอณูบนใบหน้ามัน
บนลานฝึกซ้อม
ร่างของต้วนหลิงซิ่งพลันสั่นระริกขั้นมา เมื่อเขาเริ่มมีความคิดที่ว่าเขาอาจจะต้องพบจุดจบลงในตอนนี้ ดวงตาของต้วนหลิงซิ่งฉายชัดออกมาถึงความหวาดกลัว ม่านตาของมันเบิกกว้างออกมาเมื่อเห็นกระบี่ของต้วนหลิงเทียนตวัดมาอย่างรวดเร็ว และหัวใจของมั่นถึงกับสั่นสะท้านไปด้วยความหวาดกลัวในขณะที่กระบี่กำลังจะปะทะกับฝ่ามือที่ไม่อาจรั้กลับได้ทันของมัน ...
มีหรือที่ต้วนหลิงเทียนจะไม่ล่วงรู้ว่ายามนี้ต้วนหลิงซิ่งกำลังคิดอะไรอยู่ เมื่อเห็นสีหน้าและแววตาที่ฉายชัดออกมาถึงขนาดนั้นจากมัน? ต้วนหลิงเทียนเพียงหัวเราะเยาะออกมาเล็กน้อยกระบี่อ่อนดาราม่วงพลันขยับวูบเข้าไปด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นอีกขั้น...และในขณะนั้นเอง หลิงเทียนก็กล่าวถามออกมาอย่างหยามหยัน "อะไรกัน ยามนี้พึ่งจะมาเสียใจเช่นนั้นหรือที่คิดจะรับกระบี่ข้า?"
ฉัวะ!
ด้วยความแข็งแกร่งของช้างแมมมอธโบราณ 15 ตัว มันฉีกกระชากปราการป้องกันที่ก่อเกิดจากพลังงานต้นกำเนิดที่โคจรใช้ออกด้วยวิชาป้องกันของต้วนหลิงซิ่งที่ทุ่มเทใช้ออกมาด้วยความแข็งแกร่ง 14 ช้างแมมมอธโบราณ ได้อย่างง่ายดาย
"อ๊าคคคคค!" หลังเสียงกระบี่สะบั้นดังขึ้น เสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดของต้วนหลิงซิ่งก็ดังขึ้นโดยพลัน ยามนี้ฝ่ามือของมันถูกฟันขาดกลางฝ่ามือ ครึ่งฝ่ามือกับนิ้วทั้ง 4 ยกเว้นนิ้วโป้งของมันร่วงตกลงไปราวขยะชิ้นหนึ่งบนพื้น หยาดโลหิตพรั่งพรูออกมาเจิ่งนองเป็นแอ่ง
ร่างกายของต้วนหลิงซิ่งเริ่มสั่นระริก แววตาที่มันมองต้วนหลิงเทียนครานี้เต็มไปด้วยความหวาดกลัวจากก้นบึ้งของหัวใจราวกับไร้ที่สิ้นสุด ...
"กระบี่นี้ชดใช้ให้แก่ลี่ซวน ! เจ้ายังจดจำลี่ซวนได้หรือไม่? มันคือเจ้าอ้วนที่ข้าเรียกว่าไขมันน้อย ที่เสียสละตัวเองใช้ร่างกายของมันกระโดดเข้ามาปกป้องข้าโดยรับฝ่ามือของเจ้าเข้าไปเต็มๆ จนมันต้องเกือบตกตาย 2 ปีก่อนอย่างไรเล่า" สายตาเย็นยะเยือกราวยมทูตของต้วนหลิงเทียนจับจ้องไปยังต้วนหลิงซิ่งอย่างอำมหิต
วันนั้นหากไม่ใช่เพราะไขมันน้อยลี่ซวนสละได้กระทั่งชีวิตกระโดดเข้ามาป้องกันฝ่ามือนั้นของต้วนหลิงซิ่ง ป่านนี้เขาคงตกตายไปนานแล้ว และไม่มีโอกาสที่จะมายืนตรงจุดๆนี้ได้ และในยามนั้นเขาก็ได้สาบานด้วยหัวใจว่าเขาจะให้ต้วนหลิงซิ่งได้ชดใช้!
