spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
*ตั้งค่าถาวร (คลิกตั้งค่าถาวร) |
กล่าวได้ว่าท่านอาจารย์มีเป็นประโยชน์มากกว่ากฎหมายหลักของอาณาจักร
เซี่ยวชานและเซี่ยวชวนถูกนำตัวมาหลังจากนั้นไม่นาน ทั้งสองได้รับความทุกข์ทรมานอย่างมากในคุกมืด สภาพของทั้งสองเเย่มาก เสื้อผ้าขาดกระจุยกระจาย
เทียนโชก้าวออกมาข้างหน้า "องค์ชายสี่ น้องเจี้ยง ปล่อยให้ข้าพาพี่น้องเซี่ยวกลับไปเอง"
ภารกิจของเขาเสร็จสมบูรณ์แล้ว และถึงเวลาแล้วที่จะก้าวออกไปและลดภาระบางส่วนของเจี้ยงเฉิน
"เอาล่ะ แม่ทัพเทียน เราต้องขอรบกวนเจ้าด้วย" เย่หลงพยักหน้า
เซี่ยวชานและเซี่ยวชวนรู้ว่าพวกเขาทำผิดและไม่กล้าสบตาเจี้ยงเฉิน เจี้ยงเฉินเดินผ่านพวกเขาและตบไหล่และพูดว่า "เราค่อยคุยกันทีหลัง"
องค์ชายใหญ่เย่ดายต้องพ่ายแพ้ในทั้งสองรายการ เขาอับอายขายหน้าเพราะเย่หลง จนทำให้เขาไม่อยากจะอยู่ร่วมงานอีกต่อไป
ตอนนี้เจียงเฉินได้ช่วยพี่น้องตระกูลเซี่ยวแล้ว แผนการก่อนหน้านี้ในการใช้สองพี่น้องเพื่อกระตุ้นให้เจี้ยงเฉินเข้าร่วมการสาธิตการต่อสู้ทางทหารก็พังไม่เป็นท่า
สิ่งที่น่าสนใจที่สุดก็คือท่านอาจารย์ให้ด่านเฟยประกาศว่า "จะไม่มีการสาธิตการต่อสู้ในงานเลี้ยงปีนี้ ทุกคนดื่มและทำตัวกันตามสบายได้ "
หลังจากคำประกาศ ท่านอาจารย์หยิบคนโทสุราน้ำค้างเก้าแดนสรวง นำตัวมังกรฟินิกซ์ห้าปีกออกไปพักผ่อน ทิ้งกลุ่มเยาวชนให้ซุบซิบกัน
พวกเขาต้องการที่จะแสดงความกล้าหาญในการสาธิตการต่อสู้ทางทหาร และอาจดึงดูดความสนใจของท่านอาจารย์ ถ้าพวกเขาแสดงได้ดีด้วยทักษะพิเศษ
พี่สาวด่านเฟย มีอะไรผิดปกติกับท่านอาจารย์ในวันนี้? มีการสาธิตการต่อสู้ทางทหารอยู่เสมอทุกปี เหตุใดจึงยกเลิกในปีนี้อย่างกะทันหัน? "
เย่ดายรู้สึกประหลาดใจ เขาได้นำผู้ฝึกปราณจิตวิญญาณหลายคนเข้ามาร่วมงานและคิดว่าเขาจะสามารถแสดงความสามารถในส่วนของการสาธิตการต่อสู้ได้
แม้ว่าเขาจะเสียหน้าในสองส่วนก่อนหน้านี้ เขาก็เคยคิดถึงเรื่องนี้และยังคงหวังว่าจะได้มีโอกาสเอาคืนเจี้ยงเฉิน
เขาไม่ได้คาดว่ามันจะจบลง ราวกับว่าท่านอาจารย์สัมผัสได้ถึงเจตนาของเขาและจึงยกเลิกการสาธิตทันที
ด่านเฟยยิ้มอย่างอ่อนโยน "ท่านอาจารย์ได้สำรวจความคืบหน้าของการพัฒนาเต๋าการต่อสู้ของทุกคนแล้วตั้งแต่ตอนที่เขาเดินเข้ามา ตอนนี้ ไม่ว่าเราจะมีการสาธิตการต่อสู้ทางทหารหรือไม่ ก็ไม่มีความหมายอะไรกับท่านอาจารย์ "
นางพูดเสียงห้วนว่า "ศิลปะการต่อสู้แห่งเต๋าของพวกเจ้าไม่เพียงพอที่จะสร้างความประหลาดใจให้กับท่านอาจารย์ ไม่จำเป็นต้องมีการสาธิตการต่อสู้เลย "
ในช่วงที่ท่านอาจารย์เย่เดินเข้ามา เขาใช้เสียงฝีเท้าของเขาเพื่อรบกวนการเต้นของหัวใจของแขกที่มาร่วมงาน นอกเหนือจากเจี้ยงเฉินแล้ว ท่านอาจารย์ได้ประเมินการฝึกศิลปะการต่อสู้แห่งเต๋าของทุกคน
เย่ดายรู้สึกผิดหวังอีกครั้งที่ได้เห็นด่านเฟยมีปฏิกิริยาที่เย็นชา
แม้แต่การสาธิตการต่อสู้ก็ถูกยกเลิก นั่นหมายความว่าเขา เย่ดาย ไม่มีโอกาสที่จะแก้ตัวในงานเลี้ยงวันเกิดนี้ เขาล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง
หลังจากนั้น ทุกคนก็เริ่มดื่มและกินอาหาร
ในฐานะองค์ชายใหญ่ เขาไม่ได้สนใจกับเรื่องอาหารการกินเลย ?
