spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
*ตั้งค่าถาวร (คลิกตั้งค่าถาวร) |
"ฉงเฉวียน!" หลังจากที่เรียกฉงเฉวียนมาพบที่ล้านด้านหน้า ต้วนหลิงเทียนก็หยิบพู่กันกับกระดาษออกมา ก่อนที่จะเริ่มเขียนรายการวัตถุดิบที่มีจำนวนไม่น้อยลงในกระดาษ
"เอาล่ะ เจ้าไปรวบรวมวัตถุดิบในรายการนี้ให้ข้าโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ส่วนนี่เงิน 10,000,000 เหรียญเงิน รับไป" ในขณะเดียวกันกับที่ส่งใบรายการวัตถุดิบไปให้ฉงเฉวียน ต้วนหลิงเทียนก็หยิบเงินทั้งหมดที่อยู่ภายในแหวนมิติของเขาทั้งสิ้นถึง 10,000,000 เหรียญเงิน และมอบให้ฉงเฉวียน
"ขอรับนายน้อย" ฉงเฉวียนกล่าวตอบอย่างสุภาพ แล้วเขาก็ออกจากบ้านไปทันที ...ทางด้านต้วนหลิงเทียนหลังจากสั่งงานฉงเฉวียนแล้ว ตัวเขาก็ออกเดินทางไปยังสถาบันบ่มเพาะขุนพล
เมื่อต้วนหลิงเทียนเดินทางมาถึงห้องเรียนของ ใยดาวกุนซือ เขาก็เห็นว่าตอนนี้เซี่ยวหยูและเซี่ยวฉวินนั่งรออยู่ในห้องแล้ว "เฮ่ พวกเจ้า 2 คนช่างมาถึงเร็วนัก... "
เนื่องจากชั้นเรียนยังไม่เริ่มขึ้น ทั้ง 3 คนจึงกล่าวสนทนากระซิบกระซาบกันเรื่อยเปื่อย
ดวงตาของต้วนหลิงเทียนทอประกายขึ้นมาเล็กน้อยก่อนที่จะจ้องไปยังเซี่ยวฉวินแล้วกล่าวถามออกมา "จริงสิเซี่ยวฉวิน เจ้าเองก็เป็นศิษย์อัจฉริยะของตระกูลเซี่ยวแหง่เมืองหลวง เจ้าทราบหรือไม่ว่าระดับบ่มเพาะ ที่เรียกกันว่า ระดับ ธรรมชาติที่ผู้คนในเมืองหลวงของอาณาจักรนภาล่องแห่งนี้กล่าวถึง มันหมายความว่าอย่างไรกันแน่? เพราะจากสิ่งที่ข้าได้รับรู้มาผู้ฝึกยุทธ์ระดับธรรมชาติที่พวกเจ้าเรียกกันนั้น ไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ระดับธรรมชาติแม้แต่น้อย แต่สมควรเรียกว่า ครึ่งก้าวธรรมชาติเสียมากกว่า เพราะพวกเขานั้นยังนับว่าเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่มีระดับบ่มเพาะเพียง ระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 9 เท่านั้น "
เซี่ยวฉวินส่ายหัวออกมาก่อนที่จะยิ้ม "เจ้ากล่าวถามได้ถูกคนแล้ว คนอื่นนั้นอาจจะไม่รู้คำตอบของคำถามเจ้า แต่ข้ารู้ ... อันที่จริงแล้วในอาณาจักรนภาล่องแห่งนี้ ตัวตนที่เรียกว่า ผู้ฝึกยุทธ์ระดับธรรมชาตินั้น ส่วนมากจะแตกต่างจากผู้ฝึกยุทธ์ระดับธรรมชาติของจริงที่ร่ำลือกันว่าสามารถควบคุมและเข้าใจวิถีแห่งธรรมชาติจนสามารถเหาะเหินเดินอากาศได้"
"18 ผู้ว่าการมณฑลของอาณาจักรนภาล่อง หัวหน้าองค์รักษ์คุ้มกันของกลุ่มการค้าทั้ง 3 ที่กระจายกันอยู่ในแต่ละพื้นที่ รวมทั้งตัวตนผู้ฝึกยุทธ์ระดับธรรมชาติของตระกูลเซี่ยวของข้าด้วย ... พวกเขาทั้งหมดนั้นล้วนเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 9 หรือกล่าวได้ว่ามันเป็นดั่งคำกล่าวของเจ้าที่เรียกว่า ครึ่งก้าวระดับธรรมชาติไม่ผิดเพี้ยน...พวกเขาทำได้เพียงลอยตัวอยู่ในอากาศแค่ช่วงสั้นๆเท่านั้นยังไม่อาจเหินบินได้อย่างอิสระ" เซี่ยวฉวินค่อยๆกล่าวออกมา
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า มันเป็นดั่งที่เขาคิดเอาไว้ไม่มีผิด พระยานี่เหวี่ยนั้นยังเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ในระดับขั้นนี้ ...
