spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
*ตั้งค่าถาวร (คลิกตั้งค่าถาวร) |
เจี้ยงเฉินผิดหวังที่ผู้อาวุโสเฟยไม่ได้อยู่ในเมืองหลวงแต่กลับหายตัวไปสักระยะแล้ว ไม่มีร่องรอยของผู้อาวุโสเฟยในหุบเขาชิงหยาง
"ชายชราคนนี้กำลังเล่นซ่อนหาอยู่กับข้ารึ" เจี้ยงเฉินรำพึงในใจ แต่เขาก็ยังเชื่อด้วยว่าแม้ว่าผู้อาวุโสเฟยจะมีฝีมือ เขาก็ไม่ใช่คนที่หนีออกจากภาระหน้าที่
ถ้าผู้อาวุโสเฟยเป็นคนแบบนั้น เจี้ยงเฉินคงจะไม่ให้สูตรโอสถกำเนิดวัฎจักรพิสุทธิ์แก่เขา เขาสังเกตผู้อาวุโสหลายครั้งและเขาก็ตรวจสอบจนแน่ใจก่อนที่จะให้สูตรนั้นแก่เขา
"ผู้อาวุโสคนนี้ทุ่มกายกับสูตรโอสถนี้เป็นเวลานาน แน่นอนเนื่องจากผลของมัน ในกรณีนี้ เขาอาจกำลังสาละวนจัดเก็บวัสดุเพื่อเตรียมการกลั่นยาเม็ดนี้? "
แม้ว่าผู้อาวุโสเฟยจะเดินทางไปที่อื่น แต่เขาก็สั่งการแก่สาวกเหล่านี้ไว้ว่าถ้าเจี้ยงเฉินเข้ามา พวกเขาจะต้องรับใช้เจี้ยงเฉินราวกับว่าพวกเขาให้บริการบรรพบุรุษของตัวเอง
เมื่อเจี้ยงเฉินมาถึง ทุกคนมีความกระตือรือร้นอย่างไม่น่าเชื่อ เจี้ยงเฉินมอบรายการของที่เขาเตรียมไว้ก่อนหน้านี้และวัตถุดิบทั้งหมดถูกจัดเตรียมในระยะเวลาสั้น ๆ โดยที่พวกเขาร่วมกันปฏิเสธที่จะรับเงินค่าสินค้า
ความกระตือรือร้นดังกล่าวทำให้เจี้ยงเฉินรู้สึกอายที่ได้ต่อว่าผู้อาวุโสเฟยก่อนหน้านี้
หลังจากเดินเอ้อระเหยสักพัก เจี้ยงเฉินไม่ต้องการเสียเวลากับฮานเคียนกี่ เขาจึงดื่มน้ำชาไปสองถ้วยก่อนที่จะเดินออกจากประตู
เทียนหลงกลับมาพร้อมกับน้องชายของเขา เหงื่อไหลท่วมหน้าผากทั้งสองคน
แม้ว่าเขาจะเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพ แต่การเดินทางกลับในระยะเวลาสั้น ๆ โดยใช้สองขายังคงเป็นสิ่งที่ยากมาก
ฮานเคียนกี่เป็นคนรักษาคำพูดและไม่ได้วางมาด
เขามองไปรอบ ๆ และสะบัดแขนเสื้อ และฝังเข็มไปยังจุดชีพจรที่ขาของน้องชายเทียนหลง จากนั้นเขาก็หยิบเข็มสีทองสองสามเล่มออกมาและแทงไปที่เส้นประสาทที่สำคัญต่าง ๆ ในร่างกายน้องชายของเขา
“อ๊า!" น้องชายของเทียนหลงร้องไห้ เลือดที่แข็งอยู่ในร่างกายกระเด็นออกมาจากปาก เลือดดำก็เริ่มไหลออกจากทวารทั้งเจ็ดของศีรษะ
"ได้แล้ว" ฮานเคียนกี่วางเข็มทอง "เจ้าพาเขามาที่นี่ทันกาล ถ้าเจ้ารออีกครึ่งปี แม้แต่พระเจ้าก็จะไม่สามารถช่วยเขาได้ "
"อืม ... เอาล่ะ?" เทียนหลงไม่มีเวลาตอบโต้ "การรักษาเสร็จแล้วรึ?"
