หน้าแรก > War Sovereign Soaring The Heavens
บทที่ 153 อาคมจารึก กร่อนกระดูก

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

*ตั้งค่าถาวร (คลิกตั้งค่าถาวร)

เป็นอีกบ่าย...ที่ต้วนหลิงเทียนนอนหลับยาวอย่างเกียจคร้าน เขาตื่นขึ้นมาเมื่อถึงเวลา...แน่นอนว่าเป็นสหายปลุกอีกตามเคย และวันนี้เขาก็เดินกลับพร้อมกับเซี่ยวหยูและเซี่ยวฉวิน

และหลังจากที่แยกจากทั้ง 2 คนได้ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็เหมือนจะสังเกตเห็นบางสิ่งที่หางตา ดวงตาเฉื่อยชาของเขาพลันเรืองวูบขึ้นมาด้วยประกายวาวโรจน์ ปากเขาเริ่มฉีกกว้างแสยะยิ้มออกมา ต้วนหลิงเทียนยักไหล่ของเขาออกมาเล็กน้อย ก่อนที่จะหันเดินไปคนละทางที่จะใช้กลับบ้าน... เขามุ่งหน้าไปยังตรอกที่เปลี่ยวร้างและเงียบสงบตรอกหนึ่ง

ฟุ่บ!ฟุ่บ!

แทบจะในพริบตาที่ต้วนหลิงเทียนเดินเข้าตรอก 2 ร่างพลันกระพริบวูบไหวออกมาปิดทางเข้าทั้งด้านหน้าและด้างหลังอย่างรวดเร็ว ราวกับพวกมันไม่อยากจะเสียเวลามากไปกว่านี้

"ตั้งแต่เมื่อไหร่กันเล่า ที่คนของตระกูลต้วนสาขาหลัก ผันตัวไปเป็นสุนัขรับใช้ของคนจากตระกูลต้วนสาขาเช่นนี้?" ต้วนหลิงเทียนพลันหรี่ตาลงเล็กน้อยในขณะที่กล่าวคำเย้ยหยันออกมา ใบหน้าของเขาไม่มีเค้าลางแห่งความกลัวแม้แต่เศษธุลี

นี่เพราะต้วนหลิงเทียนสัมผัสได้ตั้งแต่ตอนเดินออกจากสถาบันแล้ว ว่ามีสายตามุ่งร้ายกำลังจับจ้องมาที่เขาจากระยะไกลๆ และเขาก็ปรายตามองผ่านๆอย่างรวดเร็วโดยไม่ให้มีพิรุธก่อนที่จะสังเกตเห็นต้วนหรงที่แอบสังเกตการณ์เขาอยู่ในมุมแห่งหนึ่งไม่ไกลจากสถาบันสักเท่าไร

ทั้งนอกจากต้วนหรงแล้ว ยังมีชาย 2 คนที่ยืนอยู่กับมันอีกด้วย และหลังจากอาศัยความทรงจำของจักรพรรดิกลับชาติมาเกิด และประสบการณ์ในการย้อนรอยการสะกดรอยที่เขาฝึกฝนอย่างช่ำชองในสมัยที่ยังเป็นผู้เชี่ยวชาญอาวุธทุกชนิดในชีวิตก่อนหน้าของเขา อีกทั้งยังมีพลังวิญญาณของเขาที่ตอนนี้มันยกระดับไปจนเทียบเคียงผู้ฝึกยุทธ์ระดับวิญญาณแรกก่อตั้ง ทำให้เข้าใช้ระยะเวลาเพียงสั้นๆเท่านั้น ก็สามารถระบุตัวตนของคน 2 คนที่ติดตามเขามาได้ และพวกมันก็มีระดับบ่มเพาะอย่างน้อยที่สุด อยู่ที่ ระดับกำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 7

ใบหน้าของชายวัยกลางคนทั้งสองเริ่มเคร่งเครียดขึ้นมาทันทีหลังจากได้ยินวาจาเย้ยหยันของต้วนหลิงเทียน พวกเขาไม่คิดไม่ฝันเลยว่าชายหนุ่มตรงหน้าจะกล่าวแฉความเป็นมาของพวกเขาได้อย่างแม่นยำในเสี้ยวพริบตาเช่นนี้

