หน้าแรก > War Sovereign Soaring The Heavens
บทที่ 146 พร้อมหน้าสหายเก่า

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

*ตั้งค่าถาวร (คลิกตั้งค่าถาวร)

"ขุนพล หรือ กุนซือ งั้นหรือ?" ต้วนหลิงเทียนติดใจกับสองคำนี้ในคู่มือ ที่กำลังอ่านอยู่

มันเป็นสิ่งที่ผู้เข้ารับการศึกษายังสถาบันบ่มเพาะขุนพลแห่งนี้จะเป็นต้องเลือกทุกคน และมันมีแค่เพียง 2 ทางเลือกเท่านั้น ...

สองทางเลือกที่ว่าก็มีดังนี้

ฝ่ายดาวขุนพล หรือฝ่ายดาวกุนซือ

"ผู้ที่สามารถพุ่งทะยานไปในสนามรบสั่งการผู้คนนับ 10,000 ตะลุยฝ่าฆ่าศัตรู มีความกล้าหาญชาญชัยเต็มเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ บั่นหัวผู้นำอีกฝ่าย นำพาชัยชนะ เป็นจุดศูนย์รวมของกองทัพ เดินตระหง่านข้ามผ่านเส้นทางโลหิตด้วยใจที่เหี้ยมหาญอย่างองอาจใต้ผืนนภาสีคราม... นั่นก็คือดาวขุนพล! "

"ผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ มีภูมิปัญญาฉลาดเฉลียวไหวพริบปฏิภาณดีเลิศ สงบนิ่งเยือกเย็นคุมสติอารมณ์ได้อย่างยอดเยี่ยม สามารถอ่านภูมิประเทศและควบคุมทุกสิ่งในดินแดนได้ราวกับอยู่ในฝ่ามือ ยามเกิดศึกสงคราม สามารถวางแผนคิดสุดยอดกลยุทธ์ ชิงความได้เปรียบทำลายศัตรูได้ง่ายดาย ... นั่นก็คือ ดาวกุนซือ"

ต้วนหลิงเทียนเพียงส่ายหัวแล้วหัวเราะออกมาเล็กน้อย สถาบันบ่มเพาะขุนพลนี้คู่ควรกับการได้รับการขนานนามว่าแหล่งกำเนิดอัจฉริยะแห่งอาณาจักรนภาล่องอย่างแท้จริง เพราะไม่ว่าจะเป็นใครที่สามารถร่ำเรียนจนจบสถาบันบ่มเพาะขุนพลนี้ไปได้ จะไปทำอะไรที่ไหนก็นับว่ายิ่งใหญ่และน่าเกรงขามทั้งสิ้น

"เลือกเพียงหนึ่งอย่างที่เหมาะกับตัวเองเช่นนั้นรึ?" มุมปากของต้วนหลิงเทียนแสยะยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย เขามีตัวเลือกในใจของเขาแล้ว

5 วันต่อมา

ต้วนหลิงเทียนพาเสี่ยวเฮยติดตัวไปกับเขาด้วย ก่อนที่จะเดินออกจากบ้านไปยังสถาบันบ่มเพาะขุนพล...ตามกฎที่ระบุไว้ในคู่มือ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ล้วนไม่ได้รับอภิสิทธิ์ให้นำผู้ติดตามเข้าไปยังสถาบันบ่มเพาะขุนพลทั้งสิ้น ...

เพียงไม่นานต้วนหลิงเทียนก็เดินทางมาถึงสถาบันบ่มเพาะขุนพล ตอนนี้ที่ประตูหน้า ล้วนเต็มไปด้วยเกวียนจอดเรียงรายกัน มันเรียงตัวกันทอดยาวไปตามถนนสุดลูกหูลูกตา บ่งบอกให้รู้ว่ามีคนมาสถาบันบ่มเพาะขุนพลนี้มากมายแค่ไหน