"ถ้าเจ้าไม่เชื่อข้า ก็ไม่ต้องสนใจ" ฮานเคียนกี่วางมาดอีกครั้งในฐานะสาวกนิกาย
เทียนหลงยิ้มอย่างงุ่มง่าม เขาถือพฤกษาทมิฬไว้ในมือ เขาอยากให้มันเป็นรางวัล แต่ก็เป็นห่วงว่าเขากำลังทำสิ่งที่ไม่เหมาะสม เกิดอะไรขึ้นถ้าน้องชายของเขายังไม่หายขาด
เจี้ยงเฉินต้องการจะหัวเราะออกมาเมื่อเขาเห็นเทียนหลงลังเล
"เทียนหลง พาน้องชายของเจ้ากลับไปได้ อ้อ ก่อนอื่นให้ไปที่หุบเขาชิงหยางและขอรับโอสถบางอย่างที่จะเสริมสร้างร่างกาย มันไม่แพงนัก บอกพวกเขาว่าข้าส่งเจ้ามา "
คราวนี้เทียนหลงต้องใช้ชื่อของเจี้ยงเฉินอีกครั้งที่หุบเขาชิงหยาง
"ถ้าเจ้าต้องการให้น้องชายของเจ้าสามารถลุกขึ้นได้ เจ้าก็ยังต้องใช้โอสถที่จำเป็น ท่านฮานได้รักษาอาการอัมพาตแล้ว แต่ยังคงต้องรอการฟื้นตัว การใช้โอสถที่ดีจะช่วยให้เขาหายเร็วขึ้น "
เจี้ยงเฉินมีโอสถที่ดีจริง ๆ ใช้สำหรับผู้ผึกฝนที่ได้รับบาดเจ็บ ร่างกายของน้องชายของเทียนหลงจะไม่สามารถรับมือกับโอสถระดับสูงเช่นนี้ได้
เทียนหลงเชื่อเขาหมดใจ เขาถือพฤกษาทมิฬอยู่ในมือ ไม่แน่ใจว่าจะเสนอให้เจี้ยงเฉินหรือฮานเคียนกี่
เจี้ยงเฉินยิ้ม "ข้าเคยบอกว่าไม่มีค่าใช้จ่ายในการตรวจวินิจฉัย หากเจ้าลำบากใจที่จะเก็บมันไว้ทำไมไม่ขายมันให้กับหุบเขาชิงหยาง? พวกเขาจะให้ราคาที่ยุติธรรม"
ฮานเคียนกี่เป็นศิษย์อัจฉริยะของนิกาย เขาไม่ได้คิดว่าพฤกษาทมิฬมีค่าเลย ขยะไร้ประโยชน์ที่มีเพียงศิษย์พี่กวงที่พยายามขโมยอะไรแบบนั้น
สาวกนิกายจะอยากได้ของแบบนั้นไปทำอะไร?
การมองไปที่ใบหน้าที่แน่วแน่ของฮานเคียนกี่ทำให้เจี้ยงเฉินรู้สึกปวดหัว "แล้ว อืม ไปคุยกันเถอะ ข้าไม่มีความคิดเห็นเรื่องที่เจ้าอยากจะเป็นผู้ติดตามของข้า แต่เราจะพูดถึงเรื่องนี้ต่อเมื่อข้าเข้าสู่นิกายพฤกษาสวรรค์ เจ้าคิดว่าไง?"