ยิ่งไปกว่านั้นทุกคนในงานเลี้ยงต่างพูดคุยกันถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ พวกเขาดูตื่นเต้นกับสิ่งที่เจี้ยงเฉินทำ
เห็นได้ชัดว่าจุดสนใจของงานเลี้ยงกลายเป็นเจี้ยงเฉิน
แม้แต่องค์ชายสี่เย่หลงยังเป็นที่พูดถึงมากกว่าองค์ชายใหญ่เสียอีก
ถึงเย่ดายจะหน้าหนามากแค่ไหน แต่เขาไม่สามารถทนนั่งฟังอยู่ต่อไปได้ ราวกับว่าเขาอยู่ในที่ประชุมทางธุรกิจ เขาดื่มสุราและเดินจากไป
แม้ว่าเจี้ยงเฉินอยากจะกลับ แต่เขาก็ต้องรักษาหน้าของเย่หลงในฐานะแขก เย่หลงได้รับผลตอบแทนที่ดีมากในวันนี้ แต่ถ้าเจี้ยงเฉินกลับตอนนี้ รางวัลของเขาจะลดลงครึ่งหนึ่ง
เมื่องานเลี้ยงวันเกิดใกล้ถึงจุดจบ ด่านเฟยเดินไปยังเจี้ยงเฉิน เขาได้กลิ่นหอมจาง ๆ จากตัวนาง ขณะที่นางเอนตัวลงไปที่หูของเจี้ยงเฉิน จมูกอันเย้ายวนเกือบจะแตะใบหูของเจี้ยงเฉินขณะที่ริมฝีปากบางเบาของนางเป่าลมหายใจออกมาเหมือนกลิ่นกล้วยไม้ "อย่าเพิ่งรีบกลับ ท่านอาจารย์ต้องการจะพบเจ้าโดยเฉพาะ "
เช่นเดียวกับที่เจี้ยงเฉินกำลังยกศีรษะด้วยความตกใจ รอยยิ้มแผ่กระจายไปทั่วใบหน้าที่งดงามขณะที่นางหันไปทางซ้าย
เย่หลงไม่มีข้อสงสัยใด ๆ เขาตบไหล่เจี้ยงเฉิน "น้องเจี้ยง ท่านอาจารย์ไม่ค่อยให้เด็กรุ่นใหม่เข้าพบบ่อยนัก ในเมื่อมีโอกาสอยู่ในมือ เจ้าควรรีบคว้ามันไว้ "
แทนที่เจี้ยงเฉินจะขอเป็นศิษย์ของเย่ชองหลิว เขากลับช่วยผู้ติดตามทั้งสอง เย่หลงรู้สึกว่ามันน่าเสียดาย
เจี้ยงเฉินควรขอให้ท่านอาจารย์รับเขาเป็นศิษย์ เมื่อเขากลายเป็นลูกศิษย์ที่สูงส่ง เขาอาจช่วยผู้ติดตามทีหลังก็ไม่มีใครค้าน
แม้แต่คนที่หยิ่งในศักดิ์ศรีอย่างหลินเฉียนลี้ยังรู้สึกเสียดายไม่ต้องเอ่ยถึงเย่หลง ก่อนที่เขาจะจากไป เขาเรียบเรียงคำพูดอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะพูดว่า "เจี้ยงเฉิน ข้าคิดผิดไป ต้องยกความดีความชอบให้กับเจ้าที่อนุญาตให้ข้าเอาชนะอุปสรรคในการเรียนรู้เกี่ยวกับการต่อสู้และการบรรลุเป้าหมายในการพัฒนาทักษะการต่อสู้แห่งเต๋า ข้าจะไม่ทำให้เจ้าเสียเวลาโดยการกล่าวขอบคุณซ้ำไปซ้ำมา ข้าจะถือว่าเจ้าเป็นพี่ชาย และในฐานะพี่น้อง ข้าอยากจะเตือนเจ้าว่าท่านอาจารย์อยากได้เจ้าเป็นศิษย์ เจ้าจะต้องให้ความสำคัญกับโอกาสนี้ "
หลินเฉียนลี้รู้สึกว่าท่านอาจารย์ขอให้เจี้ยงเฉินอยู่ต่อเพราะอยากจะให้เจี้ยงเฉินมาเป็นศิษย์
เจี้ยงเฉินยิ้มและไม่ตอบ
ให้เป็นศิษย์รึ?
