spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
*ตั้งค่าถาวร (คลิกตั้งค่าถาวร) |
"โอ้ ไม่ ดูเหมือนข้าจะรวบรวมพลังฉีไม่ได้!"
"หึม มีบางอย่างผิดปกติ มีบางอย่างกำลังดูดมหาสมุทรจิตวิญญาณของข้า.! "
"อ้า ข้าก็ไม่สามารถรวบรวมพลังฉีได้เช่นกัน"
ทุกคนในฝั่งของเย่ดายเริ่มร้องตะโกนในทันที
หน้าของเย่ดายเปลี่ยนไปอย่างมาก เพราะเขาค้นพบว่าเขาไม่สามารถเรียกพลังฉีของเขาได้เหมือนกัน ไม่เพียงแต่คนของเขาเท่านั้น แม้แต่จุดตันเถียนของเขาเองก็ว่างเปล่า ราวกับว่าฉีของเขาถูกบางอย่างล็อคไว้จึงทำให้เขาไม่สามารถรวบรวมพลังได้
ใบหน้าของเชินลี้ได้เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ราวกับว่าเขาเป็นเป็ดที่นักล่ากำลำคออยู่ขณะที่เขาปล่อยเสียงโหดร้าย "เจี้ยงเฉิน เจ้าใช้ยาพิษงั้นสินะ?"
"ขอแสดงความยินดี เจ้าคาดเดาได้ถูกต้อง เจ้าชื่อเชินลี้ใช่มั้ย? ตอนนี้เจ้าคิดว่าเจ้าจะได้รับค่าจ้างเท่าไหร่ " เจี้ยงเฉินมีเงายิ้มบนใบหน้า
หน้าของเชินลี้ซีดเผือดเหมือนขี้เถ้า เปลวไฟแห่งความโอหังของเขาดูเหมือนจะถูกสาดด้วยน้ำเย็นจัด ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรูปลักษณ์ที่น่าสะพรึงกลัว "เจี้ยงเฉิน ถ้า ... ถ้าเจ้ากล้าฆ่าข้า นิกายพฤกษาสวรรค์จะไม่ปล่อยตัวเจ้าไปง่าย ๆ แน่"
ใบหน้าของเจี้ยงเฉินถมึงทึง "ไหนเจ้าลองบอกเหตุผลที่ข้าไม่ควรฆ่าเจ้ามาสิ"
"ข้า ... " ความคิดแรกของข้าเชินลี้คือการบอกว่า "ข้าเป็นอัจฉริยะของนิกายพฤกษาสวรรค์ เจ้าจะทำตัวเองให้เป็นศัตรูของนิกายถ้าเจ้าฆ่าข้า"
อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้เป็นคนโง่ซะทีเดียว การคุกคามไม่ได้เป็นประโยชน์ในช่วงเวลาเช่นนี้
ตอนแรกเจ้าต้องการที่จะฆ่าศัตรูก่อนและตอนนี้เจ้าติดกับของศัตรู ทำไมพวกเขาถึงไม่ควรฆ่าเจ้าตอนนี้เพราะภัยคุกคามของเจ้า? มันเป็นไปได้รึ?
"เจี้ยงเฉิน บอกข้ามาว่าเจ้าต้องการอะไร ข้าจะทำทุกอย่างที่สามารถทำได้ เราไม่มีความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างเราและเราทั้งสองคนต่างแสวงหาความมั่งคั่ง ข้าอยากฆ่าเจ้าเพราะข้าได้รับการว่าจ้างจากคนอื่นและเพราะข้าต้องการความมั่งคั่ง ถ้าเจ้าฆ่าข้า เจ้าจะไม่ได้อะไรตอบแทน แล้วเจ้าจะไปใส่ใจทำไม? เจ้าสามารถได้รับประโยชน์อย่างมากหากเจ้าไม่ฆ่าข้า ข้ายังสามารถสาบานต่อสวรรค์ว่าข้าจะไม่มีทางแก้แค้นเจ้าและจะไม่ทำให้เจ้าเดือดร้อน "
ต้องบอกว่าเชินลี้เป็นคนที่มีพูดจากลับกลอกมาก เมื่อเขาเห็นว่าสถานการณ์ไม่ได้เป็นดั่งที่คาด เขารีบขอความเมตตาทันทีและนำเสนอด้านอ่อนโยนของตัวเอง เขาคงจะไม่มีวันยอมแพ้เลย
"ข้าฆ่าเจ้าไม่ได้ ข้าไม่ต้องการเงินค่าไถ่ของเจ้าและข้าก็ไม่ต้องการให้เจ้าสาบานต่อสวรรค์ ข้ามีเพียงคำขอเดียวเท่านั้น "
"โปรดบอกข้ามาเถิด!" เชินลี้รู้สึกดีใจมากและวิ่งเข้าหาเจี้ยงเฉิน "บอกข้ามา ข้าเห็นด้วยกับทุกคำขอ"
"มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถมีชีวิตรอดออกจากที่นี่ได้ ข้าจะปล่อยเจ้าไปถ้าเจ้าฆ่าพวกมันทั้งหมด" เจี้ยงเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้มมุมปาก
"เจ้าหมายความว่า?"