"แล้วมีผู้ฝึกยุทธ์ที่มีระดับธรรมชาติที่สามารถควบคุมอากาศจนเหินบินได้อยู่ภายในอาณาจักรนภาล่องแห่งนี้หรือไม่?" ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนพลันนึกถึงชายชราที่เป็นเจ้าพระยาของจวนเจ้าพระยาทันที
แม้ว่าชายชราคนนั้นจะได้รับพิษจากพังพอนทมิฬไร้ลักษณ์ จนพลังงานต้นกำเนิดของเขาถูกสะกดเอาไว้ แต่เขาน่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับธรรมชาติที่คนในอาณาจักรนี้เข้าใจ หรือหากกล่าวให้ชัดเขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับ แรกสัมผัสธรรมชาติเท่านั้น...
"แน่นอนว่าย่อมมี" เซี่ยวฉวินพยักหน้า และกกล่าวออกมาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเคารพ "ตามข่าวลือแล้วมีอยู่ถึง 3 คนที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับธรรมชาติที่แท้จริงแห่งอาณาจักรนภาล่องแห่งนี้ คนหนึ่งนั้นอยู่ในตระกูลราชวงศ์ อีกคนนั้นอยู่ที่จวนเจ้าพระยาเรืองฤทธิ์ และอีกคนนั้นอยู่ที่องค์กร เงายมทูต"
เงายมทูต?
ต้วนหลิงเทียนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ตัวเขาก็คิดว่าไม่ได้แปลกอะไรที่ตระกูลราชวงศ์จะมีผู้ฝึกยุทธ์ระดับแรกสัมผัสธรรมชาติ เพราะจะอย่างไรก็เป็นตระกูลที่มีอำนาจถึงขั้นครอบครองอาณาจักร! แต่องค์กรเงายมทูตที่เป็นองค์กรนักฆ่า กลับมีผู้ฝึกยุทธ์ระดับแรกสัมผัสธรรมชาติเป็นผู้บงการเช่นนี้?
หลังจากที่เซี่ยวฉวินอธิบายจบ เขาก็กล่าวเสริมออกมาอีกว่า "เอาล่ะ เช่นนี้พวกเจ้าทั้ง 2 ก็รู้แล้ว แต่อย่าได้ไปบอกกล่าวกับผู้อื่นเชียว ...นี่เป็นความลับที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับอาจักรของพวกเรา ข้าเองถ้าไม่ไปก่อกวนรบเร้าท่านปู่มาแล้วล่ะก็ ท่านคงไม่บอกกล่าวแก่ข้าหรอก "
ต้วนหลิงเทียนและเซี่ยวหยูเองก็พยักหน้ารับอย่างเข้าใจ
"จะมีกี่คนกันที่รู้ว่าผู้ฝึกยุทธ์ระดับธรรมชาติที่พวกมันเข้าใจ และแพร่กระจายไปทั่วอยู่ด้านนอก แท้จริงแล้วยังเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับวิญญาณแรกก่อตั้ง ครึ่งก้าวธรรมชาติเท่านั้น!" เซี่ยวฉวินถอนหายใจออกมาเบาๆ
หลังจากที่สนทนาครั้งนี้ ต้วนหลิงเทียนเองก็เริ่มเข้าใจโครงสร้าง และการกระจายอำนาจภายในของอาณาจักรนภาล่อง