เจี้ยงเฉินไม่มีความคิดเรื่องนี้จริง ๆ ถึงแม้ว่าเขาจะเคารพท่านอาจารย์ แต่ท่านอาจารย์ไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นอาจารย์ของเขา
เมื่อแขกทุกคนออกไป ด่านเฟยก็ส่งยิ้มกว้างให้เขา "ไปกันเถอะ"
ผู้หญิงคนนี้มีท่าทางที่ดึงดูดความสนใจของผู้คน ไม่ว่านางจะหัวเราะหรือถอนหายใจ เจี้ยงเฉินส่ายหัวด้วยรอยยิ้ม แม้แต่การดูเฉพาะส่วนหลังของนางก็เพียงพอที่จะทำให้ชายหนุ่มฝันกลางวันอันนับไม่ถ้วน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าชายหนุ่มทั้งหลายต่างมีน้ำลายที่ไหลหยดยาวไป 3 เชียะเมื่อจ้องมองดูนาง ผู้หญิงคนนี้มีสิทธิ์ที่จะมีความภาคภูมิใจในตัวเอง
พวกเขาเดินผ่านลานหน้าบ้านมาถึงสนามหลังบ้านของท่านอาจารย์
การตกแต่งของสนามหลังบ้านนั้นไม่ได้หรูหรามากมาย มันร่มรื่นและสบายตา
"ฮ่าฮ่า เจี้ยงเฉิน เข้ามาสิ มา มานั่ง " เย่ชองหลิวไม่ได้วางตัวเหมือนตัวเองเป็นเทพวิญญาณอีกต่อไป เขาเป็นเหมือนปู่ข้างบ้านที่น่ารักและมีไมตรี
เจี้ยงเฉินไม่ได้นั่งบนแท่น เขาดึงเก้าอี้ที่ถักจากไม้ไผ่และนั่งลง
"ท่านอาจารย์เย่ มันจะดีมากหากท่านรีบตัดอัณฑะมังกรฟินิกซ์ มิฉะนั้นเมื่อพลังหยางถึงระดับหนึ่งและสร้างความเสียหายให้กับเส้นชีพจร มันจะมีศักยภาพในการบ่มเพาะน้อยลง "
เจี้ยงเฉินไม่ได้สนใจที่จะเป็นศิษย์ เขาค่อนข้างเคารพบุคลิกภาพและความประพฤติของท่านอาจารย์ เขาพูดกับท่านอาจารย์เหมือนสหายคนหนึ่ง
"เจี้ยงเฉิน,ทิ้งประเด็นเรื่องมังกรฟินิกซ์ไปก่อน เจ้ารู้ไหมว่าทำไมข้าถึงเรียกเจ้ามาที่นี่? "
เจี้ยงเฉินมองไปที่ท่านอาจารย์แล้วเผยรอยยิ้ม เขาไม่รู้จะตอบยังไง
ท่านอาจารย์มองดูเจี้ยงเฉินแล้วเขาก็ถอนหายใจ เขาพยายามพูดเป็นนัยน์ครั้งที่สองให้เจี้ยงเฉินพูดขอให้เขายอมรับเป็นศิษย์
เขามีสถานะใหญ่โตขั้นนี้ จึงทำให้เขาไม่สามารถพูดเรื่องนี้ด้วยตนเองได้ ถ้าเจี้ยงเฉินเกิดปฏิเสธเขา เขาก็จะเสียหน้าในฐานะที่เป็นผู้พิทักษ์เทพวิญญาณของราชอาณาจักร
การให้คำใบ้ถึงขั้นนี้ก็นับว่ายากแล้วสำหรับเขา เมื่อเขาเห็นรอยยิ้มเฉยเมยของเจี้ยง เขารู้ดีว่าไม่ใช่เพราะเจี้ยงเฉินไม่เข้าใจเขา แต่เขาไม่ได้ต้องการเป็นศิษย์
เมื่อเจี้ยงเฉินสัมผัสถึงความรู้สึกผิดหวังจากสายตาของท่านอาจารย์ เขาทนเห็นมันไม่ได้จึงอธิบายไปว่า "ทำไมเจี้ยงเฉินจะไม่สามารถรู้ได้ถึงความโปรดปรานอันสูงส่งของท่านอาจารย์ผู้ทรงเกียรติ? แต่ เมื่อครั้งที่ข้าได้พบกับบุคคลมหัศจรรย์นั้น ข้าได้สัญญากับเขาว่าข้าจะไม่เป็นศิษย์ของใครอีก เขาถึงยอมรับข้า"