สังหรณ์อัปมงคลประการหนึ่ง เริ่มก่อเกิดขึ้นในหัวใจของพวกเขา ...เหตุใดในสถานการณ์ที่ล่อแหลมขนาดนี้ ชายหนุ่มตรงหน้ายังคงสงบนิ่งและเยือกเย็นได้ถึงเพียงนี้ ?... “เป็นไปได้หรือไม่ที่มันมีผู้ติดตามที่สามารถพึ่งพาได้? หรือยามนี้เองก็ยังมีตัวตนทรงพลังคุ้มครองมันอยู่กัน”

ชายวัยกลางคนทั้งสองเริ่มทำการตรวจสอบสภาพแวดล้อมอย่างละเอียดอยู่ครู่หนึ่ง ตามข้อมูลที่พวกเขาได้รับรู้มา ชายหนุ่มตรงหน้านั้นมีผู้คุ้มกันเพียงคนเดียว และผู้คุ้มกันของมันก็เป็นเพียงผู้ฝึกยุทธ์ระดับกำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 7 เท่านั้น และยิ่งไปกว่านั้นดูเหมือนว่าผู้ฝึกยุทธ์ระดับกำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 7 คนนั้นจะไม่ได้อยู่ข้างมันเพื่อคุ้มครองเสียด้วยในเวลานี้

และหลังจากที่ทั้งสองสำรวจรอบๆ อย่างละเอียดและไม่พบว่ามีใครอยู่ พวกมันก็เริ่มถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

"คนของตระกูลต้วนขี้ขลาดเช่นนี้หมดเลยหรือไม่?" ร้อยยิ้มเย้ยหยันของหลิงเทียนฉีกกว้างขึ้น ทั้งน้ำเสียงของเขาที่กล่าวออกมาก็ดูแคลนอีกฝ่ายอย่างถึงขีดสุด

“เด็กน้อย หากเจ้าจะตำหนิใครสักคน ก็ให้ตำหนิตัวเจ้าเองเถิด ที่ไปล่วงเกินผู้คนที่เจ้าไม่สมควรไปล่วงเกินตั้งแต่แรก” ชายวัยกลางคนที่อยู่ด้านหลังของเขากล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงแหบต่ำ สายตาของมันเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา หลังจากที่มันกล่าวจบคำ มันก็หันไปพยักหน้ากับชายวัยกลางคนที่อยู่ด้านหนาของเขา

ฟุ่บ! ฟุ่บ!

และแทบจะเป็นเวลาเดียวกันร่างของชายวัยกลางคนทั้งสองก็วูบไหวเล็กน้อย ก่อนที่พวกมันจะพุ่งมาอย่างรวดเร็วราวกับมีประกายอัสนี 2 สายพุ่งมาหมายบีบอัดต้วนหลิงเทียน เหนือศีรษะของพวกมันฉายเงาร่างช้างแมมมอธโบราณออกมา 120 ตัว ...

"ผู้ฝึกยุทธ์ระดับกำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 9? คาดไม่ถึงจริงๆว่าต้วนหรูเล่ย จะประเมินค่า ข้าไว้สูงถึงเพียงนี้!" แม้จะเผชิญหน้ากับการโจมตีผสานงานปิดล้อมทั้งด้านหน้าและด้านหลังของผู้ฝึกยุทธ์ระดับกำเนิดแก่นแท้ระดับ 9 ถึง 2 คน แต่ต้วนหหลิงเทียนดูเหมือนจะไม่กังวลแม้แต่น้อย เขายังคงสงบนิ่งไม่ไหวติงอยู่ที่เดิม แม้แต่น้ำเสียงของเขาเองก็สงบราบเรียบอย่างมาก

แม้จะเป็นตัวชายวัยกลางคนทั้ง 2 คนเองก็รู้สึกไม่ชอบมาพากลอยู่ไม่น้อย แต่ตอนนี้พวกเขาก็ไม่อาจถอยกลับได้แล้ว!

