spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
*ตั้งค่าถาวร (คลิกตั้งค่าถาวร) |
หลังจากช่วงเวลาเพียงสั้นๆ ประกายตาของชายชราก็ส่องสว่างขึ้นมา "โอสถเลิศล้ำอะไรเช่นนี้ ... ความสามารถของมันเพียงแค่เริ่มหลอมละลาย ก็ช่วยบรรเทาอาการของข้าได้มากมายถึงเพียงนี้!! น้องชายต้วนหลิงเทียนนี่มันโอสถเลิศล้ำอันใดกันหรือ?"
"มันมีชื่อว่า โอสถกวาดจิตพิสุทธิ์" ต้วนหลิงเทียนเพียงยิ้มบางๆ พร้อมกล่าวตอบไป หลังจากนั้นต้วนหลิงเทียนก็ขอตัวลาชายชรา และเดินกลับเข้าไปในห้องโถงจวนเจ้าพระยากับนี่เหวี่ยและก็นี่เฝิน
"น้องชายหลิงเทียน บุญคุณครั้งนี้ข้ากล่าวขอบคุณเจ้าอย่างไรก็คงไม่สามารถเทียบกันได้ หากในอนาคตเจ้ามีข้อเรียกร้องหรือความต้องการอันใด ตราบใดที่มันยังอยู่ในอำนาจของจวนเจ้าพระยาแห่งนี้ที่สามารถกระทำได้ล่ะก็ ข้าจะกระทำมันโดยไม่กล่าวถามสักคำ!" พระยา นี่เหวี่ยมองไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาจริงจังก่อนจะกล่าวให้คำมั่นออกมา
"ท่านพระยา ท่านใจกว้างนัก" ต้วนหลิงเทียนเพียงยิ้มรับคำออกมาบางๆ เขามายังจวนเจ้าพระยาแห่งนี้เพื่อคำมั่นนี้ และเขารู้ดีว่าค่ำมั่นสัญญานี้มันมีค่ามากขนาดไหน
มันเปรียบได้ดั่งเส้นฟางช่วยชีวิตเขาในยามวิกฤตอย่างแท้จริง!
ถึงแม้เขาจะพึ่งเดินทางมายังเมืองหลวงได้เพียงเดือนเดียวแต่ทว่าตอนนี้ เขากลับสร้างศัตรูที่น่ากลัวเอาไว้แล้วถึง 2 คน ได้แก่ต้วนหรงจากตระกูลต้วน และองค์ชาย 5 แห่งเมืองหลวง
ถึงแม้ว่าหลิงเทียนจะไม่คิดใช้อำนาจของจวนเจ้าพระยาไปต่อกรกับพวกมัน แต่เขาก็จำเป็นต้องสร้างทางหนีทีไล่เอาไว้ ... ความสัมพันธ์กับจวนเจ้าพระยานั้นนับว่ามีราคาไม่น้อย เขาไม่คิดจะใช้คำมั่นนี้เพราะเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องเช่นนี้ หากไม่ไร้หนทางจริงๆเขาไม่คิดหยิบยืมมือผู้คนจากจวนเจ้าพระยา!