"เจ้าต้องการที่จะเข้าไปในนิกายรึ?" ฮานเคียนกี่อึ้งก่อนที่จะมีความสุขที่สุด "แล้วเรากำลังรออะไรอยู่? ข้าจะแนะนำเจ้าเลยตอนนี้ "
"ยังไม่ถึงเวลา" เจี้ยงเฉินส่ายหัว คำแนะนำ เจี้ยงเฉินไม่อยากเข้าไปในนิกายโดยใช้อำนาจของคนอื่น นอกจากนี้เขาไม่ต้องการเริ่มต้นด้วยการเป็นศิษย์อันดับต่ำ เขาต้องการที่จะเข้าไปอย่างยิ่งใหญ่
นอกจากนี้เขาเพิ่งอาศัยอยู่ในราชอาณาจักรนภาจันทร์ได้ไม่นาน รากฐานของเขายังไม่มั่นคงและเขายังต้องหาตำแหน่งที่เหมาะสมสำหรับผู้ที่อยู่รอบตัวเขา
เห็นได้ชัดว่ายังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสมในการเข้าสู่นิกายพฤกษาสวรรค์
เขาไม่ต้องการให้คนอื่นคิดว่าเขาเข้าไปในนิกายได้เพราะเส้นสาย สินบน
เจี้ยงเฉินใช้เวลาและความพยายามอย่างมากในการโน้มน้าวฮานเคียนกี่ว่าเมื่อเขาเดินเข้าไปในนิกายพฤกษาสวรรค์ เขาจะทำตามคำพูดที่เขาพูดในวันนี้และยอมรับว่าเขาเป็นผู้ติดตาม
ดูเหมือนฮานเคียนกี่จะไม่ค่อยมีความสุข เจี้ยงเฉินจึงต้องสัญญาว่าจะให้ฮานเคียนกี่เข้าเยี่ยมเขาทุก ๆ สามเดือน
เจียงเฉินไม่เคยมีผู้ติดตามที่บังคับยัดเยียดเขามาก่อน ฮานเคียนกี่เป็นคนที่จะไม่หยุดนิ่งจนกว่าจะบรรลุเป้าหมาย
"ฮานเคียนกี่ได้แสดงให้ข้าเห็นอีกด้านของสาวกนิกาย" เจี้ยงเฉินถอนหายใจเบา ๆ สาวกเป็นพวกที่หยิ่ง หลงตัวเอง ดูถูกคนอื่น แต่ฮานเคียนกี่เป็นคนที่ไม่ย่อท้อและมีสติปัญญาที่เฉลียวฉลาด นี่ไม่ใช่สิ่งที่บุคคลทั่วไปสามารถวัดได้
สาวกนิกายไม่ได้ไร้ประโยชน์ทั้งหมด มันเป็นเพราะพวกเขามักจะแสดงด้านอันยิ่งใหญ่ของตัวเองและทำให้คนอื่นรู้สึกว่าสาวกทุกคนโอหัง
เพื่อจะได้เป็นสาวกนิกาย ทุกคนมีความพิเศษในตัวเอง
….
เมื่อเขากลับถึงบ้านเจี้ยงเฉินพบว่าเขามีแขกที่ไม่คาดฝัน ...
ด่านเฟย!
นางเป็นหลานสาวของท่านอาจารย์เย่แถมยังเป็นศิษย์รัก และเป็นผู้หญิงที่เจี้ยงเฉินกำลังกลัวมากที่สุดก็ได้มาหาเขา
นางมาเคาะประตู เขาไม่สามารถหันหลังและเดินออกไปได้ในขณะนี้ เขาบังคับให้ตัวเองเดินขึ้นไปและทักทายนางด้วยท่าทางที่ผิดปกติ "ดูซิว่าลมพัดใครมาถึงที่นี่! พี่ด่านเฟย อะไรนำท่านมาที่นี่? "
ด่านเฟยอารมณ์ดีในวันนี้ขณะที่นางสวมเสื้อคลุมสีเขียวอ่อน มีลักษณะคล้ายผลท้อที่น่ากิน นางดูสง่างามทำให้ผู้อื่นประทับใจมาก
กระโปรงรัดรูปของนางเผยให้เห็นเอวโค้งเว้าดูน่าหลงใหลยิ่งขึ้น กระโปรงเป็นคลื่นพริ้วไหวเหมือนสายน้ำ เสริมผิวหิมะสีขาวของนางให้ดูสง่าขึ้น และใบหน้าของนางก็ดูผุดผ่องน่ามอง