ลำพังนักศึกษานั้นก็นับมีจำนวนไม่น้อยแล้ว แถมแต่ละคนก็ยังมีคนที่ติดตามมาส่งพวกมันอีก... บ้างก็มาเพียงไม่กี่คนบ้างก็มาเป็นหมู่คณะ แต่จะอย่างไรสุดท้ายก็มีเพียงตัวนักศึกษาเท่านั้นที่สามารถ ก้าวผ่านประตูหลักเข้าไปในสถาบันบ่มเพาะขุนพลได้

"หืม? แม้แต่นักศึกษาหญิงเองก็มีจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว" ต้วนหลิงเทียนอดที่จะประหลาดใจไม่ได้ เมื่อเห็นเหล่านักศึกษาหญิงกำลังยื่นเอกสารรับรองสิทธิ์เข้าเรียนในสถาบันบ่มเพาะขุนพล "ดูเหมือนว่ามณฑลอื่นๆจะเปิดให้สตรีเข้าร่วมทดสอบ เพื่อรับสิทธิ์ในการเข้าศึกษายังสถาบันบ่มเพาะขุนพลนี่ด้วย ช่างแตกต่างจากค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะของกองกำลังโลหิตเหล็กมากนัก"

ค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะของกองกำลังโลหิตเหล็กที่ต้วนหลิงเทียนเข้าร่วมนั้น ระบุไว้ชัดเจนว่าไม่รับสตรีเข้าร่วมทดสอบ หากสตรีที่อยู่ประจำมณฑลผานางแอ่นเหินอยากเข้าร่วมสถาบันบ่มเพาะขุนพล พวกนางจำเป็นต้องเดินทางไปทำการทดสอบคัดเลือกที่มณฑลอื่น...

"เอ่อ...แล้วตอนนี้ข้าจะไปไหนดีล่ะเนี่ย ไม่มีประกาศอะไรสักนิด?" ต้วนหลิงเทียนสังเกตว่าตั้งแต่ที่เขาเข้าสถาบันบ่มเพาะขุนพลมา เขาก็เดินไปเรื่อยเปื่อยและไม่รู้ว่าจะต้องไปทางไหนอะไรยังไง และในที่สุดด้วยสายตาที่แหลมคมของเขา ก็จับภาพคนกลุ่มหนึ่งที่กำลังเดินไปรวมตัวกันบริเวณทิศตะวันออก

เมื่อมาถึงบริเวณฝั่งตะวันออกต้วนหลิงเทียนก็พบลานกว้าง ซ้ำยังเต็มไปด้วยชั้นวางอาวุธ เห็นได้ชัดว่าที่แห่งนี้เป็นลานฝึกซ้อมการต่อสู้ของสถาบันบ่มเพาะขุนพล

ต้วนหลิงเทียนสังเกตได้ว่ามีชายหนุ่มและหญิงสาวจำนวนไม่น้อยที่มายืนที่นี่เพื่อรอเวลา และส่วนมากคนที่อยู่บริเวณนี้ก็มีอายุราวๆ 20 ปีแทบทั้งสิ้น เมื่อต้วนหลิงเทียนนำตัวเองไปเทียบกับพวกเขามันก็ค่อนข้างเห็นได้ชัดว่า อายุของเขาแตกต่างจากผู้อื่นมากนัก...แลดูเหมือนเขาเป็นเด็กน้อยอย่างไรก็ไม่รู้...

"เอ๊ะ นั่นเซี่ยวหยู!" สุดท้ายหลิงเทียนก็สามารถเห็นร่างของเซี่ยวหยูที่อยู่ภายในฝูงชนได้ และตอนนี้เซี่ยวหยูกำลังสนทนากับชายคนหนึ่งด้านข้าง

ต้วนหลิงเทียนเดินเข้าไปหาเขาทันที และไม่นานเซี่ยวหยูเองก็สังเกตเห็นต้วนหลิงเทียนที่กำลังเดินมาเช่นกัน เขาหันไปบอกกล่าวกับคนด้านข้างเล็กน้อยก่อนที่จะเดินมารับต้วนหลิงเทียน