"ตาย!" ดวงตาของพวกเขาเรืองวูบออกมาด้วยประกายฆ่าฟัน พร้อมฝ่ามือที่เต็มไปด้วยพลังงานก่อกำเนิดมหาศาลแผ่ปะทุออกมาอย่างเกรี้ยวกราด ฟาดลงมายังต้วนหลิงเทียน

"ในตอนแรก เพื่อเห็นแก่บิดาที่ตกตายไปแล้วของข้า ตัวข้าเองก็ไม่ได้คิดที่จะเป็นศัตรูกับทุกคนของตระกูลต้วน แต่ในเมื่อพวกเจ้า 2 คนกล้าที่จะ ถือเทียนให้พญามาร1 เช่นนั้นก็ลงนรกไปเสีย!" ในช่วงวินาทีเป็นตายนี้คำพูดของต้วนหลิงเทียนดูเหมือนจะเร็วขึ้นเล็กน้อย! และเมื่อกล่าวจบเขาพลันยกมือขึ้นมา

(1 ถือเทียนให้พญามาร ประมาณว่า เลือกข้าง,ช่วยเหลือ,ให้กำลังใจ ผิดฝ่าย)

ฟุ่บ!

ลำแสงสีดำทมิฬกระพริบวูบวาบออกมาจากแขนเสื้อของเขาและเคลื่อนไหวคล้ายประกายแสงราวกับว่ามันเป็นประกายแสงสะท้อนจากคมเคียวยมทูตที่มาเก็บเกี่ยวดวงวิญญาณอย่างไรอย่างนั้น

วิชาท่าร่างวิญญาณอสรพิษเคลื่อนกาย!

และในเวลาเดียวกันนั้นเองขาต้วนหลิงเทียนพลันขยับวูบไหวอย่างทันทีทันใด พุ่งตัวออกไปด้านข้างด้วยความปราดเปรียว

ปัง!

และในพริบตาเดียวกับที่ต้วนหลิงเทียนขยับร่าง ประกายแสงสีดำนั้นก็ทะลวงกลางทรวงอกฉีกกระชากหัวใจของพวกมันจนเป็นรูระบายอากาศแทบจะพร้อมเพรียงกัน... พลังงานต้นกำเนิดที่พวกมันทั้งคู่ควบรวมเอาไว้พลันสลายหายไป ร่างไร้วิญญาณของพวกมันเคลื่อนที่ตามแรงเฉื่อนจากการพุ่งตัว จนมาปะทะกันตรงกลางก่อนที่จะล้มลงไปราวหุ่นกระบอกไร้สาย

ฟุ่บ!

ลำแสงอัสนีบาตทมิฬสายนั้นพรันวูบวาบมาหยุดอยู่บนไหล่ของต้วนหลิงเทียน

ฟ่อฟ่อ ~ อสรพิษสีดำตัวน้อยผงกหัวขึ้นมาพร้อมจ้องมองต้วนหลิงเทียนด้วยดวงตาใสแจ๋ว ก่อนที่มันจะเลียแก้มของต้วนหลิวเทียนราวกับรอคำชมเชย

ต้วนหลิงเทียนก้มลงก่อนที่จะค้นซากศพทั้งสอง อยู่ครู่หนึ่ง

"อะไร! ยากจนยิ่งนัก พวกมันมีเงินรวมกันเพียง 500,000 เหรียญเงินเท่านั้น เฮ่อ...ช่างเถอะถึงยุงมันจะเนื้อน้อยขนาดไหน แต่ก็ยังนับว่ามีเนื้อ" หลังจากเก็บเงินไว้ในแหวนมิติแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็คว้าร่างงูตัวน้อยสีดำบนไหล่มาไว้ในฝ่ามือ ก่อนที่จะกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มบางๆว่า "เฮ่ เจ้าตัวน้อย เจ้าทำได้ยอดเยี่ยมไม่เบานี่ เช่นนี้เป็นไร ข้าจะให้รางวัลสำหรับผลงานนี้ของเจ้า หลังจากพวกเรากลับถึงบ้านดีหรือไม่?"

อสรพิษสีดำตัวน้อยจ้องมองต้วนหลิงเทียนด้วยแววตากระจ่างใส ดูเหมือนว่ามันจะเข้าใจว่าต้วนหลิงเทียนกล่าวคำอะไร มันรีบผงกหัวตอบรับเบาๆ ก่อนที่ร่างกายของมันจะเลื้อยไปมาด้วยความดีใจอย่างมาก

‘อย่างที่คิดไว้ไม่ผิด ... สัตว์อสูรระดับวิญญาณแรกก่อตั้งนั้นสามารถเข้าใจคำกล่าวของมนุษย์ได้ไม่น้อย แต่อย่างไรก็ตาม เสี่ยวเฮยกับเสี่ยวไป๋ พึ่งจะตัดผ่านมายังระดับวิญญาณแรกก่อตั้งเท่านั้น เช่นนี้คงต้องมีการฝึกฝนสอนสั่งกันเสียหน่อย พวกมันจะได้เข้าใจภาษาของมนุษย์ได้อย่างสมบูรณ์’ ต้วนหลิงเทียนคิดขึ้นมาในขณะที่เขาเดินวนไปวนมาอยู่หลายรอบเพื่อให้มั่นใจว่าไร้ผู้ติดตามแล้ว จึงเดินทางกลับบ้านของเขา

....