นี่เหวี่ยสั่งให้นี่เฝินเดินไปส่งหลิงเทียนด้วยตัวเอง
"น้องชายหลิงเทียน เจ้ารู้หรือไม่ ตลอดชั่วชีวิตของข้านี่เฝินนั้น หาได้ชื่นชมใครจากหัวใจง่ายๆ มีเพียงท่านปู่ และบิดาข้าเท่านั้นที่ข้าชื่นชมจากใจจริง แต่วันนี้ดูท่าของต้องเพิ่มน้องชายหลิงเทียนเอาไว้เป็นคนที่ 3 เสียแล้ว ...นี่เพราะเจ้าไม่เพียงเป็นอัจฉริยะที่สามารถเป็นผู้หลอมโอสถได้ตั้งแต่ 18 ปีเท่านั้น แต่เจ้ายังสามารถรักษาได้กระทั่งพิษของพังพอนทมิฬไร้ลักษณ์ที่แม้แต่ผู้หลอมโอสถระดับ 6 ยังได้แต่ส่ายหน้า " นี่เฝินอดที่จะถอนหายใจออกมาด้วยความทึ่งไม่ได้ แม้ตัวเขาเองก็นับได้ว่าหาใช่คนธรรมดาและอ่อนด้อยอะไรไม่ ในเมืองหลวงแห่งนี้เขาก็นับได้ว่าเป็นผู้เยาว์ที่สามารถตัดผ่านไปยังระดับกำเนิดแก่นแท้ได้รวดเร็ว รวมทั้งภูมิหลังของเขาก็ยิ่งใหญ่และน่าประทับใจไม่น้อย ตัวเขาเองก็นับได้ว่าเป็นที่น่าอิจฉามากมายของผู้คนในเมืองหลวงแล้ว แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นเขาเองยังอดไม่ได้ที่จะยกย่องชมเชยหลิงเทียนอย่างหมดใจ
เขานั้นย่อมรู้ดีว่าผู้หลอมโอสถอัจฉริยะอย่างหลิงเทียนนั้น อนาคตหาได้หยุดอยู่เพียงแค่อาณาจักรนภาล่องแห่งนี้ไม่ และในอนาคตไม่ช้าก็เร็วหลิงเทียนก็จะอยู่สูงจนเขาต้องแหงนมองขึ้นไป
"พระยาน้อย ความสามารถด้านวิชายุทธ์ของเจ้าเองก็หาได้อ่อนด้อยอะไรไม่" ต้วนหลิงเทียนยิ้มออกมา
ไม่นานนักนี่เฝินก็เดินมาส่งหลิงเทียนถึงประตูหน้า แล้วตอนนี้เองที่เหล่าทหารเฝ้าประตูหน้าทั้ง 4 ได้เห็นภาพ พระยาน้อยเดินมาส่งหลิงเทียนด้วยความเป็นกันเอง พวกเขาถึงกับตกใจจนเหงื่อตก "โชคดีนักที่พวกเราไม่ได้ล่วงเกิน ชายหนุ่มคนนั้น...หาไม่แล้ว พวกเราคงประสบกับหายนะ!"
"น้องชายหลิงเทียน หากในอนาคตเจ้ามีปัญหาอะไรในเมืองหลวงแห่งนี้ ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ตามอย่าได้ลังเลที่จะมาหาข้าล่ะ ข้าขอกล่าวได้เลยในเมืองหลวงแห่งนี้ มีเรื่องราวที่จวนเจ้าพระยาแห่งนี้ไม่อาจสะสางได้น้อยนิดยิ่งนัก !” ก่อนที่จะแยกย้ายกันไป นี่เฝินเองก็กล่าวให้คำมั่นนี้กับหลิงเทียนเช่นกัน
"เอาล่ะ หากข้ามีปัญหาอะไรขึ้นมารับรองข้าจะไม่เกรงใจแน่นอน" ต้วนหลิงเทียนเพียงตอบคำกลับด้วยความยิ้มแย้ม ก่อนที่จะเดินทางกลับ
หลังจากที่ยืนมองเงาหลังของหลิงเทียนจนหายไป นี่เฝินก็หันหลังกลับเข้าจวนเจ้าพระยาไป
ตอนนี้ทหารเฝ้าประตูทั้งสี่ได้แต่หันมามองหน้ากันเองด้วยความตื่นตระหนก
“พวกเจ้าเห็นหรือไม่ ว่าท่านพระยาน้อยให้ความสำคัญกับชายหนุ่มคนนั้นถึงเพียงไหน!”
"ด้วยคำมั่นสัญญานี้ของท่านพระยาน้อย ชายหนุ่มคนนั้นแทบจะสามารถกระทำเรื่องราวใดๆก็ตามในเมืองหลวงแห่งนี้ได้ตามใจชอบแล้ว"
"ที่ท่านพระยาน้อยมีทีท่าถึงเพียงนี้ หรือว่าชายหนุ่มคนนั้นจะสามารถรักษาท่านเจ้าพระยาได้ !?"
...
หลังจากออกเดินทางจากจวนเจ้าพระยา ต้วนหลิงเทียนก็เดินดูสิ่งของในเมืองก่อนเล็กน้อย หลังจากนั้นจึงเดินทางกลับบ้านพักของเขา และเมื่อกลับมาถึงบ้านแน่นอนสิ่งแรกที่เขาทำก็คือไปล้างหน้าเอาเครื่องประทินโฉมที่ตกแต่งใบหน้าอยู่ออกจนหมด คิ้วคมเข้มแลดูดุดันราวกับดาบชั้นเลิศ และใบหน้าหล่อเหลากลับคืนมาอีกครั้ง
"ฮ่าๆ แม้แต่ข้าเองยังไม่คิดเลยว่าออกไปเพียงครึ่งวัน จะมีโชคกลับมามากมายถึงเพียงนี้" ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงวันแล้ว เมื่อได้กกลิ่นอาหารโชยออกมาจากห้องครัวหลิงเทียนก็แย้มยิ้มด้วยความพึงพอใจ...