ฟุ่บ!
ร่างกายของต้วนหลิงเทียนพลันวูบไหวเคลื่อนร่างออกมาดั่งอสรพิษอีกครา ระยะทางช่วงใหญ่หายวับไปในพริบตา เขาโผล่ขึ้นมาตรงหน้าต้วนหลิงซิ่ง พร้อมทั้งวาดกระบี่ออกไปอย่างไร้ปราณี
แล้วต้วนหลิงซิ่งที่ถูกทำลายอาวุธวิญญาณจนสูญเสียความแข็งแกร่งไปมากโข จะไปมีปัญญาหลบกระบี่ของต้วนหลิงเทียนที่วาดมารวดเร็วดั่งเส้นสายอัสนีนี้ได้อย่างไร? และเช่นเคย...เสียงกรีดร้องโหยหวนปานจะขาดใจตายของต้วนหลิงซิ่งดังขึ้นออกมาอย่างน่าเวทนา
ขาของมันถูกต้วนหลิงเทียนสะบั้นขาดออกทั้งสองข้าง ...ร่างของมันที่ไร้ซึ่งเสาหลักในการค้ำยันร่างกายก็ต้องล้มกลิ้งลงไปคลุกคลีกับเศษดินที่พื้นอย่างน่าเวทนา ทั้งตัวสั่นระริกราวกับลูกนกที่กำลังหวาดกลัว ประกายตาของมันยามนี้ไม่หลงเหลือความคิดที่จะต่อสู้ใดๆ คงเหลือไว้เพียงความสิ้นหวังหม่นหมองเท่านั้น ...
ตอนนี้มันหวังเพียงว่าให้ฉากตรงหน้าและเรื่องราวทั้งหมดล้วนเป็นเพียงภาพฝันตื่นหนึ่ง ... แต่น่าเสียดายความเจ็บปวดที่ราวกับเพลิงผลาญแล่นวูบขึ้นมาจู่โจมมันแทบสิ้นสตินั้น บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่า ที่แห่งนี้ไม่มีวันเป็นเพียงมายาฝันฉากหนึ่ง แต่มันคือเรื่องจริง!
"กระบี่นี้สำหรับเค่อเอ๋อ! เจ้ายังคงจดจำเค่อเอ๋อได้หรือไม่? สาวน้อยที่เจ้าทำร้ายนางจนกระเด็นล้มคว่ำ ในยามที่นางวาดกระบี่ไปหมายยับยั้งเจ้าไม่ให้ ทำร้ายข้า คนนั้น!" ต้วนหลิงเทียนค่อยๆ ก้าวเข้าไปหาต้วนหลิงซิ่งที่ดันทุรังกระเสือกกระสนถอยหนีไปทีละก้าวๆ อย่างช้าๆ สายตาของเขาเต็มไปด้วยความเย็นชาอย่างถึงขีดสุด น้ำเสียงของเขาเองก็เย็นชาแฝงอำมหิตไว้ไม่น้อย
ฉากนั้นพลันฉายซ้ำขึ้นมาในห้วงคำนึงเขาอีกครั้ง ฉากที่เค่อเอ๋อถูกมันฟาดกระเด็นในขณะที่มาสกัดมันเอาไว้ไม่ให้เอาชีวิตเขา!