"เฮ่ ! ต้วนหลิงเทียน ในที่สุดข้าก็ได้เจอกับเจ้าสักที" เซี่ยวหยูส่ายหัวออกมาพร้อมรอยยิ้ม "ข้ามาถึงเมืองหลวงตั้งแต่ครึ่งเดือนที่แล้ว แต่ข้าไม่รู้ว่าเจ้าพักอยู่ที่ใด"

"โอ้! แล้วเจ้าเป็นไงบ้างเล่า? ครึ่งเดือนนี้ไปทำอะไรมาบ้าง" ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามออกมาพร้อมรอยยิ้ม

"ข้าอยู่ เขตที่พักของตระกูลเซี่ยว ศึกษาอะไรในเมืองหลวงไปเรื่อยนั่นล่ะ " เซี่ยวหยูกล่าวออกมา

“เดี๋ยวนะ แซ่เซี่ยว? ตระกูลเซี่ยวงั้นหรือ?”

‘เซี่ยวเหอ?’ ท่าทางของหลิงเทียนแข็งขึ้นเล็กน้อย เขาพลันนึกถึงผู้หลอมโอสถอัจฉริยะที่มีนามว่าเซี่ยวเหออะไรนั่นขึ้นมาและมันก็เป็นคนของตระกูลเซี่ยว

‘เป็นไปได้หรือไม่ที่เซี่ยวหยูจะเกี่ยวข้องกับตระกูลเซี่ยว? หรือว่าตระกูลเซี่ยวแห่งเมืองออกโรร่าจะเป็นสาขาของตระกูลเซี่ยวแห่งเมืองหลวงนี้กัน’ ...ไม่คาดคิดจริงๆว่าหลิงเทียนจะคาดเดาได้ตรงจุด และมันก็เป็นดั่งเช่นที่เขาคาดการณ์ไม่ผิดเพี้ยน

"อ่อจริงสิเจ้าคงยังไม่รู้ ตระกูลเซี่ยวที่เมืองออโรร่าของข้า นับได้ว่าเป็นตระกูลสาขาของตระกูลเซี่ยวแห่งเมืองหลวงนี่ ข้าได้รับการยอมรับจากประมุขของตระกูลเซี่ยวแห่งเมืองหลวงให้เป็นสมาชิกของตระกูลหลัก หลังจากที่ข้าได้รับสิทธิ์เข้าศึกษาที่สถาบันบ่มเพาะขุนพลแห่งนี้ " ถึงแม้ว่าใบหน้าของเซี่ยวหยูจะไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมา แต่ประกายตาของเขากลับเร่าร้อนไม่น้อย

การได้เป็นสมาชิกของตระกูลเซี่ยวแห่งเมืองหลวง หมายถึงสถานะของเขาได้รับการยกระดับไปอีกขั้น และในอนาคตเขาก็สามารถใช้มันเป็นหินรองเท้ายกระดับตัวเองให้สูงขึ้นไปได้...

และตอนนี้เองเซี่ยวหยูก็นึกขึ้นมาได้ว่า คนที่เขาพามาด้วยถูกทิ้งให้ยืนหงอยอยู่คนเดียว เขาถึงรีบกล่าวแนะนำทันที "เฮ่ต้วนหลิงเทียน นี่เซี่ยวฉวิน เป็นผู้ฝึกยุทธ์อัจฉริยะจากตระกูลเซี่ยวแห่งเมืองหลวง แล้วก็เป็นสหายของข้า"

"เฮ่ สหาย ข้าต้วนหลิงเทียน" ต้วนหลิงเทียนหันไปพยักหน้าให้เซี่ยวฉวินก่อนที่จะกล่าวแนะนำตัวเอง

"ข้าเซี่ยวฉวินยินดีที่ได้รู้จักเจ้า" เซี่ยวฉวินเองก็กล่าวแนะนำตัวเองกลับมาพร้อมรอยยิ้ม ท่าทางของเขาดูไม่เหมือนคนจากตระกูลใหญ่สักนิด...เพราะไม่มีความหยิ่งยโสแม้แต่น้อย