"เจ้าคิดว่าข้าพูดเล่นงั้นรึ?" เจี้ยงเฉินถาม
ด่านเฟยเดินขึ้นมาในเวลานี้ "เจี้ยงเฉิน ช่วยเห็นแก่ข้าและปล่อยพวกเขาทั้งหมดไปเถอะ"
เจี้ยงเฉินอึ้ง "ทำไม ?"
ด่านเฟยพูดเบา ๆ ว่า "แค่บอกมาว่าเจ้าเห็นด้วยหรือไม่!"
เจี้ยงเฉินพูดไม่ออกชั่วขณะหนึ่ง
"ถ้าเจ้าฆ่าพวกมันตอนนี้ มันจะย้อนกลับไปหาเจ้าได้อย่างง่ายดายเมื่อเราออกไป เจ้าจะเป็นศัตรูของราชอาณาจักรนภาจันทร์ แม้ว่าคุณจะมีเหรียญเกียรติยศของราชอาณาจักรมันก็ไม่อาจช่วยเจ้าได้ เชินลี้เป็นศิษย์ของนิกายพฤกษาสวรรค์ จะเป็นเรื่องลำบากถ้าเจ้าฆ่าศิษย์ของนิกาย"
ด่านเฟยมองไปที่เย่ดาย "ข้าจะไปรายงานความจริงให้ท่านอาจารย์ทราบว่าเย่ดายต้องการสังหารพี่น้องของตัวเอง เขาคงเป็นองค์ชายลำดับหนึ่งได้อีกไม่นาน ศัตรูของเขาจะจัดการเขาเอง เจ้าจะทำให้มือของตัวเองต้องแปดเปื้อนไปทำไมกัน? "
เจี้ยงเฉินมีความคิดที่จะหันเหความสนใจของนาง แต่ด่านเฟยก็ค่อนข้างเด็ดเดี่ยวในคำขอของนาง เขาทำได้เพียงหันไปมองเย่หลง "องค์ชายสี่ ข้าจะไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก ท่านทำตามที่ท่านเห็นสมควรละกัน "
เย่หลงมองไปที่ด่านเฟยและตัดสินใจที่จะทำท่าทางที่เป็นมิตรโดยไม่คำนึงประโยชน์ของตัวเอง "พี่ด่านเฟย ข้าจะเชื่อฟังท่าน อย่างไรก็ตาม ข้าเกรงว่าเย่ดายจะไม่ยอมแพ้และเขาก็จะทำให้เราลำบากอีกเมื่อเราออกจากหุบเขาแห่งนี้ "
ด่านเฟยไม่ยอมให้เย่ดายถูกฆ่าเพราะนางคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นเย่ดายหรือเย่เซียว พวกเขาทั้งสองได้รับการสั่งสอนจากท่านอาจารย์และพวกเขาก็เติบโตขึ้นมาในความดูแลของเขา
ถึงแม้ว่าด่านเฟยจะไม่ได้ใจดีและชอบพวกเขามากนัก แต่นางก็ยังไม่เต็มใจที่จะเห็นพวกเขาตายที่นี่
เย่หลงคิดเช่นเดียวกับเจี้ยงเฉิน เขาไม่อยากปล่อยคนพวกนี้ไป อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่ที่สุดระหว่างเขากับเย่ดายคือ เขาสามารถระงับความโกรธของเขาในตอนนี้ไว้ได้
ด่านเฟยได้สัญญาว่าจะรายงานท่านอาจารย์เมื่อพวกเขาออกไป เย่ดายก็ไม่เหลือความดีอะไรแล้ว ตราบเท่าที่เย่ดายถูกถอดออกจากตำแหน่งของตัวเอง เท่ากับว่าเย่หลงไม่มีคู่แข่งที่น่ากลัวอีกต่อไป
เมื่อเย่ดายไม่เป็นภัยคุกคามต่อเขาอีกต่อไปในการชิงบัลลังก์ มันจะมีโอกาสอีกมากพอที่จะฆ่าเขาในอนาคตแม้ว่าเย่หลงจะไม่ฆ่าเขาในวันนี้