"เจี้ยงเฉิน,ข้าคิดว่าข้าต้องรอเจ้าอีกครึ่งวัน" ด่านเฟยวางถ้วยชาลงบนโต๊ะพร้อมกับรอยยิ้ม
เมื่อเห็นว่านางกำลังยิ้มอยู่ เจี้ยงเฉินรู้สึกว่านางไม่ได้มาเพื่อสอบปากคำเขา เกือบเดือนได้ผ่านไปแล้วตั้งแต่งานเลี้ยงวันเกิด คงไม่มีประโยชน์ที่จะเก็บความแค้นไว้
ถึงแม้ว่าเขาจะปฏิเสธความตั้งใจที่ดีของท่านอาจารย์ แต่เขาก็อธิบายเหตุผลของเขาด้วยเช่นกัน ถึงแม้ว่าเขาจะแต่งเรื่องเหตุผลเหล่านี้ขึ้นมา แต่เขาก็ยังปั่นหัวพวกเขาให้เชื่อคำพูดของเขาได้
"นายน้อย ท่านกลับมาแล้ว ด่านเฟยรอคอยท่านมานาน " โกวยู่วนั่งเป็นเพื่อนนาง แต่ก็ดูเหมือนว่าทั้งสองคนนี้มีคุณสมบัติที่สวยงามเหมือนกัน รูปร่างเหมือนกัน และร่างกายอันเย้ายวนใจเดียวกัน ทั้งสองถูกกำหนดไว้ว่าไม่ควรเป็นเพื่อนกัน
ทั้งสองยังคงนิ่งเงียบอยู่เป็นเวลานานในขณะที่มองไปที่อากาศที่ว่างเปล่า
อืมโกวยู่ว นั่งเป็นเพื่อนแขกไปก่อน ข้าเพิ่งกลับมาจากข้างนอกและเหนื่อยเหลือเกิน ข้าจะไปอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน " เจี้ยงเฉินหาโอกาสหนี
ด่านเฟยหัวเราะเบา ๆ และกล่าวอย่างสบายใจว่า "การคิดว่าเจี้ยงเฉินที่โด่งดังทั่วเมืองหลวงและไม่กลัวแม้แต่องค์ชายของอาณาจักร เขาจะกลัวที่จะได้เห็นข้า ผู้หญิงที่อ่อนแอ"
เจี้ยงเฉินยิ้มไม่แยแส ผู้หญิงคนนี้แสดงละครได้เก่งจริง ๆ แม้ว่าบนใบหน้าของนางจะไม่มีร่องรอยของความพยาบาทและความกลัว แต่คำพูดแปลก ๆ ของนางทำให้เขาไม่รู้จะเริ่มยังไง
โกวยู่วตอบว่า "ด่านเฟย นายน้อยเคารพเจ้า เขาไม่ได้กลัวเจ้า "
ด่านเฟยยิ้มสบายใจอีกครั้ง "ช่างเป็นสาวน้อยที่ซื่อสัตย์เสียจริง เจี้ยงเฉิน เจ้าเก็บภรรยาสาวสวยไว้ในบ้าน เจ้าช่างรู้สักวิธีหาความสุขได้ดีเสียจริง"
โกวยู่วปฏิเสธที่จะยอมรับว่านางด้อยกว่า "เจ้าเรียกใครว่าสาวน้อย ใครจะรู้ว่าผู้ใดอาวุโสกว่า? "
ด่านเฟยยิ้ม "อย่างน้อยข้าก็อายุมากกว่าเจ้า"
โกวยู่วยืดอกนางกล่าวว่า"ใครจะรู้ว่าใครเด็กกว่า ถ้าไม่เทียบกันให้เห็น"
คนที่ได้ยินคิดว่าสิ่งที่พวกเขากำลังพูดถึงคงกำลังหมายถึงอายุ ส่วนบางคนอาจคิดว่าพวกเขาเปรียบเทียบขนาดหน้าอกแทน เพราะเห็นท่าทางของโกวยู่ว
ผู้หญิงสองคนนี้มีบุคลิกที่แตกต่างกันอย่างมากมาย ความกระตือรือร้นของโกวยู่วโหมกระหน่ำคล้ายกับไฟ ขณะที่ความปราดเปรื่องของด่านเฟยเปล่งประกายด้วยความสง่างาม
คนหนึ่งคือดอกโบตั๋น ดอกไม้ที่เร่าร้อนมีดอกสีแดงบานสะพรั่ง และอีกคนเหมือนดอกแต้ฮวยสง่างามที่ยังคงเป็นมิตร
ผู้หญิงสองคนนี้ต่างก็สร้างสนามรบในห้องนั่งเล่น ด้วยการสู้รบที่ไม่เห็นแสงไฟของใบพัดหรือเงาของดาบ
