spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
*ตั้งค่าถาวร (คลิกตั้งค่าถาวร) |
ขณะที่เว่ยซูฉีเห็นชะนียักษ์จันทราสีเงินทั้งสองตัวต่อสู้อย่างดุเดือดเลือดและขนกระจายไปทั่ว ร่องรอยแห่งความเจ็บปวดบางอย่างเกิดขึ้นในดวงตาของนาง
นางมีความผูกพันกับชะนียักษ์ทั้งสองตัวในช่วงสองสามวันที่นางดูแลพวกมัน
การที่ต้องมาเห็นพวกมันต่อสู้กันจนตายทำให้เว่ยซูฉีรู้สึกราวกับว่าเด็กสองคนกำลังต่อสู้ มันส่งผลให้เกิดความทุกข์ในใจที่นางคงไม่มีวันลืม
เจี้ยงเฉินถอนหายใจเบา ๆ เขาไม่รู้ว่าทำไมคนที่มีท่าทางบุคลิกอย่างเว่ยซูฉีถึงเลือกที่จะเดินตามเส้นทางของเต๋าศิลปะการต่อสู้
ไม่ว่าจะเป็นเต๋าศิลปะการต่อสู้สำหรับผู้ฝึกฝนมนุษย์หรือสัตว์ร้าย อัจฉริยะที่แข็งแกร่งกว่าได้ถูกกำหนดไว้แล้วว่าชัยชนะต้องแลกมาด้วยร่างกายและโครงกระดูก
การฆาตกรรมและเลือดจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เพื่อที่จะเป็นสุดยอดของผู้ฝึกฝนเต๋าศิลปะการต่อสู้
การที่เว่ยซูฉีไม่อาจทนเห็นลูกชะนียักษ์สองตัวต่อสู้กันจนตายได้ นั่นหมายความว่าหัวใจของนางในด้านเต๋าศิลปะการต่อสู้ยังเปราะบางอยู่
เมื่อมองจากมุมมองอื่น ความเมตตาและความอ่อนโยนอาจเป็นลักษณะที่ดีที่สุดของนาง
"นายน้อย ตัวหนึ่งต้องตายจริง ๆ หรือ?" เว่ยซูฉีกัดริมฝีปากของตัวเองขณะที่นางถาม
กฎการอยู่รอดของชะนียักษ์จันทราสีเงินคือมีเพียงตัวเดียวเท่านั้นที่จะมีชีวิตอยู่รอด อีกตัวจะกลายเป็นอาหารของตัวที่ยังมีชีวิตอยู่ การกลืนกินสายเลือดเดียวกันเป็นหนทางหนึ่งของชะนียักษ์ในการพัฒนาตัวเอง "
"แต่ ... " ดวงตาของเว่ยซูฉีดูหมองคล้ำ "ข้าไม่อาจทนต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้. นายน้อย ข้าขอร้องได้โปรดอนุญาตให้ข้าเลี้ยงดูพวกมันโดยแยกกันได้หรือไม่? "
เสียงของเว่ยซูฉีเหมือนกับเสียงพึมพำของยุง นางเป็นเหมือนกับเด็กขี้อายที่กำลังขอบางอย่างที่น่าขบขันกับพ่อแม่นาง นางก้มศีรษะลงและไม่กล้ามองเข้าไปในดวงตาของเจี้ยงเฉิน
"นายน้อย ข้ายินดีที่จะใช้ความพยายาม 2 เท่า ไม่สิข้าจะพยายามถึง 4 เท่าในการเลี้ยงดูพวกมัน" เว่ยซูฉีให้สัญญากับเจี้ยงเฉิน
เจี้ยงเฉินถอนหายใจเบา ๆ "ซูฉี บุคลิกภาพของเจ้าไม่เหมาะสำหรับการฝึกอบรมจริง ๆ เอายังงี้มั้ย ข้าจะมอบชะนียักษ์ให้กับเจ้าตัวหนึ่ง ส่วนอีกตัวข้าจะเลี้ยงเอง "