ในอาณาจักรนภาล่องแห่ง ผู้ฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดคือคนของราชวงศ์!ผู้ฝึกยุทธ์ทรงพลังที่อยู่ในระดับธรรมชาติของราชวงศ์นั้นได้รับการกล่าวขานว่าแข็งแกร่งที่สุด ...แม้กระทั่งผู้ฝึกยุทธ์ระดับธรรมชาติของจวนเจ้าพระยาเรืองฤทธิ์และหน่วยเงายมทูตก็ด้อยกว่า ดังนั้นหมายความว่า เงายมทูตและจวนเจ้าพระยาจะมีอำนาจเป็นรองเพียงตระกูลของราชวงศ์เท่านั้น เพราะพวกเขามีตัวตนระดับธรรมชาติอยู่เบื้องหลังนี่เอง
ส่วนขุมอำนาจที่ทรงพลังรองลงมาจาก 3 ขุมอำนาจด้านบนนั้นได้แก่ 3 ตระกูลใหญ่แห่งเมืองหลวง อันได้แก่ ตระกูลต้วน, ตระกูลเซี่ยว, และตระกูลซู นอกจาก 3 ตระกูลนี่แล้ว ขุมอำนาจที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กันก็ได้แก่ กลุ่มการค้าที่ ยิ่งใหญ่ 3 กลุ่ม ยกตัวอย่างเช่นกลุ่มการค้าทิวลิปม่วงนั่นเอง โดยที่ขุมอำนาจดังที่กล่าวมานี้ จะมีตัวตนที่เป็นระดับผู้ฝึกยุทธ์ระดับครึ่งก้าวธรรมชาติเป็นกองกำลังอยู่มากมาย
ลดหลั่นมาจาก ขุมอำนาจทั้ง 6 ดั่งที่กล่าวมา ก็จะเป็นตระกูลของผู้ว่าการมณฑลทั้ง 18 ตระกูลของอาณาจักรนภาล่อง พวกเขาจะมีผู้ฝึกยุทธ์ระดับ ครึ่งก้าวธรรมชาติ เป็นตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดอยู่เพียงไม่กี่คน
‘จวนเจ้าพระยาเรืองฤทธิ์ ... ในตอนนี้จวนเจ้าพระยาเรืองฤทธิ์น่าจะมีกำลังรบด้อยกว่า 3 ตระกูลใหญ่และ กลุ่มการค้าขนาดใหญ่ทั้ง 3’ ต้วนหลิงเทียนคิดขึ้นมาในใจแล้วอดไม่ได้ถอนหายใจออกมา
ตอนนี้เขาเข้าใจดีว่าอำนาจทั้งหมดของจวนเจ้าพระยาเรืองฤทธิ์นั้น เกิดจากตัวเจ้าพระยาเรืองฤทธิ์เอง และเหตุผลเดียวที่ทำให้จวนเจ้าพระยายังคงมีอำนาจและทรงอิทธิพลอยู่ในตอนนี้ เพราะเจ้าพระยาเรืองฤทธิ์ยังมีชีวิตอยู่...ถึงแม้ว่ายามนี้เจ้าพระยาเรืองฤทธิ์จะถูกพิษร้ายของพังพอนทมิฬไร้ลักษณ์ แต่ก็ยังไม่มีใครกล้าดูแคลนจวนเจ้าพระยา
นี่เพราะเสือ...จะอย่างไรก็ย่อมเป็นเสือ ต่อให้เสือตัวนั้นจะป่วยถึงเพียงใด ก็ก็ยังห่างไกลเกินกว่าที่ สุนัขหรือแมวจะเทียบได้
แต่แน่นอนว่าถ้าหากเจ้าพระยาเรืองฤทธิ์มีอันเป็นไปขึ้นมา อำนาจและและอิทธิพลของจวนเจ้าพระยาย่อมถดถอยลงอย่างแน่นอน หากจะฟื้นคืนอำนาจกลับมาอีกครั้ง คงต้องให้จวนเจ้าพระยาบังเกิดผู้ฝึกยุทธ์ระดับธรรมชาติขึ้นมาอีกสักคน
หลังจากนั้นไม่นานเหล่านักศึกษาก็ทยอยกันเข้าห้องเรียนจนในที่สุดก็มากันครบ และเมื่ออาจารย์ซื่อหม่ามาถึงชั้นเรียนก็เริ่มต้นขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ตลอดทั้งช่วงเช้า หลิงเทียนหาได้มีกะจิตกะใจร่ำเรียนแต่อย่างไร นี่เพราะภายในใจของเขานั้นมันเตลิดไปถึงเรื่อง ที่ว่าป่านนี้ฉงเฉวียนจะรวบรวมวัตถุดิบครบหรือยัง ป่านนี้ได้อะไรถึงไหนยังไงแล้ว ...