ชายชราในชุดคลุมสีเทาเฝ้าดูภาพนองเลือดตรงหน้าด้วยความสนใจ แต่เขาหาได้มีเจตนาที่จะเข้าไปขัดขวางหรือยุ่งวุ่นวายอะไรกับการประลองเป็นตายครั้งนี้ไม่ การที่จะยุติการประลองเป็นตายได้มีเพียงต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหมดลมหายใจไปแล้วเท่านั้น
เขาเป็นเพียงพยานและผู้จัดการประลองครั้งนี้เท่านั้น ไม่ว่าใครก็ตามเมื่อกล้าลงนามทำการประลองเป็นตาย มันก็ต้องกล้าและเตรียมใจที่จะตายเอาไว้ด้วย
และนอกจากนี้เองยามนี้เขาก็เข้าใจอย่างถ่องแท้แล้ว หลังจากที่ได้ยินว่า ครั้งหนึ่งต้วนหลิงซิ่งพยายามลงมือสังหารต้วนหลิงเทียน และในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าเพราะอะไรต้วนหลิงเทียนถึงเกลียดต้วนหลิงซิ่งมากถึงเพียงนี้ นั่นเพราะที่แท้ทั้งคู่นั้นมีเรื่องบาดหมางร้ายแรงที่ไม่อาจอยู่ร่วมโลกกันได้แล้วเช่นนี้นี่เอง พวกมันถึงได้คิดประลองเป็นตายกัน
"ที่แท้ต้วนหลิงซิ่งกับต้วนหลิงเทียนนั้นบาดหมางกันถึงเพียงนี้ พวกมันมีความแค้นและเกลียดชังกันมานานแล้วนี่เอง พวกมันจึงคิดที่จะประลองเป็นตายกันทันทีที่เจอ!"
"พวกมันทั้งคู่ล้วนเป็นคนของตระกูลต้วนเช่นเดียวกันแท้ๆ แต่ความแตกต่างของพวกมันนั้นห่างชั้นกันเกินไป ต้วนหลิงเทียนนั้นพึ่งจะมีอายุได้ 18 ปีเท่านั้น แต่ต้วนหลิงซิ่งนั่นอายุมากถึง 23 ปีแล้ว"
"ต้วนหลิงเทียนสามารถเอาชนะสาวกสายหลักของตระกูลต้วนที่มีอายุมากกว่าถึง 5 ปี พรสวรรค์ตามธรรมชาติของเขาช่างท้าทายสวรรค์อย่างแท้จริง สมแล้วที่เป็นบุตรชายของต้วนหรูเฟิง!!"
“ต้วนหลิงซิ่ง ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าขยะชิ้นหนึ่ง ยามอยู่ต่อหน้าเขา”
...
ตอนนี้เหล่าศิษย์ของสถาบันบ่มเพาะขุนพลล้วนกล่าวคำประณามและสบประมาทต้วนหลิงซิ่งกันอย่างสนุกสนาน
ส่วนเซี่ยวหยูและคนอื่นๆ นั้นเริ่มปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาเสียที ... ต้วนหลิงเทียนชนะแล้ว!
ร่างกายของต้วนหรงสั่นระริกออกมาอย่างหวาดกลัวเมื่อเห็นภาพตรงหน้า ทั้งใบหน้าของมันยังซีดเซียวจนถึงขีดสุดราวกับไร้เลือดไปหล่อเลี้ยง
"ต้วนหลิงเทียน สักวันข้าจะให้เจ้าตาย!" ถงลี่ถลึงตามองไปยังชายหนุ่มชุดสีม่วงก่อนที่จะกล่าวคำสาปแช่งออกมาจากที่ไกลๆ ก่อนที่จะหันหลังจากไป
บานลานฝึกซ้อม
ต้วนหลิงซิ่งได้พยายามใช้พลังงานต้นกำเนิดของเขาทั้งหมดเพื่อห้ามเลือดไม่ให้ไหลออกจนหมดตัวอย่างยากลำบาก ตอนนี้สีหน้าของเขานั้นซีดราวกับศพ มันไร้สีโลหิตแต่งแต้มแม้แต่น้อย เมื่อเขามองต้วนหลิงเทียนที่กำลังก้าวมาอย่างช้าๆ พร้อมกระบี่อ่อนดาราม่วงที่สะบั้นแขนขาเขาออกเป็นชิ้นๆ ร่างของเขาก็สั่นเทิ้มไปด้วยความหวาดกลัว ความหวาดกลัวและความสิ้นหวังผสมปนเปกันโดยไรอารมณ์อื่นใดแทรก "ต้วนหลิงเทียน เจ้าฆ่าข้าไม่ได้นะ ข้าเป็นพี่ชายคนหนึ่งของเจ้า พวกเราก็เป็นคนของตระกูลต้วนเช่นเดียวกัน... เจ้าไม่อาจสังหารข้าได้เช่นนี้... "
ต้วนหลิงเทียนถึงกับตกตะลึงตาค้างไปพริบตาหนึ่งหลังจากได้ยินคำกล่าวของต้วนหลิงซิ่ง ก่อนที่เขาจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
“เป็นพี่ชายข้า เป็นคนตระกูลเดียวกัน?" รอยยิ้มเย้ยหยันพลันฉายชัดออกมาที่มุมปากของต้วนหลิงเทียน "เมื่อสองปีก่อนตอนที่เจ้าคิดสังหารข้าให้ตกตายที่ตระกูลลี่แห่งเมืองวายุโปรย เจ้าเคยคิดถึงความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องนี่หรือไม่ เหตุใดยามนี้เจ้าถึงคิดถึงมันขึ้นมาได้...ในยามที่ข้ากำลังจะดับลมหายใจโสโครกของเจ้ากันเล่า?”