เงิน 5,000,000 เหรียญเงินก็นับว่ามีมูลค่าไม่น้อย แต่คำสัญญาจากจวนเจ้าพระยา นั้นไม่อาจประเมินมูลค่าได้
หลังจากที่เดินผ่านลานกว้างด้านหน้าผ่านอาคารหลักแล้วเดินเข้าไปยังอาคารด้านหลัง หลิงเทียนก็หันมองหามาดาของเขา ลานด้านหลังนั้นเมื่อเทียบกับด้านหน้าแล้วกว้างขวางกว่ากันมากนักไม่นานหลิงเทียนก็ร่างสตรีที่งดงาม 2 คนกำลังร่ายรำกระบี่ฝึกฝนกันอยู่...
ต้วนหลิงเทียนเดินเข้าไปหา ก่อนที่จะกล่าวทักทายกับผู้ที่นั่งเก้าอี้ชมดูสตรีสองคนร่ายรำกระบี่อยู่ "ท่านแม่"
"ลูกเทียน เจ้ากลับมาแล้ว?" ลี่หลัวกระพริบดวงตาคู่งามก่อนที่จะกล่าวถามออกมาอย่างอ่อนโยน
ชีวิตในแต่ละวันของนางยามนี้นับว่าสะดวกสบายและไร้ความทุกข์ร้อนใดๆ ราวกับเป็นช่วงชีวิตในยามที่สามีของนางยังคงอยู่ดูแล ทว่าตอนนี้กลับเป็นลูกชายของนางที่เติบใหญ่และเข้มแข็งขึ้นจนดูแลนางได้ดีขนาดนี้แล้ว เพียงได้เห็นบุตรชายมีความสามารถมากมายขนาดนี้หัวใจของนางก็ไม่ต้องการอะไรอื่นอีกแล้ว...
"กลับมาได้สักพักแล้วท่านแม่" ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับก่อนที่จะนั่งลง แล้วนั่งมองสองสาวที่กำลังตั้งใจฝึกวิชากันอยู่...
"ลูกเทียนไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม เจ้าห้ามทอดทิ้งพวกนางเด็ดขาดไม่งั้นแม่จะไม่ยกโทษให้เจ้า!" อยู่ๆลี่หลัวก็กล่าวออกมาอย่างกะทันหันด้วยน้ำเสียงจริงจัง
"ท่านแม่ อย่าได้กังวลเรื่องนี้เลย ข้าไม่มีวันทำเช่นนั้นหรอก"ต้วนหลิงเทียนเพียงส่ายหัวและหัวเราะออกมาอย่างขื่นขม แม่ของเขากังวลในเรื่องนี้มากเกินไป สตรีสองคนนั้นเรียกได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเขา จนยากที่จะแยกจากไปแล้ว เขาจะทอดทิ้งพวกนางลงได้อย่างไรกัน
เวลาไหลผ่านไปราวกับติดปีกบิน เพียงพริบตา 2 เดือนได้ผ่านพ้นไป
"เหลืออีกแค่นิดเดียวเท่านั้น" ต้วนหลิงเทียนที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง ค่อยๆลืมตาออกมา
นับตั้งแต่เขากลับมาจากจวนเจ้าพระยานั้น เขาไม่ได้ออกจากเขตที่พักไปไหนแม้แต่ก้าวเดียว และนอกจากเวลาที่ใช้ในการอยู่กับแม่และสตรีทั้ง 2 คนแล้ว หลิงเทียนทุ่มเทเวลาไปกับการบ่มเพาะอย่างจริงจัง จนตอนนี้เหลืออีกเพียงแค่นิดเดียวเขาก็จะสามารถตัดผ่านไปยังระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 5 ได้แล้ว
“ไม่เป็นไร ข้าก็ค่อยๆบ่มเพาะไปตามปกติ... ตอนนี้ได้เวลาไปรายงานตัวที่สถาบันบ่มเพาะขุนพลแล้ว” คิ้วของหลิงเทียนขมวดขึ้นเล็กน้อยก่อนที่จะลุกออกจากเตียง