‘ตอนนี้ข้าสามารถจารึกอาคม ที่มีความสามารถเพียงพอที่จะสังหารเหล่าผู้ฝึกยุทธ์ระดับวิญญาณแรกก่อตั้งได้ แต่ข้าค่อนข้างมั่นใจกว่า 90% ว่าคงไม่อาจทำอะไรพวกเหล่าผู้ฝึกยุทธ์ครึ่งก้าวธรรมชาติ ...มีเพียงอาคมจารึกไม่กี่ชนิดที่สามารถจัดการผู้ฝึกยุทธ์ระดับครึ่งก้าวธรรมชาตินั่นได้!’
‘แต่ว่าการจะจารึกอาคมพวกนั้นมันต้องใช้วัตถุดิบที่หายากและมีค่าเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งยังแทบจะไม่มีอยู่ในอาณาจักรนภาล่องแห่งนี้’ความคิดมากมายของต้วนหลิงเทียนค่อยๆผุดขึ้นมาทีละเรื่องๆ
‘เอาเถอะถึงข้าจะคิดมากไปก็เท่านั้น... จะเป็นไปได้หรือที่องค์ชาย 5 และรองประมุขตระกูลต้วนนั่นจะสั่งการผู้ฝึกยุทธ์ระดับครึ่งก้าวธรรมชาติมาสังหารเด็กอย่างข้า?’ ต้วนหลิงเทียนหัวเราะเยาะตัวเองเล็กน้อย ทันทีที่คิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา
ถึงแม้ว่าจะมีผู้ฝึกยุทธ์ระดับครึ่งก้าวธรรมชาติอยู่ไม่น้อยที่อยู่ในตระกูลราชวงศ์ และตระกูลต้วน แต่พวกเขาก็หาใช่ตัวตนที่ใครจะไปสั่งกายใช้งานได้ง่ายๆโดยไร้เรื่องราวที่สำคัญและจำเป็นนับประสาอะไรกับการกำจัดชายหนุ่มรุ่นเยาว์เพียงคนเดียว ...
สำหรับวันนี้โดยรวมแล้วก็นับว่าไม่เลวนัก อย่างน้อยเขาก็ได้เข้าใจเกี่ยวกับขุมอำนาจต่างๆ ที่อยู่ในอาณาจักรนภาล่องแห่งนี้
ดังคำกล่าวที่ว่าเอาไว้ : รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง!
ตอนเที่ยงต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆ ก็มารวมกันกินอาหารตามปกติ
"ฮึ่ม!" ทันใดนั้นเองชายหนุ่มคนหนึ่งที่เดินเข้ามาในโรงอาหาร ก็แค่นเสียงเย็นชาใส่ต้วนหลิงเทียน อีกทั้งยังจ้องมองมายังต้วนหลิงเทียนด้วยแววตาเย็นชา ก่อนที่จะเดินจากไป
"ต้วนหลิงเทียน ดูเหมือนไอต้วนหรงอะไรนี่ จะไม่ยอมเลิกรากับเจ้าง่ายๆ เจ้าต้องระวังให้มาก" เซี่ยวหยูจดจำคนที่สบถใส่และจ้องสหายเขาอย่างเย็นชาและมุ่งร้ายคนนี้ได้
"อย่าไปใส่ใจอะไรมันเลย แค่ตัวตลกตัวหนึ่งเท่านั้น" ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมาอย่างไม่ใส่ใจ
"ต้วนหลิงเทียน จะอย่างไรเจ้าระวังไว้ก็ย่อมดีกว่านะ ภรรยาของรองประมุขตระกูลต้วนนั้นขึ้นชื่อเรื่องความโหดร้าย และอำมหิตไร้เมตตานัก! มีครั้งหนึ่งนางไปบังเอิญได้ยินสาวใช้กล่าวนินทานางว่าเป็นสตรีอ้วนฉุ เจ้าลองเดาดูสิว่าเกิดอะไรขึ้น?" เซี่ยวฉวินกล่าวถามให้พวกเขาลองคาดเดาดูเมื่อเล่าจบ
"นางฆ่าสาวใช้ใช่หรือไม่?" เทียนหูเดาออกมา
"ไม่ใช่แค่นั้น" เซี่ยวฉวินส่ายหัว
"เอาล่ะๆ เจ้าหยุดลีลาแล้วรีบกล่าววาจามาเสีย ว่าสุดท้ายแล้วเกิดอะไร?" เซี่ยวหยูกล่าวออกมาพร้อมหัวเราะ