เย่ชองหลิวยิ้มอย่างเปิดเผยเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ "อย่างนั้นรึ มันเป็นเช่นนี้เอง ไม่น่าแปลก ไม่น่าแปลกใจเลย ผู้อาวุโสคนดังกล่าวเป็นทั้งอาจารย์และสหายของเจ้า เขาคงไม่อยากให้เจ้าไปนับถือผู้อื่นเป็นอาจารย์อีก เจี้ยงเฉิน เจ้าตอบในลักษณะนี้แสดงให้เห็นถึงความเที่ยงตรงและคุณธรรมในตัวเจ้า ข้าเองเป็นคนหยาบคาย ฮ่าฮ่า ! ตอนนี้เราคุยกันเข้าใจแล้ว ข้ารู้สึกสบายใจขึ้นเยอะ เจี้ยงเฉิน เจ้าได้ให้อีกบทเรียนแก่ข้า ข้ามีชีวิตอยู่มานาน ข้ายังไม่ได้มีปัญญาที่เปิดกว้างเหมือนเจ้า"
"มันช่างเป็นดั่งปาฏิหาริย์ที่ท่านอาจารย์ชื่นชมให้เกียรติข้าขนาดนี้ ข้าดีใจมากจนแทบนั่งไม่ติด"
อาจารย์เย่อารมณ์ดีมาก ในขณะที่เขาถามอีกครั้งว่า "ผู้อาวุโสคนนั้นคือคนที่บ่มสุราน้ำค้างเก้าแดนสรวงใช่ไหม?"
"เขาให้สูตรข้ามาและข้าบ่มมันได้สักระยะหนึ่งแล้ว สุรานี้มีหลายระดับและขวดนี้แค่ระดับจิตวิญญาณเท่านั้น สุราน้ำค้างเก้าแดนสรวงระดับพิภพถึงจะถือว่าเป็นของหายาก "
ตาของอาจารย์เย่เป็นประกายขณะที่เขาดูเหมือนจะคิดถึงบางสิ่งบางอย่าง. "ระดับพิภพรึ? เจี้ยงเฉิน เจ้ารู้วิธีการบ่มสุราระดับพิภพด้วยรึ?
"การใช้วัตถุดิบและเปลวไฟเป็นส่วนประกอบที่สำคัญที่สุด มันจึงไม่ยากกว่าระดับวิญญาณมากนัก แน่นอนว่าถ้าใครยังไม่ได้เข้าไปในอาณาจักรแห่งปราณจิตวิญญาณ ก็คงเป็นเรื่องยากที่จะบ่มสุราระดับพิภพ "
ประกายของการไตร่ตรองลึก ๆ สามารถมองเห็นได้ในสายตาของท่านอาจารย์เย่ชองหลิว ดูเหมือนว่าเขากำลังพิจารณาบางสิ่งบางอย่าง หลังจากนั้นไม่นานท่านอาจารย์ก็กล่าวว่า "เจี้ยงเฉิน ถ้ามีโอกาสในอนาคต ข้าอยากจะขอให้เจ้าบ่มสุราน้ำค้างเก้าแดนสรวงระดับพิภพให้ข้า คำขอนี้จะมากเกินไปหรือไม่? "
ดูเหมือนเขากลัวว่าเจี้ยงเฉินจะทำให้เขาผิดหวัง "เจ้าจะกำหนดเงื่อนไขอะไรก็ได้ที่เจ้าต้องการ"
เจี้ยงเฉินยิ้ม "จะรวบรวมส่วนผสมทั้งหมดสำหรับสุราระดับพิภพนั้นยากมาก ต้องมีโชคลาภมาก นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของการตั้งเงื่อนไขเท่านั้น แต่ถ้ามีโอกาสดังกล่าวก็จะไม่เป็นเรื่องใหญ่เลยที่จะบ่มสุราสักเหยือกให้กับท่านอาจารย์ และท่านก็ไม่จำเป็นต้องจ่ายสิ่งใดตอบแทน"
" เยี่ยมจริง ๆ ชายหนุ่มคนหนึ่งสามารถนั่งและสนทนากับข้าได้โดยไม่หวังผลประโยชน์ใดแอบแฝง
เจี้ยงเฉิน เจ้าช่างแตกต่างจากคนอื่น " ท่านอาจารย์หัวเราะลั่น "ข้าได้ยินมาว่าเจ้าพำนักในราชอาณาจักรนภาจันทร์มาแล้วไม่ถึงสองเดือน?"