เย่ดายคิดว่าตัวเองต้องตายโดยไม่ต้องสงสัยและไม่ได้หวังอะไร ทันทีที่ได้ยินว่าด่านเฟยกำลังขอความเมตตาแทนเขา เขาก็มีความสุขมาก
"น้องสี่ อย่าฆ่าข้า ทุกอย่างจะเป็นของเจ้าถ้าเจ้าไม่ฆ่าข้า ข้าสัญญาว่าจะไม่เข้าร่วมชิงตำแหน่งองค์รัชทายาทเมื่อเราออกไป และข้าจะเป็นองค์ชายที่ไร้อำนาจที่จะไม่ยุ่งเกี่ยวเรื่องการเมืองในอนาคต. ข้ายังสามารถสาบานต่อสวรรค์ว่าข้าจะไม่มีทางแก้แค้นให้กับสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้และข้าจะไม่มีวันทำให้เกิดปัญหาอีก "
หน้าผากของเย่หลงย่นลง "ไม่ใช่ว่าข้าจะไม่ฆ่าเจ้า แต่เป็นเพราะพี่ด่านเฟยร้องขอชีวิตสุนัขไว้"
ด่านเฟยรู้สึกรังเกียจกับการแสดงที่น่าสมเพชของเย่ดาย "เย่ดาย เจ้าทำตัวได้ดี เจ้ายังมีลมหายใจเพราะข้าขอความเมตตาให้เจ้าในนามของท่านอาจารย์ เจ้าคงจะไม่โชคดีในครั้งต่อไป "
"ใช่ ใช่ พี่ด่านเฟย มันเป็นความผิดของข้าเอง จิตใจของข้าอยู่ในหมอกควัน อำนาจทำให้ข้าตาบอดและข้าจะเปลี่ยนแปลงตัวเองใหม่เมื่อเราออกไป "
เจี้ยงเฉินส่ายหัวอย่างเอือมระอา สันดานเลว ๆ ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ เช่นเดียวกับสุนัขจรจัดซึ่งมักจะกินของสกปรกถ้ามันไม่มีอะไรกิน เย่ดายเป็นแค่สุนัขตัวนึง
จริง ๆ แล้วการปล่อยคนพวกนี้ไปถือเป็นเป็นอันตรายที่ซ่อนเร้น ตามเจตนาของเจี้ยงเฉิน การฆ่าเขาให้เรื่องมันจบ ๆ ไปน่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการจัดการเรื่องนี้
อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ที่คำพูดของด่านเฟยฟังดูมีเหตุมีผล เจี้ยงเฉินไม่สามารถยืนหยัดที่จะลงมือได้ เรื่องนี้ยังคงเป็นคำตัดสินของเย่หลงอีกด้วย
ถ้าเย่หลงสามารถทนได้ ทำไมเขา เจี้ยงเฉินต้องเดือดร้อนแทนด้วย?
เย่ดายเป็นเพียงตัวตลกที่หยิ่งผยอง เจี้ยงเฉินไม่ได้กลัวเขาเลย และเขาก็ไม่ได้มีเป้าหมายที่จะครอบครองเมืองใดในอาณาจักรนภาจันทร์
พูดกันตามตรง เจี้ยงเฉินไม่จำเป็นต้องกลัวศิษย์ของนิกายพฤกษาสวรรค์ แม้ว่าเขาจะไม่ได้ใช้ยาพิษ
ด่านเฟยมองไปที่เจี้ยงเฉิน นางรู้สึกอยากจะขอโทษเขา นางรู้ดีว่าคำร้องขอของนางเกินขอบเขต นางไม่ได้ทำอะไรเลยในศึกครั้งนี้ ดังนั้นถ้าพูดกันตามเหตุตามผล นางจึงไม่มีสิทธิ์ที่จะร้องขออะไรจากเจี้ยงเฉิน
"ขอบใจมาก"
ด่านเฟยเดินไปใกล้เจี้ยงเฉินและพูดด้วยเสียงต่ำ.