ภายในลานบ้านของบ้านเดี่ยวพร้อมลานกว้างหลังหนึ่ง ต้วนหรงกำลังนั่งเหยียดขาเอนหลังอยู่บนตั่งตัวหนึ่ง ดูเหมือนเขาจะเพลิดเพลินกับการบีบนวดของสาวใช้ไม่น้อย เขากัดแอปเปิลที่อยู่ในมือคำเล็กๆก่อนที่จะเคี้ยวไปพร้อมแย้มยิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดี

แค่เพียงเขาคิดว่า ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปเขาจะไม่ต้องเห็นหน้าชายหนุ่มที่สวมชุดสีม่วงนั่น เขาก็อดไม่ได้ที่จะบังเกิดความรู้สึกมีความสุขท่วมท้นออกมาจากหัวใจ

“ด้วยการลงมือของข้านายน้อยเช่นนี้ แม้กระทั่งยามที่เจ้ากำลังจะตาย เจ้าคงยังไม่รู้ตัวเสียด้วยซ้ำ ว่าใครเป็นคนส่งพวกเขาไปเอาชีวิตเจ้าใช่หรือไม่?” ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไร ภายในใจของต้วนหรงก็ทะลักออกมาด้วยความสุขมากเท่านั้น

ทว่าน่าเสียดายที่เขาไม่อาจมีความสุขอยู่ได้นานนัก ... เพราะค่ำคืนนั้นมีแขกที่คาดไม่ถึงปรากฏตัวขึ้นที่บ้านเดี่ยวพร้อมลานกว้างของเขา

ต้วนหลิงซิ่ง!

"ท่านพี่ ท่านมาที่นี่มีอะไรเร่งด่วนงั้นหรือ?" ต้วนหรงนั้นประหลาดใจไม่น้อยเมื่อเห็นว่าผู้ที่มาเป็นต้วนหลิงซิ่ง แต่จะอย่างไรประกายตาของเขายังคงเต็มไปด้วยความสุขและปากเองก็ยังแย้มยิ้มออกมาไม่หุบ

"แลดูเจ้าจะมีความสุขมากมายเสียเหลือเกิน" ต้วนหลิงซิ่งค่อยๆกล่าวออกมา

"เรื่องนี้ย่อมแน่นอน แค่เพียงข้าคิดว่าจะไม่ได้เห็นหน้าไอเด็กบัดซบจอมโอหังนั่น หัวใจของข้าก็รู้สึกยินดีอย่างยิ่ง ว่าแต่ท่านพี่ แล้วเหตุใดท่านมาเอาเสียดึกดื่นป่านนี้เล่า มีอะไรที่ท่านต้องการให้ข้าช่วยหรือไม่" เนื่องจากแสงไฟนั้นมันสลัวๆไม่ได้กระจ่างสักเท่าไร ทำให้ต้วนหรงไม่ได้สังเกตเห็นสีหน้าที่เริ่มจะเดือดดาลของต้วนหลิงซิ่ง

ต้วนหลิงซิ่งจับจ้องมายังต้วนหรงก่อนที่จะกล่าวคำออกมาอย่างช้าๆ "ข้าเกรงว่าเจ้าคงไม่อาจมีความสุขกับเรื่องนี้ได้อีกต่อไป"

"ท่านพี่ ท่านกล่าวเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรกัน?" เมื่อต้วนหรวงสัมผัสได้ว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล ศีรษะของเขาก็สั่นไหวเล็กน้อย รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาพลันแข็งค้างไปทันที

เกิดเรื่องผิดพลาดอะไรขึ้นหรือไม่? มันไม่สมควรจะมีนี่!