"เอาล่ะ เอาล่ะ" ผู้หญิงทุกคนที่ชอบที่จะสู้รบรึ? " เจี้ยงเฉินรู้สึกท้อแท้ขณะที่เขาพุ่งลงนั่งบนเก้าอี้ "พี่ด่านเฟยพูดสิ่งที่เจ้าจะพูดและอย่ารังเกียจที่ข้าตัวเหม็นเต็มไปด้วยกลิ่นเหงื่อ"
ด่านเฟยยิ้มด้วยความพึงพอใจในขณะที่ริมฝีปากสีแดงขดตัวขึ้นเล็กน้อย ทำให้โกวยู่วรับรู้ถึงอำนาจที่นางมี
โกวยู่วหัวเราะอย่างเย็นชาและเดินตามหลังเจี้ยงเฉิน นางกล่าวว่า "นายน้อย ท่านเหนื่อยมามากแล้ว ให้ข้านวดไหล่ให้เถอะ "
เจี้ยงเฉินรู้ว่าหญิงสองคนนี้สู้กันอย่างจริงจัง ทั้งสองเผชิญหน้ากัน รอดูว่าใครจะชนะ
"เจี้ยงเฉิน,โอสถวารีนิรันดร์สี่ฤดูที่เจ้าให้ข้าครั้งก่อน มันดีมาก ข้าได้ยินมาว่าผู้อาวุโสหนิงแห่งวิหารทักษิณครามสวรรค์ดูอ่อนเยาว์เหมือนสาวยี่สิบหลังจากที่นางได้กินมัน แม่บ้านของเจ้ามีความประพฤติดี ทำไมเจ้าถึงไม่ยอมให้นางลองซักเม็ดล่ะ? " ด่านเฟยหัวเราะเบา ๆ ขณะที่นางถามคำถาม
โกวยู่วยิ้ม "ใครบอกว่าข้าไม่มี? นายท่านให้ข้าเยอะมาก ข้ามีมากพอที่จะใช้ตั้งแต่ตอนที่ข้าอายุสี่สิบปีไปจนสี่ร้อยปีเลยล่ะ "
ด่านเฟยรู้สึกหดหู่ใจที่การหย่อนระเบิดของนางไม่มีผลใด ๆ
เจี้ยงเฉินรีบเปลี่ยนหัวข้อเมื่อเขาเห็นสถานการณ์. "พี่ด่านเฟย มังกรฟีนิกซ์ห้าปีกของท่านอาจารย์เย่เป็นอย่างไรบ้าง?" เขาต้องการจะถามว่าได้ตัดอัณฑะของมันรึยัง แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่เรื่องที่ต้องถามต่อหน้าผู้หญิงสวยสองคน
"มันได้รับการดูแลและท่านอาจารย์เย่มีความสุขมาก เขาบอกให้ข้ามาพบเจ้าเพื่อชวนไปดื่ม ดูสิ เจ้าทำให้เขารอนานมาก เจ้าเป็นคนที่เลวร้ายจริง ๆ"
เจี้ยงเฉินไม่เชื่อว่าด่านเฟยมาที่นี่แค่เพื่อเชิญเขาไปดื่ม เขาถูจมูก. "คนสามัญไม่สามารถดื่มสุราของท่านอาจารย์ได้ พี่ด่านเฟยอย่าพยายามแกล้งโง่เลย โปรดพูดมาตรง ๆ "
ด่านเฟยยิ้มอย่างรวดเร็ว "ข้าจะบอกถ้าเจ้าให้สัญญากับข้าก่อน"
"ข้าสัญญาว่าข้าจะทำถ้าเป็นสิ่งที่ข้าทำได้ ข้าจะเห็นด้วยกับบางอย่างที่ข้าไม่สามารถทำได้ยังไง? เกิดอะไรขึ้นถ้าเจ้าบอกให้ข้าวิ่งเปลือยกายไปตามถนน ข้าจะไม่ทำอย่างแน่นอน " เจี้ยงเฉินเริ่มล้อเล่นกับนางด้วย
"ใครจะอยากให้เจ้าวิ่งเปลือย? เจ้าคนวิตถาร " ด่านเฟยขุ่นใจแต่นางไม่ได้โกรธจริงจัง "เจ้าได้ยินเกี่ยวกับเขาวงกตมฤตยูหรือไม่? ข้ามีที่ว่างถ้าเจ้าสนใจ? "
"อ่า ... " เจี้ยงเฉินพูดไม่ออก
"อะไร? เจ้าเพิ่งพูดว่าเจ้าจะทำหากมีความสามารถ แค่นี้ เจ้าทำไม่ได้รึ " ใบหน้าที่มีเสน่ห์ของด่านเฟยดูไม่ดีนัก