" ไม่เป็นไรหรอก" เจี้ยงเฉินไม่ใช่คนที่คำนึงถึงผลประโยชน์และความสูญเสียส่วนตัว ศิษย์ของวิหารอุดรครามสวรรค์ที่เขาเกลียดที่สุดก็ตายไปแล้ว และความโกรธส่วนใหญ่ของเขาก็หมดไป
"ไปกันเถอะ" เย่หลงเดินไปใกล้เจี้ยงเฉิน "เจี้ยงเฉิน ขอบใจเจ้ามาก มิฉะนั้นผลที่จะตามมาคงจะเกินกว่าที่คาดคิดได้ "
หัวใจของเย่หลงยังกระพือด้วยความกลัวนิดหน่อยเมื่อเขาคิดถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น เขาตกอยู่ในอาการหมดหวังกับสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้แล้วและไม่คิดไม่ฝันว่าเขาจะมีชีวิตรอดออกมาได้ เขาพร้อมที่จะสู้จนตาย
เขาไม่ได้คิดว่าเรื่องราวจะกลับตาลปัตรเป็นเช่นนี้
องค์ชายใหญ่เดินวางมาดอย่างผยองอยู่เสมอมาและคิดว่าชัยชนะนั้นอยู่ในเอื้อมมือของเขา แต่แล้วเหมือนเขาถูกตบหน้าฉาดใหญ่
และเย่หลงผู้ซึ่งถูกกำหนดให้ตายแน่ ๆ ได้กลายเป็นผู้ชนะในวินาทีสุดท้าย อย่างไรก็ตาม เย่หลงไม่กล้าคิดว่าตัวเองเป็นผู้ชนะ เพราะเขารู้ว่าทั้งหมดนี้เป็นเพราะเจี้ยงเฉิน
ถ้าไม่มีเจี้ยงเฉิน ตอนนี้พวกเขาคงจะกลายเป็นซากศพแข็งทื่อไปแล้ว
ถึงแม้ว่าเขาจะไว้ชีวิตพวกเขา แต่เจี้ยงเฉินก็ไม่คิดที่จะถอนพิษให้ ดีที่ยาพิษอยู่ได้ไม่นานและมันจะหายไปเองหลังจากผ่านไปประมาณ 1 ชั่วยาม
หลินเฉียนลี้และผู้คุ้มกันส่วนบุคคลของเย่หลงไม่ได้แสดงความเมตตา แต่เป็นพวกเขายึดสัตว์ที่เย่ดายและเย่เซียวล่ามาได้
พวกเขาไว้ชีวิตผู้คน แต่ต้องได้สิ่งตอบแทนบ้าง
แม้กระทั่งเย่หลงก็ไม่ได้หยุดพวกเขา
เย่ดายและพรรคพวกรอดชีวิต พวกเขาไม่กล้าที่จะโวยวายกับการที่คนของเย่หลงมารื้อค้นสัมภาระของพวกเขา พวกเขาทั้งหมดรู้สึกรังเกียจแต่พวกเขาไม่ได้กล้าที่จะพูดในขณะที่พวกเขาจัดการกับสินค้าของพวกเขา
เมื่อกลุ่มคนเดินออกจากหุบเขา เย่หลงอารมณ์ดีมาก โชคร้ายที่มาเยือนหมดไปด้วยพรสวรรค์ เขาไม่เคยคิดเลยว่าการที่พวกเขาไล่ตามสัตว์วิญญาณ มันจะจบลงด้วยการเร่งให้เกิดเหตุการณ์วุ่นวายทั้งหมดขึ้น
ตอนนี้พวกเขาได้รับผลตอบแทนมหาศาล และเขาก็ไม่ได้คิดถึงรางวัลการล่าสัตว์ที่พวกเขาเอามาจากเย่ดาย เย่หลงไม่ได้ใส่ใจอะไรกับมันเลย
ประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาคือการที่เขาชนะเย่ดาย กำจัดอุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดในสงครามแย่งชิงตำแหน่งองค์รัชทายาทถือเป็นผลประโยชน์สูงสุดของทุกคน
กลุ่มของพวกเขาเดินไปข้างหน้า พวกเขาพบกับหยูตงที่ล่วงหน้าไปตรวจพื้นที่ถนนข้างหน้า เขากำลังแบกบางอย่างอยู่ในมือ มันเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กและดูเหมือนว่ามันจะถูกทรมาน มีบาดแผลจำนวนมากมายบนร่างกายและเลือดไหลไปตามทาง ดูเหมือนมันตายไปนานแล้ว
"นายน้อย เราพบสิ่งนี้ข้างหน้า การบาดเจ็บของสัตว์วิญญาณนี้แปลกประหลาดมาก เหมือนกับว่ามีใครบางคนตั้งใจทรมานมันจนตาย "
….