วันนี้เขาเห็นว่าชายหนุ่มในชุดสีม่วงนั่นเดินออกจากสถาบันบ่มเพาะขุนพลไปกับสหาย 2 คน หลังจากนั้นมันก็แยกกลับไปตัวคนเดียว และถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวก็ตาม แต่ชายสวมหน้ากากข้างๆตัวมันนั้นก็เป็นเพียงผู้ฝึกยุทธ์ระดับกำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 7 เท่านั้น ภายใต้การร่วมมือประสานจู่โจมของผู้ฝึกยุทธ์ระดับกำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 9 ถึง 2 คน พวกมันคงต้องตกตายอย่างไม่ต้องสงสัย...

“ผู้ฝึกยุทธ์ระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 9 ที่บิดาของข้าส่งไปทำงานให้เจ้า ไม่ได้กลับมารายงานผลการลงมือกับบิดาของข้าที่เขตที่พักของตระกูลต้วนในตอนเย็น เมื่อมันดึกดื่นมืดค่ำจนผิดวิสัย บิดาของข้าจึงส่งคนออกไปค้นหาอยู่พักหนึ่ง ...แต่ผู้ใดจะไปคาดคิดกันเล่าว่าพวกเขาจะกลับกลายเป็นศพ และถูกพบอยู่ใกล้ๆสถาบันบ่มเพาะขุนพล ?!” สีหน้าของต้วนหลิงซิ่งแปรเปลี่ยนเป็นครึ้มลงทันใด “ไอบัดซบตัวใดที่เจ้าไปมีเรื่องด้วย กันแน่!”

"ไม่จริงน่า ... เป็นไปไม่ได้!" ต้วนหรงรีบส่ายหัวไปมาด้วยสีหน้าที่ไม่อยากจะเชื่อ เขาไม่เต็มใจที่จะเชื่อว่าเรื่องนี้เป็นความจริง

คิ้วของต้วนหลิงซิ่งขมวดเป็นปมก่อนที่เขาจะกล่าวถามออกมาด้วยความหงุดหงิดว่า "เจ้าไม่ได้กล่าวเองหรอกหรือ ว่าผู้คุ้มกันข้างกายมัน มีระดับบ่มเพาะเพียงระดับกำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 7 เท่านั้น?"

"ข้า ... ข้าไม่รู้แต่ยามนั้นผู้ฝึกยุทธ์ข้างกายมันมีระดับบ่มเพาะแค่เพียงระดับกำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 7 เท่านั้น แล้วเรื่องนี้ผู้อาวุโส 8 ของตระกูลสาขาเองก็เห็นมันด้วยสองตาเช่นกัน" ต้วนหรงหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น

“ฮึ่ม ดูเหมือนว่าพื้นหลังของศัตรูเจ้าจะหาได้ง่ายดายดั่งที่เจ้ากล่าวไม่ ผู้ฝึกยุทธ์ระดับกำเนิดแก่นแท้ที่บิดาของข้าส่งออกไปทำงานนี้ให้กับเจ้า พวกมันตกตายด้วยการลงมือจู่โจมเพียงกระบวนท่าเดียวเท่านั้น หัวใจของพวกมันถูกคว้านออกด้วยอาวุธมีคมอะไรสักอย่าง ผู้ที่ลงมือสังหารพวกมันนับว่ากระทำได้อย่างรวดเร็วและเฉียบขาด ฝีมือระดับนี้...มันมีเพียงผู้ฝึกยุทธ์ระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขึ้นไปเท่านั้นที่สามารถกระทำได้เด็ดขาดเช่นนี้! กล่าวง่ายๆ คนที่เจ้าต้องการให้มันตาย มันมีผู้ฝึกยุทธ์ระดับวิญญาณแรกก่อตั้งคอยคุ้มครองอยู่!”

ต้วนหลิงซิ่งจ้องไปยังต้วนหรงด้วยสายตาเย็นชาก่อนที่จะกล่าวออกมาอีกครั้ง "เจ้าไม่ควรแหวกหญ้าให้งูตื่น เพราะว่าหากมันล่วงรู้ว่าผู้ใดเป็นคนลงมือปองร้ายมันแล้วล่ะก็...ยามนั้นชีวิตของเจ้ากำลังตกอยู่ในอันตรายใหญ่หลวง!"