"นายน้อย ข้าสามารถเลี้ยงดูได้ทั้งสองตัวโดยให้มันแยกกันอยู่ในเวลาเดียวกัน" เว่ยซูฉีเป็นกังวล
เจี้ยงเฉินยิ้ม "ไม่ต้องกังวล ข้าไม่โทษเจ้า. จริงๆแล้วมันสมเหตุสมผลมากกว่าที่ให้ข้าเลี้ยงดูมันสักตัวหนึ่งเอง เจ้าเลี้ยงอีกตัวได้ บางทีในอนาคต มันจะกลายเป็นสัตว์วิญญาณที่ผูกพันกับเจ้าและมันจะช่วยปกป้องเจ้า ! "
เจี้ยงเฉินไม่ล้อเล่น ด้วยบุคลิกของเว่ยซูฉี นางอาจประสบปัญหาอันตรายมากมายในอนาคต การมีชะนียักษ์จันทราสีเงินที่โหดร้ายคอยปกป้องนางคงเป็นสิ่งที่เหมาะสมมากที่สุด
เว่ยซูฉีสลัดทิ้งความวิตกกังวลของนางเมื่อนางได้ยินคำพูดของเจี้ยงเฉินและรู้ว่าเขาไม่โทษนาง
เจี้ยงเฉินกำลังจะพูดบางอย่างเมื่อเขาได้ยินเสียงฝีเท้าเดินลงมาที่ห้องโถง
"นายน้อยเฉิน ด่านเฟ่ยจากคฤหาสน์ท่านอาจารย์มาที่นี่เพื่อเยี่ยมเยียน" หยูตงเดินเข้ามาพร้อมกับด่านเฟย
ด่านเฟยได้รับการปฎิบัติเป็นพิเศษ ถ้าเป็นคนอื่น หยูตงจะไม่เรียกตัวเข้ามาโดยไม่มีการรายงานก่อน
ด่านเฟยเห็นว่ามีเพียงเจี้ยงเฉินและเว่ยซูฉียืนคุยกันอยู่ และเว่ยซูฉ๊ก็มีอาการขี้อายด้วยน้ำตาที่ยังไม่แห้งที่ขอบตาของนาง
"ฮ่า,ฮ่า,ดูเหมือนว่าข้ามาผิดเวลาหรือเปล่า?" ร่องรอยการหยอกล้อบางอย่างเกิดขึ้นในเสียงหัวเราะของด่านเฟย
ไม่ว่าสตรีจะพิเศษหรือสวยงามโดดเด่นขนาดไหน นางก็ยังเป็นผู้หญิงในท้ายที่สุด
ผู้หญิงมักจะมีความคิดที่แตกต่าง
เมื่อด่านเฟยได้เห็นสถานการณ์เช่นนี้ ความคิดแรกของนางคือเจี้ยงเฉินกำลังทำตัวเจ้าชู้และหยอกล้อผู้ติดตามหญิงที่อ่อนโยน และเขายังข่มขู่นางอย่างมากจนทำให้นางร้องไห้
"พี่ด่านเฟย ดูเหมือนว่าคำพูดดังกล่าวไม่เหมาะกับท่าทางของเจ้าเลย" เจี้ยงเฉินยิ้มและไม่รังเกียจการล้อเล่นของด่านเฟย
ผู้หญิงคนนี้เป็นคนพิสดาร จะเป็นการทรมานตัวเองถ้าเก็บคำพูดของนางไปคิดอย่างจริงจัง
เสียงหัวเราะของด่านเฟยดังเป็นเสียงกังวานใส "น้องสาวตัวน้อย เจี้ยงเฉินรังแกเจ้ารึเปล่า? บอกข้าได้ทุกอย่าง ข้าจะจัดการเขาเอง! "
ใบหน้าที่แดงก่ำของเว่ยซูฉีแดงขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่นางรีบโบกมือ "ไม่เลยค่ะ พี่ด่านเฟย โปรดอย่าเข้าใจนายน้อยของข้าผิด เขา ... เขาจะไม่มีทางรังแกข้าหรอก"
หึ,หึ! เจี้ยงเฉิน ข้าต้องบอกว่าข้าอิจฉาเจ้า สาวกหญิงของเจ้างดงามทั้งสองคน และแต่ละคนก็มีความซื่อสัตย์และความจงรักภักดี หลังจากที่นางถูกรังแก นางยังจะปกป้องเจ้า และนางอดทนจนถึงที่สุด บอกข้าสิว่า เจ้าปฏิบัติกับพวกเขาอย่างไร? "