ต้วนหลิงเทียนไม่ได้พาสตรีทั้งสองไปยังสถาบันบ่มเพาะขุนพลแต่อย่างไร เขาเพียงพาฉงเฉวียนกับเสี่ยเฮยออกไปเท่านั้น เขาไม่จำเป็นต้องรีบร้อนอะไรมากมาย นี่เพราะว่าเพียงแค่เขาเดินออกจากบ้านไปไม่ไกลเขาก็ถึงสถาบันบ่มเพาะขุนพลแล้ว มันใกล้กันอย่างยิ่งจนไม่กี่ลมหายใจเขาก็เดินมาถึงประตูสถาบันบ่มเพาะขุนพลแล้ว
ตอนนี้ที่ประตูหน้าของสถาบันบ่มเพาะขุนพลนับว่าครึกครื้นนัก มีชายหนุ่มบางคนที่แลดูจะเหน็ดเหนื่อยจากการเร่งรีบเดินทางมาไม่น้อย ดูเหมือนพวกมันจะถึงมาถึงเมืองหลวงสดๆร้อนๆ หากพวกมันมาถึงที่นี่ช้าไปเพียงไม่กี่วันเกรงว่าพวกมันคงพลาดโอกาสที่จะเข้าร่ำเรียนในสถาบันบ่มเพาะขุนพลแห่งนี้แล้ว ต่อให้มันมีคุณสมบัติก็ตาม เพราะพวกมันพลาดช่วงเวลาในการลงทะเบียนจนเสียสิทธิ์นั้นไป
"เอ ข้าสงสัยว่าเซี่ยวหยูจะมาถึงแล้วหรือยัง" คิ้วของหลิงเทียนยักขึ้นเล็กน้อยในขณะที่คิดถึงสหาย ไม่นานเขาก็เดินตามผู้คนเข้ามาถึงประตูหลักและเริ่มต้นลงทะเบียนให้ตัวเอง
ผู้รับผิดชอบในการลงทะเบียนเป็นชายวัยกลางคน เขาทำเพียงเหลือบมองหลิงเทียนครู่หนึ่งเท่านั้นก่อนที่จะกล่าวออกมา “เอกสารรับรองคุณสมบัติ”
ต้วนหลิงเทียนก็หยิบเอกสารรับรองออกมาแล้วยื่นให้แก่เจ้าหน้าที่
"หืม เจ้ามาจากค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะของกองกำลังโลหิตเหล็ก?" ชายวัยกลางคนที่จ้องมองเอกสารการรับรองอยู่ รู้สึกประหลาดใจไม่น้อย
ค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะของกองกำลังโลหิตเหล็ก? เมื่อได้ยินคำกล่าวของชายที่ทำหน้าที่ลงทะเบียน ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านหลังหลิงเทียนไป 2-3 ช่วงตัวถึงกับพูดไม่ออก
"ข้าได้ยินมาว่าปีนี้มีผู้ผ่านการทดสอบจากค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะของกองกำลังโลหิตเหล็ก จนได้รับคุณสมบัติในการเข้าศึกษาที่สถาบันบ่มเพาะขุนพลแห่งนี้เพียงแค่ 7 คนเท่านั้น"
"ข้าเองก็เคยได้ยินคำร่ำลือมาไม่น้อยถึงเรื่องค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะของกองกำลังโลหิตเหล็ก นับว่ามันเป็นสถานที่ๆมีชื่อเสียงมากที่สุดใน 18 มณฑล เนื่องจากระดับความยากในการผ่านเกณฑ์ของที่นี่นั้นสูงมาก ชายผู้หนุ่มผู้นั้นเห็นได้ชัดว่าความสามารถหาได้ธรรมดาไม่เพราะมันผ่านการฝึกฝนจากที่นั่นมาได้"
“ข้าก็ว่าอย่างนั้น ถึงแม้จะเป็นข้าเองที่มาจากมณฑลผานางแอ่นเหิน ข้ายังไม่กล้าไปเข้าร่วมค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะของกองกำลังโลหิตเลย เพราะข้ารู้ตัวดีว่าข้าไม่อาจผ่านได้อย่างแน่นอน”
...