“เหอะ ไอ้สวะ! เจ้าเห็นว่าเจ้าไร้ซึ่งความหวังและไม่เหลือหนทางทำอันใดได้ เจ้าจึงเลือกหนทางโง่งมกล่าวอ้างเป็นพี่ชายบ้าง คนร่วมตระกูลบ้าง หวังเพียงให้ข้าละเว้นชีวิตเช่นนั้นหรือ ... สมองเจ้ายังอยู่ดีหรือไม่ ไม่คิดว่ามันไร้สาระหรือไร?”
กระบี่อ่อนดาราม่วงที่หลิงเทียนถือเดินเข้ามานั้น ยังคงมีหยาดโลหิตที่หยดลงพื้นตลอดเวลา ทุกๆก้าวที่เขาก้าวเข้ามาเสียงติ๋งๆ ของโลหิตที่หยดลงคล้ายดั่งนาฬิกานของมัจจุราชที่กำลังนับถอยหลัง
หลังจากที่ต้วนหลิงเทียนเดินมาถึงต้วนหลิงซิ่ง เขาก็แสยะยิ้มออกมาอย่างเย็นชา ก่อนที่จะยกกระบี่อ่อนดาราม่วงขึ้นมาอย่างช้าๆ
ต้วนหลิงซิ่งเองก็รู้เหมือนจะรู้ตัวว่าต้วนหลิงเทียนคงไม่คิดฟังคำกล่าวไร้สาระนี้ของเขา ต้วนหลิงซิ่งจึงแสดงสีหน้าเคร่งเครียดออกมาพร้อมกล่าวตะโกนออกมาอย่างดุร้าย "ต้วนหลิงเทียน หากเจ้าฆ่าข้า รับรอง พ่อแม่ข้าย่อมไม่อยู่เฉยเป็นแน่ พวกเขาจะไม่มีวันปล่อยเจ้าไป และสุดท้ายเจ้าจะต้องตายอย่างทรมาน!"
"คนพิการนั่นน่ะหรือ?" ต้วนหลิงเทียนเพียงหัวเยาะออกมาอย่างไม่แยแส
"อำนาจในมือของท่านพ่อและท่านแม่ของข้า ไม่ใช่เรื่องราวอะไรที่เจ้าจะจินตนาการได้ หากเจ้ายังพอมีความคิดอยู่บ้าง เจ้าก็คงรู้ว่าไม่อาจสังหารข้าได้" ต้วนหลิงเทียนพยายามต่อต้านความตายออกมาเป็นครั้งสุดท้าย
น่าเสียดายที่หลิงเทียนไม่แม้แต่จะใส่ใจคำกล่าวมันสักนิด
"กระบี่นี้เป็นของข้าเอง ... " ภายใต้การจ้องมองที่ดุร้ายของต้วนหลิงซิ่ง กระบี่ในมือของต้วนหลิงเทียนค่อยวางทาบไปที่ลำคอของมันแล้วเฉือนอย่างช้าๆ สุดท้ายกระบี่ก็ลากเส้นสีแดงสวยงามบนลำคอของมัน
พรูดด!