ด่านเฟยมองไปที่ชะนียักษ์จันทราสีเงินขณะที่นางพูด
นางประหลาดใจทันที่ที่ดวงตาที่สวยงามของนางถูกดึงดูด นางอุทานด้วยความตกใจ ในขณะที่มือเรียวของนางอดไม่ได้ที่จะยกขึ้นมาปิดปาก
"เจี้ยงเฉิน ชะนียักษ์จันทราสีเงินของเจ้าได้เริ่มตื่นตัวขึ้นแล้วหรือ? เจ้าทำได้อย่างไร?" ด่านเฟยไม่เสียเวลาพยายามหยอกล้อเจี้ยงเฉิน ขณะที่นางมุ่งความสนใจทั้งหมดไปยังลูกชะนียักษ์จันทราสีเงินอย่างเต็มที่
"เจ้าจะต้องถามมันเองเกี่ยวกับเรื่องนี้" เจี้ยงเฉินยิ้มและชี้ไปที่พวกมัน
ด่านเฟยคลั่งสัตว์วิญญาณมาก นางทิ้งท่าทีของผู้หญิงที่สงบเสงี่ยมไว้ข้างนอกและรีบพับแขนเสื้อขึ้นพร้อมที่จะอุ้มลูกชะนียักษ์ขึ้นมาสำรวจและตรวจสอบ
"อย่าแตะต้องพวกมัน เจ้ามีกลิ่นของพี่น้องของมันติดตัว พวกมันไม่สามารถแยกแยะของจริงและของปลอมได้ เนื่องจากพวกมันตื่นขึ้นเพียงครึ่งเดียวและพร้อมที่จะโจมตีเจ้า! "
ก่อนที่เจี้ยงเฉินกำลังจะพูดจบ ด่านเฟยกรีดร้องตกใจเพราะชะนียักษ์สองตัวหันหน้าเข้ามาหานางพร้อมกันและตบหน้านาง
ถือว่ายังโชคดีที่นางพอมีฝีมือด้านการฝึกฝนอยู่บ้าง มันเป็นสิ่งที่ดีที่ระดับของการฝึกอบรมของเธอไม่อ่อนแอ หลบไปด้านข้างและหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บ
"ทำไมเจ้าไม่รีบพูดให้เร็วกว่านี้ล่ะ เจี้ยงเฉิน?!" ด่านเฟยบ่นเสียงดังเมื่อได้ยินคำเตือนของเจียงเฉินหลังเหตุการณ์จริง
"ข้ารีบพูดทันทีที่ข้าทำได้ ใครจะรู้ว่าเจ้ามือไวกว่าคำพูดของข้า? เจ้าก็มีชะนียักษ์ถึง 2 ตัวไม่ใช่หรือ? ทำไมเจ้าถึงต้องการชะนียักษ์ของข้าอีกล่ะ? "
ด่านเฟยหัวเราะเบา ๆ ขณะที่ดวงตาที่สวยงามของนางพุ่งเป้าไปมาสองสามครั้ง ในสายตาของนางสามารถมองเห็นได้ถึงเล่ห์เหลี่ยม
"ข้าไม่ได้วางแผนที่จะทำแบบนั้นกับเจ้า,แต่เนื่องจากเจ้าได้เลี้ยงดูชะนียักษ์ของเจ้าเป็นอย่างดี มันเป็นเรื่องยากสำหรับข้าที่จะไม่โลภ"
ใบหน้าของเจี้ยงเฉินถมึงทึงเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ "ลืมมันซะ มันยากสำหรับชะนียักษ์เหล่านี้ที่จะทำความคุ้นเคยกับเจ้านาย ถ้าเจ้าแลกชะนียักษ์กับข้าตอนนี้ นั่นหมายความว่าทุกอย่างที่เราทำมาจนถึงตอนนี้จะเสียเปล่า คงจะเป็นการยากที่จะสร้างความสัมพันธ์กับพวกมันในอนาคต"