“ใช่ขอรับ”
"เจ้าก่อเรื่องมากมายในช่วงเวลาสั้น ๆ เช่นนี้?" อาจารย์เย่ยิ้ม
"ศิษย์มีนิสัยดื้อดึงและกำลังรอการตักเตือนของท่านอาจารย์" เจี้ยงเฉินตัดสินใจที่จะยอมรับ และเขาค่อนข้างกระดาก เขาไม่ได้พูดอะไรโง่ ๆ ออกมาเหมือนกับว่าเขาถูกบังคับ
“อืม หนุ่มสาวควรมีความรู้สึกโกรธเกรี้ยว หากเจ้ากระทำสิ่งที่ขี้ขลาดเมื่ออายุยังน้อยแล้ว จะหวังว่าจะประสบความสำเร็จได้อย่างไร? เจี้ยงเฉิน ไม่ว่าเจ้าจะเป็นตัวแทนของใคร ข้ามีเรื่องขอเจ้าอย่างเดียว"
“มีอะไรหรือขอรับ?" เจี้ยงเฉินเริ่มมึนงงเล็กน้อย
"ทำตามสิ่งที่เจ้าต้องการ! ทำทุกอย่างที่อยู่ในใจ! อย่ายอมให้ใครมาข่มขู่และไม่ต้องห่วงเกี่ยวกับแรงกดดันจากโลกภายนอกหรือปัญหาและความไม่เป็นธรรม ข้ารับรู้ได้ว่ามีพลังมหาศาลซ่อนในตัวเจ้า นี่เป็นพลังที่ข้าไม่สามารถทะลุผ่านได้ ถ้าเจ้าปล่อยให้ความกดดันจากหลายฝ่ายปราบปรามการใช้พลังงานของตัวเอง สิ่งนี้จะทำให้เจ้าเสียเปรียบได้หลายอย่างโดยที่เจ้าจะไม่ได้รับผลประโยชน์ใด ๆ ในการพัฒนาของตน ข้าจะผิดหวังมาก หากเกิดเหตุการณ์เช่นนั้น" ท่านอาจารย์พูดเบา ๆ "เพราะเหตุนี้ข้าจึงมอบเหรียญสลักของราชอาณาจักรนภาจันทร์ให้แก่เจ้า"
ความคิดของเจี้ยงเฉินวิ่งวนไปมา ความเข้าใจอันลึกซึ้งปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา อีกครั้งที่เขาได้สัมผัสกับคำสั่งสอนและวิธีของท่านอาจารย์ผู้อาวุโส เขาได้ขุดลึกลงไปให้เจี้ยงเฉินได้ใช้สมอง.