"เฮ่ต้วนหลิงเทียนเจ้ารู้หรือไม่ พี่ชายของเซี่ยวฉวินนั้น คือเซี่ยวเหอ! เขาเป็นผู้หลอมโอสถที่มีพรสวรรค์สูงล้ำและอัจฉริยะภาพมากที่สุดของตระกูลเซี่ยว ปีที่แล้วเขาสามารถ เป็นผู้หลอมโอสถระดับ 9 ได้ทั้งๆที่มีอายุเพียง 20 ปีเท่านั้น" เซี่ยวหยูกล่าวออกมาเพิ่มเติม

"เซี่ยวเหอ!?" ใบหน้าของหลิงเทียนพลันแข็งค้าง พานพบศัตรูหนทางคับแคบเข้าแล้ว... เขาไม่คาดคิดจริงๆว่าเซี่ยวเหอแห่งตระกูลเซี่ยวนั่นจะกลายมาเป็นพี่ชายของเซี่ยวฉวินซะได้

"หยู เจ้าก็กล่าวเกินไป... ตอนแรกข้าเองก็คิดว่าพี่ชายข้าเป็นผู้หลอมโอสถอัจฉริยะอยู่หรอกนะ แต่ทว่าเมื่อ 2 เดือนก่อนนั้น กลับมีผู้หลอมโอสถระดับ 9 ที่มีอายุเพียง 18 ปีนั้นปรากฏตัวขึ้นกลางห้องรับรองของสมาคมผู้หลอมโอสถ ข้าเลยได้รู้ว่าอัจฉริยะที่แท้จริงเป็นอย่างไร ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเขาคนนั้นเป็นใครแต่นี่ก็นับว่าเป็นเรื่องดีไม่น้อย! มีเรื่อเช่นนี้จะได้ช่วยลดความหยิ่งผยองของพี่ชายข้าลงได้บ้าง"

"เฮ่! ข้าก็บังเอิญได้ยินข่าวนี้มาเช่นกัน ข้าได้ยินว่าผู้หลอมโอสถอายุ 18 ปีนั่นเดิมพันกับพี่ชายเจ้าจนได้รับเงินไป 5,000,000 เหรียญทองเลยไม่ใช่หรือ ...แล้วนี่เจ้าไม่เกลียดเขารึไง?" ประกายตาของหลิงเทียนเปลี่ยนเป็นจริงจังเล็กน้อยยามกล่าวถามคำถามนี้ออกมา

"ฮ่าๆ แล้วทำไมข้าต้องไปเกลียดเขาด้วยล่ะ? ข้าเองก็ได้ยินเรื่องราวนี้มาบ้าง และข้าก็ไปสอบถามเหตุการณ์จากผู้คนว่ามีความเป็นมาอย่างไร ...แล้วสุดท้ายข้าก็พบว่าพี่ชายข้าเป็นฝ่ายผิดเพราะไปหาเรื่องเขาก่อนเอง หากข้าพบผู้หลอมโอสถอัจฉริยะคนนั้น ข้าไม่เพียงจะไม่ต่อว่าอะไรเขา ข้ายังจะขอบคุณเขาด้วย.. ล้วนเป็นเพราะเขาที่ทำให้พี่ชายของข้าเปลี่ยนแปลงตัวเอง และกลายเป็นคนที่ขยันเอาจริงเอาจังมากกว่าแต่ก่อนไม่น้อยเลยทีเดียว” เซี่ยวฉวินกล่าวจบก็ส่ายหัวออกมาพร้อมรอยยิ้ม

ต้วนหลิงเทียนมองไปยังเซี่ยวฉวินด้วยสายตาลึกซึ้ง นกที่ขนปีกสีเดียวกันมักจะอยู่ด้วยกันจริงๆ สหายของเซี่ยวหยูคนนี้นับว่าประเสริฐกว่าพวกลูกหลานตระกูลใหญ่คนอื่นๆเยอะ

"เฮ่ ต้วนหลิงเทียน! เซี่ยวหยู!" ทันใดนั้นเองน้ำเสียงคุ้นหูพลันดังขึ้นมาจากระยะไกล