เจี้ยงเฉินไม่ได้พูดแกล้งหลอกนางให้ตกใจ การเปลี่ยนเจ้านายของสัตว์วิญญาณเป็นสิ่งต้องห้ามที่ยิ่งใหญ่
ด่านเฟยตอบอย่างฉุนเฉียว "เจี้ยงเฉิน ข้าเป็นคนที่โลภมากขนาดนั้นในสายตาของเจ้าเหรอ? ใครบอกว่าข้าต้องการแลกชะนียักษ์กับเจ้า? ข้ายังคงมีความรู้เล็กน้อยที่ว่าสัตว์วิญญาณจะไม่เปลี่ยนเจ้านายได้อย่างง่ายดาย ข้าแค่อยากจะถามว่าเจ้ามีความลับในการเลี้ยงสัตว์วิญญาณที่เจ้าสามารถแบ่งปันกับข้าได้หรือไม่ "
"ฮ่าฮ่า ดีแล้ว ถ้าเช่นนั้นเราสามารถพูดคุยกันได้ อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้ข้าจำเป็นต้องมีส่วนผสมวิญญาณบางอย่างในการเลี้ยงสัตว์วิญญาณเหล่านี้ ด่านเฟย ท่านอาจารย์มีชื่อเสียง เอาอย่างนี้ไหม" เจี้ยงเฉินหัวเราะเบา ๆ
"เอาล่ะ เจี้ยงเฉิน ! เจ้าถึงกับรวมท่านอาจารย์ในแผนการของเจ้าด้วย! และท่านอาจารย์อุตส่าห์ปกป้องเจ้าตั้งหลายครั้ง! เจ้าหมาป่า! " ดวงตาที่สวยงามของด่านเฟยสะบัดเล็กน้อยขณะที่คิ้วเรียวของนางโค้งขึ้น
แม้ว่านางกำลังแกล้งทำเป็นโกรธ แต่การแสดงออกและเสียงหัวเราะของนางทำให้เว่ยซูฉีรู้สึกตกใจกลัว
ด่านเฟยเป็นคนที่สวยไร้ที่ติ มีจิตวิญญาณบางอย่างและความงดงามในทุกคำพูดและรอยยิ้มของนาง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าผู้ชายและผู้หญิงตกเป็นเหยื่อของเสน่ห์ของนาง
เจี้ยงเฉินหัวเราะอย่างเต็มที่ "ท่านอาจารย์ให้ความสำคัญกับคนหนุ่ม. ข้าแน่ใจว่าเขาจะสนับสนุนข้าอย่างมาก ถ้าข้ารู้สึกอับอายเกี่ยวกับสถานะถุงเงินของข้า "
“ฮึ่ม เจ้าคนกะล่อน เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นคนเดียวที่รู้วิธีการพูดรึ? เอาล่ะ เจี้ยงเฉิน ข้าแน่ใจว่าท่านอาจารย์มีส่วนผสมวิญญาณที่เจ้าต้องการ แต่นิกายพฤกษาสวรรค์นั้นมีมากยิ่งกว่า เราสามารถบอกได้ว่าครึ่งหนึ่งของส่วนผสมวิญญาณในสิบหกอาณาจักรเป็นของนิกาย นิกายเป็นสุสานธรรมชาติของส่วนผสมวิญญาณ สวนโอสถอันมหาศาล ถ้าเจ้าอยากได้ส่วนผสมวิญญาณเพิ่ม เจ้าต้องเข้าร่วมนิกาย"
สายตาที่มีชีวิตชีวาของด่านเฟยมองไปที่เจี้ยงเฉินขณะที่มันส่องประกายด้วยแสงแห่งความจริงจัง
"อะไร? พี่ด่านเฟยได้มาชักชวนให้ข้าเข้าร่วมกับนิกายพฤกษาสวรรค์ในครั้งนี้? " เจี้ยงเฉินหัวเราะเบา ๆ ข้าทำให้เจ้าหงุดหงิดมากจนเจ้าต้องการให้ข้าไปสมทบกับพวกนิกาย เจ้าโง่เหล็กคินจะได้มีโอกาสทรมานข้าได้งั้นรึ?”