บทสนทนาเซ็งแซ่จากกลุ่มเยาวชนรอบๆทำให้มุมปากของหลิงเทียนกระตุกไปเล็กน้อย ดูเหมือนว่าค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะของกองกำลังโลหิตเหล็กนี้จะมีชื่อเสียงโด่งดังไม่น้อย ผู้คนถึงได้แตกตื่นกันขนาดนี้ ?
"ต้วนหลิงเทียน ชื่อนี้ดูเหมือนจะเป็นเยาวชนที่มาจากสายตระกูลหลักของตระกูลต้วน... " หลังจากเปรียบเทียบเอกสารรับรองกับข้อมูลที่มีอยู่ในมือครู่หนึ่งชายวัยกลางคนก็คิดเรื่องราวบางอย่างอยู่ในใจ แต่เขาก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกมาอีก
ในความเห็นของเขา หากชายหนุ่มตรงหน้าเป็นคนของตระกูลต้วนจริงๆ ในเมื่อมันมีความสามารถสูงพอที่จะผ่านค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะของกองกำลังโลหิตเหล็กมาได้ ตระกูลต้วนคงส่งชื่อหรือ นำสิทธิ์เข้าศึกษามอบให้มันไปแต่แรกนานแล้ว คงไม่ส่งมันไปเสี่ยงชีวิตอะไรเช่นนี้
ตุบ!
ชายวัยกลางคนประทับตรารับรองว่าเอกสารนี้ถูกต้อง ก่อนที่จะกล่าวกับหลิงเทียน "เอาล่ะคราวนี้หากเจ้าต้องการติดต่อที่พักภายใสถาบันเจ้าก็เดินไปหา อาจารย์ทางด้านนั้นเขาจะเป็นผู้แนะนำให้เจ้าเอง เจ้าสามารถไปทำข้อตกลงกับเขาได้ ส่วนหากไม่ต้องการพักในสถาบัน ก็ไม่มีอันใดแล้ว เจ้าสามารถกลับบ้านได้เลย แล้วก็อย่าลืมไปอ่านคู่มือของสถาบันแห่งนี้มาให้ดี.... แล้วอีก 5 วันก็จะเป็นวันเปิดเรียนวันแรก เจ้าอย่าได้ลืมที่จะเอาเอกสารรับรองนี้มาด้วย "
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับคำก่อนที่จะเก็บเอกสารกลับมาแล้วเดินทางกลับพร้อมฉงเฉวียน
พักในสถาบันงั้นหรือ? เขาไม่ได้ต้องการสักนิด บ้านเขาแทบจะติดกับสถาบันอยู่แล้ว มันตั้งอยู่ทางใต้ของสถาบันแห่งนี้นี่เอง
....
ตอนนี้ภายในบ้านหลังหนึ่งบริเวณทิศเหนือของสถาบันบ่มเพาะขุนพล มีชายหนุ่ม 2 คนกำลังนั่งสนทนากันอยู่ หนึ่งในนั้นมีสีหน้าทีเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
"พี่ชาย นี่มันเป็นเวลากว่า 3 เดือนแล้วนะ คนของท่านลุงยังไม่เจอตัวมันอีกหรือ !" ต้วนหรงกล่าวออกมาด้วยโทสะ ใบหน้าของเขาแลดูจะอาฆาตแค้นหลิงเทียนไม่น้อย ทุกครั้งที่เขาคิดถึงเรื่องเมื่อ 3 เดือนก่อนโทสะอารมณ์ของเขาจะพลุ่งพล่านยากระงับลงได้ทุกที
ชายหนุ่มในชุดสีม่วงที่ทำลายแขนเขาเขาจนแหลกละเอียดด้วยดัชนีเดียวนั่น แทบจะเป็นมารใจของเขาไปแล้ว ถึงแม้ว่าอาการบาดเจ็บของเขาจะสามารถเยียวยารักษาได้จนเกือบจะหายดี แต่จะอย่างไรมันก็นับว่ามีผลกระทบไม่น้อย ตอนนี้ยามเขาใช้กำลังหรือวิชาต่อสู้ มันจะด้อยประสิทธิภาพลงไปถึง 20% ...