ต้วนหลิงเทียนพลันหันไปมองชายหนุ่มที่สวมชุดแดงที่กำลังเดินกระทบไหลมากับชายหนุ่มอีกคนหนึ่งที่รูปร่างกำยำท่าทางแข็งแกร่งไม่น้อย คนที่กล่าววาจาเมื่อครู่ก็เป็นชายหนุ่มกำยำแลดูแข็งแกร่งคนนี้นี่เอง

ทั้งสองคนที่กำลังเดินกระทบไหล่ตีคู่กันมานี้ ไม่ใช่ผู้ที่ผ่านการทดสอบค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะของกองกำลังโลหิตเหล็ก เช่นเดียวกับพวกเขา จนได้รับสิทธิ์ในการเข้าศึกษายังสถาบันบ่มเพาะขุนพลแห่งนี้ ซูหลี่ กับเทียนหู หรอกหรือ?

หลังจากผ่านไปอีก 1 ปี ตอนนี้ทั้งสองคนก็ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก ซูหลี่เองก็ดูเหมือนจะสงบขึ้น แต่ก่อนนั้นเขามักจะพลุ่งพล่านและกระหายการต่อสู้อยู่เสมอแต่ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่เร่งร้อนเหมือนกาลก่อน ทั้งระดับพลังงานต้นกำเนิดยังสูงขึ้นมากด้วย

"เฮ่ ซูหลี่ เทียนหู พวกเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง!" ต้วนหลิงเทียนและเซี่ยวหยูก็ยิ้มและหันกลับไปทักทายพวกเขาด้วยรอยยิ้มยินดี

"ก็ดี เฮ่ต้วนหลิงเทียน หากมีโอกาส พวกเรามาประลองกัน!" ซูหลี่มองไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาคมกล้า

"ข้าเองก็ยินดีประลองกับเจ้าเช่นกัน!" ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม

"เฮ่ๆ ต้วนหลิงเทียนเจ้าระวังไว้ด้วย เจ้าบ้านี่มันตัดผ่านไปยังระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 7 แล้วนา หาได้ง่ายดายไม่ ... ฮึ่ม ระวังอย่าเป็นเหมือนข้า ไม่กี่วันก่อน ข้าล่ะอุตส่าห์ดีใจได้พบสหายเก่า แต่เจอหน้ามันไม่ทันไร มันก็ท้าประลองข้าเสียแล้ว ซ้ำยังเล่นงานข้าซะเกือบแย่" เทียนหูกล่าวออกมาพร้อมทำหน้ามุ่ย ดูท่าทางตอนนี้มันจะยำเกรงซูหลี่ไม่น้อย

"ระดับระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 7 งั้นหรือ" ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะผงะเล็กน้อย เรื่องนี้เขาประหลาดใจจริงๆ

อาศัยเวลาเพียงแค่ 1 ปี ซูหลี่ผู้นี้ ก้าวขึ้นมาจากระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 5 ไปยังระดับก่อกำเนิดขึ้นที่ 7 ...แค่ปีเดียว? เซี่ยวหยูและเซี่ยวฉวินเองก็ตกตะลึงเช่นกัน

"ผู้ฝึกยุทธ์ระดับ ก่อกำเนิดขั้นที่ 7 งั้นหรือ ระดับบ่มเพาะดังกล่าวนับได้ว่าเป็นหนึ่งในหัวกะทิของชั้นปีที 1 ของสถาบันบ่มเพาะขุนพลนี่เลยทีเดียว" เซี่ยวฉวินอดไม่ได้ที่จะกล่าวยกย่องออกมาอย่างจริงใจ

"ถูกต้อง ข้าไม่คิดว่านักศึกษาใหม่ที่เข้าเรียนในชั้นปีที่ 1 จะมีผู้ฝึกยุทธ์ระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 7 มากนักหรอก" เซี่ยวหยู กล่าวออกมาอย่างลึกซึ้ง