ประกายตาของเซี่ยวฉวินเปลี่ยนเป็นจริงจัง ราวกับจะบอกให้ทุกคนเงียบๆ แล้วตั้งใจฟังที่มันกล่าวให้ดี "สุดท้ายแล้วนางใช้ให้คนจับสาวใช้ผู้นั้น และให้คนจับน้ำกรอกปากของนาง... พวกมันกรอกน้ำสาวใช้นางนั้นตลอดทั้งวันจนท้องของนางเต็มไปด้วยน้ำและสุดท้ายท้องนางก็แตกออกมา ตกตายอย่างน่าอนาถ”
"บัดซบ!! ทีหลังเจ้าอย่ากล่าวเรื่องเช่นนี้ตอนกินข้าวได้หรือไม่" สีหน้าของเทียนหูฉายออกมาถึงความสะอิดสะเอียน
สายตาของต้วนหลิงเทียนเย็นชาลง ภรรยาของรองประมุขตระกูลต้วนนั้น ก็หมายความว่ามันคือ มารดาของต้วนหลิงซิ่ง! ก็เป็นอย่างที่เขาคาดเอาไว้ไม่ผิด พวกมันล้วนตัดออกมาจากผ้าผืนเดียวกัน! (สันดารเหมือนๆกัน)
พวกมันทั้งครอบครัวล้วนเป็นตัวอุบาทว์ชั่วร้าย ไร้ปราณี!
"นายหญิงน้อยลี่ขอรับ ชายคนนั้นล่ะขอรับ ที่เป็นผู้ตัดเอ็นข้อมือของนักศึกษาปี 2 เมื่อวาน" ทันใดนั้นเองน้ำเสียงประจบสอพลอพลันดังขึ้นจากระยะไกล ผู้พูดเป็นชายหนุ่มคนหนึ่งท่าทางเจ้าเล่ห์ มันเดินมาถึงโต๊ะของต้วนหลิงเทียน และชี้นิ้วไปยังซูหลี่
สายตาของซูหลี่เปลี่ยนเป็นเย็นชาก่อนที่จะกล่าววาจาออกมาอย่างไม่แยแส "ไสหัวไป!"
"เจ้าอย่าได้เข้าใจผิด ข้าไม่ได้มีเจตนาร้ายอันใด เพียงแต่แม่นางลี่อยากรู้จักเจ้า" ชยหนุ่มคนนั้นแสดงสีหน้าหวาดกลัวและทำตัวน่าสงสารออกมาทันที หน้าเขาซีดลงเล็กน้อยเมื่อเจอสายตาเย็นชาของซูหลี่จับจ้องมา และเขารู้ได้ทันทีว่าตนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของซูหลี่
"หืม?" ซูหลี่ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนที่จะมองไปด้านหลังของชายหนุ่มหน้าตาจ้าเล่ห์
มันเป็นร่างของหญิงสาวที่สวมใส่ชุดสีแดงกำลังเดินเข้ามา ด้านหลังนางมีสตรีติดตามมาอีกคนหนึ่ง
"นางนั่นเอง!" สายตาของต้วนหลิงเทียนพลันเหลือบไปมองสตรีชุดแดงที่กำลังเดินเข้ามา
คนที่กำลังเดินมาตอนนี้ไมใช่ใครอื่น แต่เป็นสตรีคนหนึ่งที่ได้รับบทเรียนจากเขาในเหลาอาหารที่เมืองหลวงชั้นนอก และนางก็เป็นบุตรีของผู้ว่าการมณฑลตะวันฉาย อีกทั้งยังเป็นลูกพี่ลูกน้องขององค์ชาย 5 อันเป็นคนของตระกูลราชวงศ์ประจำอาณาจักรนภาล่องแห่งนี้
‘โชคชะตามักนำพาให้พานพบศัตรูจริงๆ!’ ต้วนหลิงเทียนคิดในใจ
อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนสังเกตได้ว่า เนื่องจากเขานั่งอยู่ตรงมุมเสาบังพอดีนางจึงยังไม่ทันได้สังเกตเห็นเขา และดูเหมือนตอนนี้จะมีเพียงซูหลี่เท่านั้นที่อยู่ในสายตาของนาง
"ยินดีที่ได้พบเจ้า ข้าถงลี่" ต่อหน้าซูหลี่ถงลี่ได้โยนทีท่าหยิ่งยโสโอหังออกไป พร้อมกล่าวทักทายออกมาด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน และกริยาอ่อนหวาน
"ซูหลี่!" ซูหลี่พยักหน้าให้ถงลี่อย่างไม่แยแส
มุมปากของต้วนหลิงเทียนกระตุกและฝืนหัวเราะเอาไว้อย่างเต็มที่
‘เป็นไปได้ยังไง ... หรือสตรีคนนี้จะสนใจซูหลี่กัน? ถึงขั้นทำตัวประหลาดเช่นนี้!’