"นี่มันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เจ้าให้ข้อมูลมาน้อยเกินไป ชายหนุ่มสวมชุดสีม่วงกับชายวัยกลางคนสวมหน้ากาก ... ในเมืองหลวงนั้นเอาแค่เรื่องนี้เพียงแค่เดินออกไปไม่นานก็พบเต็มไปหมดแล้ว" ชายหนุ่มอีกคนส่ายหัว
“ท่านพี่ ไม่ใช่ว่าท่านเองก็พอมีความสัมพันธ์กับองค์ชาย 5 หรอกหรือ ร้านที่ค้าขายบ้านนั่น มันเป็นของตระกูลราชวงศ์ ที่ตระกูลต้วนเราไม่สามารถไปรีดเค้นข้อมูลอะไรได้ แต่หากองค์ชาย 5 เป็นผู้ต้องการหาข้อมูลมันก็น่าจะเป็นเรื่องที่ง่ายดายไม่ใช่หรือไร?” ต้วนหลงกล่าวออกมาเมื่อคิดได้ ดวงตาเขาทอประกายออกมาวูบหนึ่ง
ชายหนุ่มอีกคนเพียงหัวเราะออกมาเล็กน้อย "งั้นเจ้าอย่าลืมกล่าวเตือนข้าอีกครั้ง หากข้าไปพบองค์ชาย 5"
เขาและองค์ชาย 5 นั้นได้พบกันเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น จึงกล่าวได้ว่าไม่ใช่คนที่มีความสัมพันธ์กันสักเท่าไร แม้ว่าเขาจะเป็นบุตรชายคนเดียวของ ผู้อาวุโสรอง ที่มีอีกสถานะเป็นถึงรองประมุขตระกูล เขาก็ไม่ได้เจอองค์ชาย 5 บ่อยนัก
ภายในอาณาจักรนภาล่องแห่งนี้กล่าวได้ว่ามีองค์ชายมากกว่า 10 คน และนอกจากวังหลวงแล้ว พวกเขาก็มักมีพื้นที่เป็นของตนเองและ แต่ละคนก็มักจะอยู่ในเขตของตัวเองไม่ค่อยออกไปไหนบ่อยนัก
ณ วังขององค์ชาย 5
"ท่านพี่เจ้าคะ ! นี่มันก็ผ่านไปแล้ว 3 เดือนนะเจ้าคะยังไม่มีข่าวของมันอีกหรือ?" ถงลี่ที่อยู่ในชุดแดงเต็มไปด้วยความหงุดหงิด ตอนนี้นางรู้สึกหงุดหงิดอย่างมาก
"น้องลี่ คนที่เจ้าบอกนั้นข้าก็ส่งคนไปตามหาอย่างละเอียดแล้ว แต่มันก็ยากเย็นนัก เจ้าไม่รู้ชื่อของมัน ไมรู้ว่ามันมีพื้นเพอย่างไร อีกทั้งไม่รู้ว่ามันมาทำอะไรที่เมืองหลวง การตามหาจึงค่อนข้างยากลำบากมากนัก อีกทั้งพวกเราเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันจากเมืองหลวงไปแล้วหรือยัง " องค์ชาย 5 กล่าวออกมาพร้อมส่ายหัว เขาทำได้เพียงยิ้มปลอบใจน้องสาวคนนี้ เท่านั้น ...รอยยิ้มของเขานั้นช่างอบอุ่นเหมือนลมแรกฤดูใบไม้ผลิ นำพาให้ผู้คนโล่งสบายขึ้นมา
"แล้วจะทำอย่างไรดีล่ะเจ้าคะ น้องไม่ยอมปล่อยมือจากเรื่องนี้นะเจ้าคะ?" ใบหน้าของถงลี่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ
"แน่นอนว่าพวกเราไม่ได้คิดรามือ แต่ยามนี้พวกเราก็ไม่มีเบาะแสเลยนี่นา? ในอนาคตหากเราได้เบาะแสอะไรมาบ้าง พี่ชายคนนี้จะช่วยลากมันมาให้เจ้าลงโทษทันทีเลยดีหรือไม่? " กล่าวจบองค์ชาย 5 ก็รีบกล่าวเปลี่ยนเรื่องทันที “น้องลี่ อีก 5 วันสถาบันบ่มเพาะขุนพลก็เปิดแล้ว ตัวเจ้าคิดที่จะอยู่ฝ่ายไหนกันหรือ ระหว่างขุนพล หรือ กุนซือ?”