ความหวาดกลัวเริ่มฉายชัดออกมาเต็มใบหน้าของต้วนหรง หลังจากที่เขาได้ยินคำกล่าวของต้วนหลิงซิ่ง เขาไม่คิดเลยว่าชายหนุ่มชุดสีม่วงคนนั้นจะมีผู้ฝึกยุทธ์ระดับวิญญาณแรกก่อตั้งคอยคุ้มครองอยู่ข้างกายเช่นนี้!

เพราะจะอย่างไร ทุกๆตระกูลสาขานั้น จะมีเพียงผู้อาวุโสสูงสุดเท่านั้นที่มีระดับบ่มเพาะสูงถึงระดับวิญญาณแรกก่อตั้ง และแม้แต่จะเป็นตระกูลต้วนสาขาจากที่เขาจากมา ก็มีผู้อาวุโสที่มีระดับวิญญาณแรกก่อตั้งแค่ 2 คนเท่านั้น ...

“ท่านพี่ ไม่ทราบว่าท่านลุงคิดจะจัดการเรื่องนี้อย่างไรหรือ? ข้ารู้สึกกังวลว่าชายหนุ่มชุดสีม่วงนั้นมันต้องล่วงรู้แน่ว่าเป็นข้าที่ร้องขอให้ท่านลุงส่งคนไปจัดการมัน ข้าขอติดตามท่าน ไปพักยังเขตที่พักของตระกูลต้วนสักพักหนึ่งได้หรือไม่?” น้ำเสียงของต้วนหรงยามกล่าวออกมานั้นสั่นอย่างเห็นได้ชัด ยามนี้ความหวาดกลัวเริ่มคืบคลานเป็นเงาอยู่ใจของมันแล้ว

"ไม่ต้องกังวล ไม่ว่ามันจะเป็นใครก็ตาม หากมันกล้าสังหารคนของตระกูลต้วนเช่นนี้ มันต้องตกตายอย่างแน่นอน!" ประกายตาของต้วนหลิงซิ่งเรืองวูบออกมาด้วยความหนาวเหน็บ

ต้วนหรง พอได้ถอนหายใจด้วยความโล่งอกออกมาหน่อย หลังจากได้ยินคำกล่าวรับรองของต้วนหลิงซิ่ง

"เอาล่ะ ช่วงนี้เจ้าเองก็สำรวมไว้บ้าง อย่าพึ่งไปก่อปัญหาอันใดเพิ่มเติมให้ข้าอีก เข้าใจหรือไม่!?" ต้วนหลิงซิ่งจ้องไปยังต้วนหรงด้วยประกายตาคมกล้าก่อนที่จะกล่าวกำชับออกมาอย่างจริงจัง ทำให้ต้วนหรงรีบพยักหน้าตอบรับอย่างหวาดกลัวในทันที มันไม่กล้าลังเลหรือชักช้าแม้แต่น้อย

....

ภายในห้องของเขา ต้วนหลิงเทียนได้ตรวจสอบรายการวัตถุดิบที่สั่งให้ฉงเฉวียนไปหาซื้อและรวบรวมมาในวันนี้ทันที เมื่อตรวจสอบเสร็จ คิ้วของเขาพลันโค้งขึ้นเล็กน้อย “ข้าไม่คิดเลยว่าฉงเฉวียนจะรวบรวมหาซื้อวัตถุดิบมาให้ข้าได้มากกว่าครึ่งของจำนวนทั้งหมดที่ข้าต้องการเช่นนี้ภายในเวลาแค่เพียงวันเดียวเท่านั้น...อืม...หากมีมากขนาดนี้ก็เพียงพอให้จารึกอาคมได้ สองชิ้นแล้ว”

ต้วนหลิงเทียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วก็เอื้อมมือไปหยิบกระบี่อ่อนดาราม่วงขึ้นมา อีกทั้งเขายังหยิบเอาแหวนมิติออกมาจากมืออีกด้วย