สายตาของซูหลี่พลันจ้องมายังหลิงเทียนก่อนที่จะกล่าวออกมา "สำหรับคนอื่นนั้นข้าไม่รู้ แต่ต้วนหลิงเทียนต้องอยู่ในระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 7 เป็นแน่... "

"เจ้ารู้ได้อย่างไร?" เทียนหูอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ

"เมื่อปีที่แล้ว เขามีระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 6!" ซูหลี่กล่าวออกมาเพิ่มเติม เขายังจดจำ ภาพเมื่อปีที่แล้วได้เป็นอย่างดี ในขณะที่เขาท้าต้วนหลิงเทียนสู้ หลังจากที่ผ่านการทดสอบค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะของกองกำลังโลหิตเหล็ก

ในตอนนั้นเขาก็คิดว่าตัวเขาที่สามารถตัดผ่านไปยังระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 5 ก็มากพอที่จะสามารถประลองกับต้วนหลิงเทียนได้อย่างไม่เสียเปรียบ แต่เขาคิดไม่ถึงเลยจริงๆ เลยว่าต้วนหลิงเทียนจะสามารถแสดงความแข็งแกร่งออกมาถึงขั้น พลังงานฟ้าดิน ตอบรับจนแสดงภาพช้างแมมมอธโบราณออกมา 8 ตัว เป็นอันบ่งบอกว่าเขาอยู่ในระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 6 ...และนั่นทำให้เขารู้สึกขมขื่นยากที่จะยอมรับได้ขึ้นมา

มีเพียงเซี่ยวหยูเท่านั้นที่ไม่ค่อยแปลกใจสักเท่าไรหลังจากได้ยินคำกล่าวของซูหลี่ แต่เทียนหู ,เซี่ยวฉวินล้วนหันไปมองต้วนหลิงเทียนอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ ...นี่เพราะพวกเขาประหลาดใจอย่างถึงขีดสุด

โดยเฉพาะเซี่ยวฉวินนั้นอดไม่ได้ที่จะตื่นตระหนกจนตาโต "ชายหนุ่มคนนี้มีชื่อแซ่ ราวกับเป็นคนของตระกูลต้วน ทั้งเขายังดูมีอายุเพียง 18 ปีเท่านั้น...แต่เขากลับบรรลุระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 6 ตั้งแต่ปีที่แล้ว"

แม้แต่ตระกูลราชวงศ์ หรือตระกูลใหญ่แห่งเมืองหลวง ยังไม่มีสัตว์ประหลาดที่มีความสามารถน่าหวาดหวั่นเช่นนี้ปรากฏตัวขึ้นมามากนักในช่วงหลายปีที่ผ่านมา! ความสามารถที่ราวกับสัตว์ประหลาดนี้ สามารถนำเปรียบเทียบกับสุดยอดอัจฉริยะแห่งสถาบันบ่มเพาะขุนพลที่เข้ามาเมื่อปีที่แล้วอย่าง ฉวีชิง ได้อย่างไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน

และฉวีชิงผู้นั้นก็เป็นผู้ที่ถูกสถาบันบ่มเพาะขุนพลให้การยอมรับว่า เป็นอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์สูงส่งที่สุดในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา

"ไอ้บัดซบ! เป็นเจ้านั่นเอง สารเลว!!" ทันใดนั้นเองร่างหนึ่งพลันพุ่งทะยานมาจากที่ไกลๆ พร้อมเสียงตะโกนดังลั่นที่เต็มไปด้วยโทสะและความอาฆาต

"หืม?" ต้วนหลิงเทียนที่จับสัมผัสจิตสังหารได้ก็หันไปมอง แล้วเขาก็พบคนคุ้นเคย ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นต้วนหรง ลูกพี่ลูกน้องของต้วนหลิงซิ่งนั่นเอง

ต้วนหรงก้าวเข้ามาด้วยความเร็วสูงก่อนที่จะมาหยุดยืนหน้าต้วนหลิงเทียนพร้อมจ้องตาเขม็ง "ในที่สุดข้าก็หาตัวเจ้าพบเสียที ไม่คิดเลยจริงๆว่าที่แท้เจ้าจะเป็นนักศึกษาของสถาบันบ่มเพาะขุนพลนี่เอง คราวนี้มาคอยดูกันว่าเจ้าจะไปหลบซ่อนที่ใดได้"

"หลบซ่อน?" ต้วนหลิงเทียนเพียงยิ้มอย่างไม่แยแส ก่อนที่จะกล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้มเย้ยหยัน "เจ้าบอกว่าข้าหลบซ่อนเจ้าหรือ? สำหรับคนที่พ่ายแพ้ข้าอย่างเจ้า...เจ้าจะสำคัญตัวผิดไปหรือเปล่า?"