แม้ว่าท่านอาจารย์ไม่ใช่อาจารย์ของเขา แต่เขามีสายตาของคนที่มีทักษะในการประเมินความสามารถและมีมาตรการที่ไม่ซ้ำกันในการถ่ายทอดคำสอนของเขา
"เอาล่ะ ด่านเฟย ช่วยไปส่งแขกให้ข้าที” ท่านอาจารย์โบกมือให้และเดินออกไปทางด้านหลัง
เจียงเฉินกำลังซึมซับคำสอนของท่านอาจารย์อย่างเงียบ ๆ ในขณะที่เขาเดินตามหลังด่านเฟยและเดินออกไปข้างนอก
"เจี้ยงเฉิน เจ้าไม่รู้จักเห็นคุณค่าของสิ่งที่ดีเลย หลายคนเพ้อฝันถึงการได้รับการยอมรับเป็นศิษย์ แต่เจ้ากลับทำให้ท่านอาจารย์ผิดหวัง! " ด่านเฟยกล่าวตำหนิเขา
เจี้ยงเฉินได้แต่เพียงยิ้มอย่างสุภาพ เขารู้ดีว่าคนอื่น ๆ ที่เห็นการกระทำของเขา ต่างก็คิดว่าเขาเป็นคนหยิ่งยโส หญิงคนนี้ยกย่องให้ท่านอาจารย์เป็นดั่งเทพเจ้าของนาง ตอนนี้ที่เจี้ยงเฉินปฏิเสธท่านอาจารย์ นางคงไม่ยิ้มแย้มกับเขาอีกต่อไป
"เจ้าคิดว่าตัวเองเก่งกาจสามารถอยู่ได้โดยปราศจากการคุ้มครองจากท่านอาจารย์ ข้าจะบอกให้ว่า แค่ที่ยืนในเมืองหลวงเจ้าก็คงจะหาไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าไม่ช้าก็เร็วคนของเย่ดายจะเคี้ยวเจ้าจนละเอียดไม่เหลือแม้กระดูกให้สุนัขได้แทะเล็ม "
ด่านเฟยรู้สึกโมโหกับสิ่งที่เขาทำลงไป นางถากถางแดกดันเขาไม่สิ้นสุด
ตอนนี้พวกเขาไปถึงประตูหลัก
"พี่ด่านเฟย ส่งข้าแค่นี้พอแล้ว" เจี้ยงเฉินไม่อยากทนฟังคำดุด่าของด่านเฟยไปมากกว่านี้
ด่านเฟยสูดหายใจ "ข้าไม่ได้บอกว่าข้าจะไปส่งเจ้าถึงบ้าน เจ้าไม่จำเป็นต้องเตือนข้า"
เจี้ยงเฉินหัวเราะ เขารู้ว่าผู้หญิงคนนี้ตั้งใจหาข้อแก้ตัว เมื่อผู้หญิงเป็นเช่นนี้ จะไม่มีจุดสิ้นสุดว่าพวกเขาจะทำให้เขาเดือดร้อนในอนาคต
เขาก็นึกถึงบางสิ่งบางอย่างและเอื้อมมือเข้าไปในกระเป๋าแล้วเอาบางอย่างออกมา "พี่ด่านเฟย เรื่องของวันนี้เป็นผลมาจากการที่ข้าไม่สามารถบอกได้ว่าอะไรดีสำหรับตัวเอง เจ้าเป็นบุคคลที่มีเกียรติและมีจิตใจที่กว้างขวาง โปรดอย่าโกรธกับเรื่องเล็ก ๆ เช่นนี้ ข้ามีโอสถเม็ดอันดับสูงสุดสำหรับการรักษาความอ่อนเยาว์ไว้ มันเรียกว่าโอสถนิรันดร์สี่ฤดู ผลลัพธ์ของมันไม่เลวทีเดียว นี่สำหรับพี่ด่านเฟย ข้าหวังว่าเจ้าจะเป็นสาวงามตลอดไป"
เจี้ยงเฉินยัดขวดโอสถลงบนมือเรียว ๆ ของนางและหนีหายไปอย่างรวดเร็ว
ด่านเฟยไม่ได้มีเวลาตอบโต้ก่อนที่เจี้ยงเฉินจะหายไปโดยไม่มีร่องรอย ขณะที่นางมองไปที่ขวดโอสถในมือ ด่านเฟยรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย "หนุ่มคนนี้ช่างชอบเล่นกลเสียจริง โอสถอะไรทำให้ดูอ่อนเยาว์? ข้าแก่แล้วหรือ? นี่ข้าดูแก่จนต้องใช้โอสถเพื่อรักษารูปลักษณ์ของข้าไว้รึ? "
ขณะที่นางเดินผ่านประตูและปิดมัน นางเริ่มหงุดหงิดมากขึ้นและรีบโยนขวดโอสถลงในพุ่มไม้ข้าง ๆ นาง
นางไม่ได้เกลียดเจี้ยงเฉิน แต่เพียงแค่หงุดหงิด ใครจะรู้ได้ว่าเป็นเพราะเจี้ยงเฉินได้ปฏิเสธความปรารถนาของท่านอาจารย์ที่จะรับศิษย์หรือเป็นเพราะอะไรอื่น?