ห่างจากหุบเขาภูเขาประมาณห้าสิบหรือหกสิบเมตร องค์ชายสองเย่เฉียนจ้องมองไปที่หุบเขา
"หลิงซวน มีข่าวลับอะไรบ้างมั้ย?"
"ขอรับองค์ชาย ข่าวกรองล่าสุดคือองค์ชายใหญ่และองค์ชายสามได้พบกันแล้วและกำลังมุ่งหน้าสู่หุบเขา ดูเหมือนว่าทั้งสองฝ่ายจะพบกัน"
เย่เฉียนมีท่าทีสบาย ๆ “ดี.. ดีแล้ว.. สวรรค์กำลังส่งเสริมข้าจริง ๆ ฮ่า ๆ ๆ "
จำเอาไว้ ทำให้ฝูงหนูเขี้ยวทองโกรธให้มากที่สุด เจ้าต้องจุดประกายไฟเผาหลุมของมันให้ร้อนและล่อให้มันออกไปทางหุบเขา เราจะจัดการกับพวกมันโดยไม่ต้องใช้ทหารแม้เพียงคนเดียว"
แสงที่ไร้ความปราณียิงออกมาจากดวงตาขององค์ชายสอง
"หลิงชีไปกับหลิงเฟิง หลิงชีมีประสบการณ์ในด้านนิสัยของสัตว์วิญญาณและเขารู้วิธีที่จะทำให้พวกมันโกรธ เขารู้ดีเกี่ยวกับวิธีการปลุกระดมฝูงสัตว์และเขารู้วิธีนำพวกมันไปยังหุบเขา "
เย่เฉียนพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ "มีคนบอกว่าทหารราคาแพงเพราะพวกเขายอดเยี่ยมและไม่ใช่เพราะจำนวนของพวกเขา เย่ดายเป็นคนงี่เง่าเพราะเขามักจะพาผู้ติดตามจำนวนมากไปทุกที่และเขามักจะใช้เงินอย่างผิด ๆ ในการจ้างเหล่าสาวกนิกาย แต่เขาก็ยังจบลงด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยฝุ่นทุกครั้ง เขามีภูมิหลังที่ดีและเขาก็เคยชินกับการใช้พลังอันยิ่งใหญ่ในการกดขี่ข่มเหงศัตรู แต่เขาลืมไปว่าผู้ฝึกฝนที่แท้จริงซึ่งเป็นคนที่มีความเหนือกว่าอย่างแท้จริงพบว่าสมองของพวกเขามีประโยชน์มากกว่ากำลัง! "
"องค์ชายสองช่างฉลาดปราดเปรื่อง" หลิงซวนยิ้ม "มันเป็นโชคของเราที่ทำให้เราค้นพบรังของหนูเขี้ยวทอง"
"เอาล่ะ มันถึงเวลาที่เราจะถอยกลับ เมื่อฝูงหนูโกรธจัด พวกมันจะทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า เป็นไปได้ว่าไม่มีอะไรจะรอดไปได้อยู่ภายในรัศมีของร้อยลี้ เตือนหลิงชีและหลิงเฟิงให้ระมัดระวังความปลอดภัยของตนเอง อย่าลืมทิ้งวิธีการติดต่อไว้เพื่อให้พวกเขาสามารถเข้าร่วมทีมได้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ "
เย่เฉียนหดรอยยิ้มบนใบหน้าในขณะที่เขาใช้สายตาครั้งสุดท้ายมองไปในทิศทางตะวันตกเฉียงใต้ด้วยรูปลักษณ์ที่น่ากลัว เขาหัวเราะเบา ๆ ในขณะที่เขากล่าวว่า "เย่ดาย เย่หลงและเจ้าโง่เย่เซียว ข้าหวังว่าชาติหน้าพวกเจ้าคงไม่ได้เป็นพี่น้องของข้าอีก แม้ว่าพวกเจ้าจะเกิดใหม่อีกสิบครั้ง พวกเจ้าก็ถูกลิขิตให้พ่ายแพ้หากต้องต่อสู้กับข้า"
"ข้า เย่เฉียน คือคนที่เหมาะสมที่สุดสำหรับตำแหน่งองค์รัชทายาท ผู้แข่งขันเพียงคนเดียว! "