ท่าทางของต้วนหรงแปรเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยว ก่อนที่จะตะโกนออกมาดังสนั่น "อย่าพล่ามมาก จะอย่างไรเจ้าต้องตาย!"

"งั้นหรือ แต่เจ้าเชื่อหรือไม่ ว่าข้าจะฆ่าเจ้าเสียตรงนี้ล่ะ!" แววตาของต้วนหลิงเทียนเปลี่ยนไป เมื่อเขาถูกต้วนหรงข่มขู่ จิตสังหารมหาศาลอันน่าหวาดหวั่นและพรั่นพรึงแผ่ซ่านทะลัก กดทับไปที่ต้วนหรง ก่อนที่ต้วนหลิงเทียนจะค่อยๆก้าวเดินไปใกล้ๆมันอย่างช้าๆ ตอนนี้ต้วนหรงนั้นไม่อาจขยับตัวได้ ร่างทั้งร่างของมันสั่นระริกไปด้วยความหวาดกลัว ใบหน้าของมันซีดเซียวราวกับหายใจไม่ออก...

"ต้วนหลิงเทียน เขาเป็นใครหรือเหตุใดจึงอาฆาตและตั้งตัวเป็นศัตรูกับเจ้าขนาดนั้นเล่า?" เซี่ยวหยูกล่าวถามออกมา

"ก็แค่พวกเสเพล ไร้ค่า" ต้วนหลิงเทียนเพียงยักไหล่อย่างไม่แยแส ก่อนที่จะเล่าเรื่องราวออกมา...

"หลานชายของร้องประมุขตระกูลต้วน?" ท่าทางของเซี่ยวหยูแข็งขึ้นเล็กน้อย หลังจากที่มาอยู่เมืองหลวงเขาเองก็ได้ทำความเข้าใจกับเหล่าตระกูลใหญ่และขุมอำนาจต่างๆ ในช่วงครึ่งเดือนที่ผ่านมา และนั่นทำให้เขารู้ดีว่าอำนาจของรองประมุขตระกูลต้วนนั้นเป็นอย่างไร

"ต้วนหลิงเทียน เจ้าต้องการความช่วยเหลือหรือไม่?" สายตาของซูหลี่เองก็ฉายแววอำมหิตออกมาเล็กน้อยในขณะที่จับจ้องไปยังต้วนหรง กระบี่ในมือของเขาดูท่าราวกับพร้อมพุ่งออกจากฝักไปบั่นคอผู้คนได้ตลอดเวลา

"ฮ่าๆ ไม่จำเป็นหรอก ก็แค่ตัวตลกตัวเดียวเท่านั้น" ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวเล็กน้อยก่อนที่จะเลิกสนใจต้วนหรง ถึงแม้ว่าคนที่อยู่เบืองหลังของต้วนหรงจะเป็นถึงรองประมุขของตระกูลต้วน ต้วนหรูเล่ยก็ตาม!

ถ้าหากว่าเขาหวาดกลัวล่ะก็ เขาคงไม่เดินเข้าสถาบันบ่มเพาะขุนพลนี้ด้วยรูปลักษณ์ที่แท้จริงตั้งแต่แรก เพราะตัวเขาก็รู้ดีว่าต้วนหรงเป็นนักศึกษาที่เข้ามาใหม่ในปีนี้ของสถาบันบ่มเพาะขุนพลแห่งนี้เช่นกัน

Copyright © 2019 spoilsoc.com All rights reserved.