อาคมจารึกสายโจมตี ที่เขาวางแผนว่าจะจารึกคราวนี้ มีชื่อว่า อาคมกร่อนกระดูก

เมื่อได้รับการกระตุ้นแล้ว อาคมกร่อนกระดูก จะพวยพุ่งปลดปล่อยคลื่นพลังกร่อนกระดูกออกมาอย่างรวดเร็ว หากไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ในระดับวิญญาณก่อตั้งขั้นที่ 9 ครึ่งก้าวสู่ระดับแรกสัมผัสธรรมชาติขั้นที่ 1 แล้วล่ะก็ ไม่มีหวังที่จะป้องกันหรือรอดพ้นไปจากคลื่นพลังกร่อนกระดูกนี้ได้เลย...และเมื่อถูกคลื่นพลังกร่อนกระดูกโจมตีแล้ว กระดูกทั่วทั้งร่างของผู้ที่ถูกจู่โจมจะค่อยๆถูกกัดกร่อนจนสลายเป็นเศษธุลี โดยที่เนื้อหนังนั้นจะไม่เป็นอะไรแม้แต่น้อย

ตกตายอย่างสิ้นเชิง!

ถึงแม้ว่าคนที่ถูกอาคมกร่อนกระดูกจะตกตายแทบจะในทันที แต่ในห้วงเวลาสั้นๆก่อนที่มันจะตกตายนั้น พวกมันจะต้องทนทุกข์ทรมานกับอาการเจ็บปวดที่ราวกับถูกมีดขูดผสานไปกับการบดขยี้กระดูกทีละน้อยๆ จนจับขั้วหัวใจ... มันเป็นความเจ็บปวดที่คนปกติไม่อาจจะจินตนาการได้!

เมื่อเวลาล่วงเลยไปจนดึกดื่นค่อนคืน ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็จารึกอาคมกร่อนกระดูกทั้งสองจารึกเสร็จสิ้นเสียที โดยเขาจารึกมันไว้ที่กระบี่อ่อนดารามวงและก็แหวนมิติ ทั้งอาคมจารึกนี้ยังจัดว่าเป็นอาคมจารึกที่ระดับสูง นอกจากมันจะสามารถจารึกไว้ที่แหวนมิติได้แล้ว มันยังสามารถใช้งานร่วมกันกับอาคมจารึกจันทร์เสี้ยวโลหิตได้อีกด้วย นั่นเท่ากับว่ายามนี้กระบี่อ่อนดาราม่วงของเขาสามารถเลือกที่จะใช้งานอาคมจารึกได้ถึง 2 อาคมเพื่อความเหมาะสม

หลังจากที่เสร็จสินการจารึกอาคม 2 ชุด ความตึงเครียดที่เกิดจากการใช้พลังวิญญาณอย่างหนักก็เล่นงานหลิงเทียนทันที เมื่อถูกความเหนื่อยล้าถาโถมเข้ามาราวกับระลอกคลื่นในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็ผล็อยหลับไป

เมื่อตื่นขึ้นมาตอนรุ่งเช้า อาการของเขาก็ยังคงไม่ค่อยสมบูรณ์พร้อมสักเท่าไร เขายังคงมีความเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัด ทั้งสีหน้าของเขาก็ดูซีดไปไม่น้อย

"ลูกเทียน เจ้าไม่สบายหรือ?" ความกังวลใจฉายชัดออกมาเต็มใบหน้าของลี่หลัว เมื่อเห็นสีหน้าของลูกชายไม่ค่อยสู้ดีสักเท่าไร

"ตัวเลวร้าย เมื่อคืนเจ้าทำอะไร?"

"นั่นสิเจ้าคะนายน้อย ทำไมสีหน้าท่านซีดเช่นนี้ล่ะเจ้าคะ?"

ใบหน้าของลี่เฟยและเค่อเอ๋อเต็มไปด้วยความห่วงใยและกังวลดูเหมือนหัวใจของพวกนางจะเจ็บปวดไม่น้อยที่เห็นเขาอาการไม่สู้ดีเช่นนี้

"ไม่มีอะไรทีต้องกังวล ข้าเพียงเหนื่อยเพราะคึกคะนองไปจารึกอาคมรวดเดียว 2 จารึกเท่านั้น... พวกเจ้าไม่ต้องห่วง วันนี้เมื่อข้ากลับมาจากสถาบัน ข้าก็ฟื้นตัวเต็มที่แล้วล่ะ" ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวออกมาพร้อมรอยยิ้ม หลังจากนั้นเมื่อกินอาหารเช้าเสร็จ เขาก็ออกเดินทางไปยังสถาบันบ่มเพาะขุนพลทันที

Copyright © 2019 spoilsoc.com All rights reserved.