โลหิตพวยพุ่งทะลักออกมาทันที!
ดวงตาของต้วนหลิงซิ่งเบิกกว้างขึ้นมา ประกายตาของมันเต็มไปด้วยความหมดหวังร่างกายของมันชักกระตุกก่อนที่จะล้มลงไปแน่นิ่งบนพื้น บาดแผลก่อนหน้านี้พลันมีโลหิตพรั่งพรูออกมาอีกครั้ง หลังจากไร้พลังงานต้นกำเนิดห้ามเอาไว้ ...
ต้วนหลิงซิ่ง ไร้ลมหายใจสืบไป!
เช้ง!
ต้วนหลิงเทียนสะบัดหยาดโลหิตบนกระบี่อ่อนดาราม่วงก่อนที่จะสอดมันคืนฝักที่เอว รอยยิ้มเริ่มปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขา นี่คือรอยยิ้มแห่งความปลอดโปร่ง!
ตลอดระยะเวลาสองปีที่ผ่านมา...ไม่มีวันไหนเลยที่เขาไม่คิดฆ่าต้วนหลิงซิ่งเพื่อล้างแค้นในสิ่งที่มันกระทำกับเขาไว้ในวันนั้น และตอนนี้ทุกอย่างจบลงแล้ว!
"หึหึหึ ฮ่า ฮ่า ฮ่า ... " ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาดังก้อง ยามนี้เขารู้สึกยินดีและเบิกบานอย่างถึงขีดสุด ความโสมนัสปะทุขึ้นภายในหัวใจของเขา เสียงหัวเราะของเขาดังก้องไปทั่วลานฝึกซ้อม ราวกับเป็นเสียงดนตรีที่บรรเลงขึ้นมาท่ามกลางความเงียบสงบ
นอกเหนือจากรองผู้อำนายการ และก็เหล่าสหายของต้วนหลิงเทียนแล้ว เหล่านักศึกษาของสถาบันบ่มเพาะขุนพลคนอื่นๆล้วนจับจ้องไปยังชายหนุ่มชุดสีม่วงที่เยือนย่ำแอ่งโลหิต อยู่บนลานฝึกซ้อมด้วยความหวาดกลัว ... ชายหนุ่มคนนี้น่ากลัวเกินไป!
หากยามนี้เขาที่มีอายุเพียง 18 ปีเท่านั้นแต่กลับน่าหวาดกลัวถึงเพียงนี้ แล้วในยามที่เขาเติบโตมากขึ้นไปกว่านี้เล่า ไม่ใช่ว่าเขาจะท้าทายสวรรค์เลยหรือ?
หลังจากหัวเราะออกมาจนปลอดโปร่ง ต้วนหลิงเทียนก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนที่จะผ่อนคลายอารมณ์ตื่นเต้นของเขาลง ก่อนที่จะเดินไปหาเซี่ยวหยูและคนอื่นๆ ด้วยรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า “พวกเราไปหาอะไรกินต่อเถิด ข้าหิวจัง”
ทุกคนที่ไดยินล้วนอึ้งและไร้คำจะกล่าว
พวกเขาทั้งหมดหันไปมองสภาพศพที่ยับเยินน่าเวทนาของต้วนหลิงซิ่งบนลานฝึกซ้อม หัวใจของพวกเขาพลันสั่นสะท้านขึ้นมาไมได้
ผ่านเรื่องเช่นนี้มาหมาดๆ...ต้วนหลิงเทียนผู้นั้นยังมีอารมณ์และความอยากอาหารอยู่อีกหรือ?
ชายชราในชุดคลุมสีเทา หรือรองผู้อำนวยการแห่งสถาบันบ่มเพาะขุนพล เฝ้ามองไปยังร่างของต้วนหลิงเทียนที่ค่อยๆเดินจากไปช้าๆ เขาหรี่ตาลงเล็กน้อยก่อนที่จะเผยรอยยิ้มออกมา "สหายน้อยผู้นี้นับว่าน่าสนใจไม่น้อย... "