และตอนนี้เอง เซี่ยวหยู ,เซี่ยวฉวิน และเทียนหู ก็หันไปจ้องซูหลี่ตาเป็นมันเพราะพวกเขาเองก็ไม่ได้โง่ ย่อมสังเกตถึงท่าทีและเข้าใจสถานการณ์นี้ได้ พวกเขาอยากรู้ว่าซูหลี่จะทำอย่างไร เมื่อมีสตรีมาหาถึงที่
ซูหลี่เหลือบไปมองถงลี่ก่อนที่จะกล่าวออกมาอย่างไม่แยแส "หากเจ้าไม่มีอะไรแล้ว ก็อย่าได้รบกวนเวลาอาหารของพวกข้าอีก"
ท่าทางของถงลี่พลันแข็งขึ้นใบหน้าของนางเริ่มแสดงโทสะออกมา
"จะวีนแตกอีกแล้วหรือ?" มุมปากของต้วนหลิงเทียนกระตุกยิ้มขึ้นมาอย่างสนุกสนาน อย่างที่เขาคิดเอาไว้ สันดารคนไม่ใช่จะเปลี่ยนกันง่ายๆ!
"ซูหลี่เจ้ากล่าววาจาเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร นายหญิงน้อยผู้นี้อุตส่าห์ให้เกียรติทักทายเจ้า... เจ้าไม่เข้าใจหรือว่าอะไรดีต่อเจ้า?!" ถงลี่ตะโกนออกมาอย่างรุนแรง นางกลับมาหยิ่งผยองพองลม ทำทาโอหังสะกดข่มผู้อื่นอีกครั้ง
นางนั้นถือว่าตนเองลดตัวและไว้หน้าซูหลี่มากพอแล้ว นางอุตส่าห์เดินเข้าไปทักทายเขาก่อนดีๆ แต่ท่าทางและการกระทำของซูหลี่ที่ไม่แยแสนางนั้น นางไม่อาจยอมรับได้!
ตอนนี้ท่าทางของนางนั้นกล่าวได้ว่า...ต่างกันราวกับหน้ามือกับหลังมือ ไม่เหลือภาพสตรีที่เดินมาถึงตอนแรกที่เต็มไปด้วยความอ่อนหวานและรอยยิ้ม
เซี่ยวหยู,เซี่ยวฉวิน และเทียนหูถึงกับตกตะลึงตาค้าง
ถงลี่ในตอนนี้ ช่างแตกต่างกับถงลี่เมื่อไม่กี่ลมหายใจที่แล้ว ราวสวรรค์และโลก!
พวกมันเองก็ย่อมรู้กันดีอยู่แล้วว่าสตรีมักอารมณ์แปรปรวน เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาได้ง่ายดายนัก แต่การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้มันไม่มากเกินไปหน่อยหรือ?
ใบหน้าของซูหลี่เคร่งขรึมขึ้น และสายตาของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาก่อนที่จะกล่าววาจาออกมาด้วยน้ำเสียงรำคาญ "ไส หัว ไป!"
"เจ้า ... เจ้ากล้ากล่าวไล่ข้า กล้ากล่าวคำ ไสหัวไป ต่อนายหญิงน้อยผู้นี้?" ท่าทางของถงลี่ตอนนี้เริ่มเลวร้ายลงอย่างมาก นอกจากชายหนุ่มชุดสีม่วงที่เหิมเกริมน่าฆ่าให้ตายนั่น ยังมีชายหนุ่มอีกคนที่กล้าตะโกนใส่นาง ... มันกำลังหาที่ตาย!