"เจี้ยงเฉินหยุดล้อเล่นได้แล้ว ตอนนี้ข้ากำลังพูดอย่างจริงจัง ข้ามาที่นี่เพราะคำสั่งของท่านอาจารย์เพื่อบอกเจ้าบางอย่าง "
เจี้ยงเฉินอ้ำอึ้งเมื่อเห็นว่าด่านเฟยดูเหมือนจะไม่ได้พูดเล่น เขาจำบางสิ่งบางอย่างได้และกล่าวว่า "เรื่องนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการคัดเลือกของสี่นิกายหรือเปล่า?"
"หืมม? เจ้าเคยได้ยินเรื่องนี้ด้วยหรือ? เจ้าได้ยินเรื่องนี้จากที่ไหน? " แววตาของด่านเฟยดูประหลาดใจ คนธรรมดาไม่มีใครมีข้อมูลของข่าวลับสุดยอดนี้ มีเพียงสาวกหลักของนิกายที่จะรู้ได้
"เฮ้ ข้าได้ยินเรื่องนี้มาจากสายลม" เจี้ยงเฉินตระหนักว่าเขาได้เปิดเผยความรู้ของเขาเร็วเกินไป เขาไม่สามารถบอกได้ว่าเขาได้ยินเรื่องนี้จากซูยี่และลั่วหวง
ดีที่ด่านเฟยไม่ได้สงสัยในเรื่องนี้ นางพยักหน้าให้แทน "ตาชั่งวัดของการคัดเลือกในคราวนี้ไม่มีอะไรเทียบเท่าได้ ท่านอาจารย์ไม่เคยรู้สึกพิเศษต่อการคัดเลือกเลย เพราะไม่มีอะไรที่สดใหม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม การเลือกคราวนี้แตกต่างกันมาก ทั้งสี่นิกายต่างทุ่มเทและนำรางวัลอันทรงคุณค่ามาให้แก่ผู้ที่เข้าร่วม ผู้อาวุโสลึกลับบางคนระดับอาณาจักรต้นกำเนิดจะมาปรากฏตัว "
ร่องรอยแห่งความเคารพและชื่นชมอยู่ในน้ำเสียงของด่านเฟยเมื่อนางพูดถึง "ผู้อาวุโสระดับอาณาจักรต้นกำเนิด"
ถึงแม้นางจะมีลักษณะบุคลิกที่ทะนงตัวและสูงส่ง แต่ด่านเฟยยังคงรู้สึกเกรงกลัวเมื่อเผชิญหน้ากับผู้ฝึกฝนที่แท้จริง
มนุษย์ที่บรรลุอาณาจักรต้นกำเนิด ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันหมายถึงจุดสุดยอดของพันธมิตรสิบหกแห่ง
ท่านอาจารย์ยังไปไม่ถึงจุดสูงสุดนั้นเลย
ด่านเฟยมองท่านอาจารย์เป็นเหมือนพระเจ้าของนาง และนางเคารพนับถือผู้ฝึกฝนอาณาจักรต้นกำเนิดอย่างสูงสุด
เจี้ยงเฉินไม่ได้สนใจผู้อาวุโสเหล่านั้น
สิ่งที่เขาสนใจมากที่สุดคือผลตอบแทนที่ทั้งสี่นิกายได้นำออกมาเป็นรางวัลสำหรับอัจฉริยะที่เข้าร่วมในการคัดเลือก
สิ่งที่เจี้ยงเฉินขาดมากที่สุดในตอนนี้คือทรัพยากร ซึ่งเป็นวัตถุที่นิกายมีอยู่อย่างนับไม่ถ้วน
ในทั้งสิบหกอาณาจักร สี่นิกายถือส่วนใหญ่ของทรัพยากรหลัก
"ดูเหมือนว่าข้าไม่ควรพลาดการคัดเลือกในเวลานี้ได้ ข้าควรใช้โอกาสนี้เพื่อกลั่นกรองสิ่งที่ดีบางอย่างออกจากทั้งสี่นิกาย "
แม้ว่าเจี้ยงเฉินรู้สึกหงุดหงิดกับเหล่าสาวกของนิกาย แต่เขาก็สามารถเก็บอคติเหล่านี้ไว้เพื่อโอกาสที่จะได้ทรัพยากรที่พวกเขาควบคุม
เขาต้องใช้ประโยชน์จากการคัดเลือกในการเข้าสู่นิกายและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรของพวกเขา!