spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
*ตั้งค่าถาวร (คลิกตั้งค่าถาวร) |
เจี้ยงเฉินไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงรู้สึกโกรธฮานเคียนกี่ บางทีอาจเป็นเพราะเขาจองหองและหยิ่งยโส สาวกของนิกายมักมีนิสัยเช่นนี้ หรือบางทีอาจเป็นเพราะเขาดูถูกหุบเขาชิงหยาง
อย่างน้อยผู้อาวุโสเฟยแห่งหุบเขาชิงหยางก็เป็นคนของเขาแล้ว เห็นได้ชัดว่าชายวัยกลางคนเป็นหนึ่งในศิษย์ของผู้อาวุโสเฟย เจี้ยงเฉินอารมณ์เสียที่เห็นเขาต้องอับอาย
ก่อนที่จะตีสุนัข ต้องดูเจ้าของก่อนว่าเป็นใคร?
ชายวัยกลางคนมาจากหุบเขาชิงหยางและเขาเป็นศิษย์ของผู้อาวุโสเฟย ซึ่งในภายหลังได้กลายเป็นทาสของเจี้ยงเฉินไปแล้ว
แม้ว่าศิษย์ของของทาสไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขา แต่เจี้ยงเฉินก็ไม่อยากเห็นใครมาเอะอะ อวดเก่งใส่เจ้าอ้วนนั่น
เมื่อเขาได้ยินเสียงด่านเฟย ฮานเคียนกี่ยิ้มอย่างสุภาพและเดินกลับ "ลืมไปเถอะ ข้าไม่ชอบที่จะเกี่ยวข้องกับขยะ ปล่อยให้พวกเขาไปก่อน! ถ้าพวกเขาสามารถจัดการกับมันได้ แสดงว่ามันไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร ถ้าพวกเขาไม่มีความสามารถ ข้าจะจัดการเอง "
เหล่าสาวกของนิกายจะมีอารมณ์ร้อนแปลก ๆในบางครั้ง ให้ฮานเคียนกี่ไปก่อน เขาอุตส่าห์เสียสละ
นี่เป็นเพราะเขาเป็นสาวกของนิกายและเขาไม่ต้องการที่จะทำเรื่องเล็กน้อย นี่จะลดสถานะของเขา
เขาชอบเห็นคนอื่นล้มเหลวและเขาจะเข้าไปเผชิญหน้ากับปัญหา เขาจะแก้ไขมันอย่างง่ายดาย จากนั้นพวกเขาทุกคนก็จะยกย่องและเคารพเขา
นี่เป็นนิสัยที่ไม่ดีของสาวกของนิกาย
คนแรกที่เดินขึ้นไปคือสัตวแพทย์ที่องค์ชายเย่เซียวเชิญมา ชายคนนี้อยากจะฉวยโอกาส เขาต้องการใช้โอกาสนี้เพื่อสร้างชื่อให้กับตัวเอง เพื่อความร่ำรวยและโชคลาภ เขาจึงรวบรวมความกล้าทั้งหมดเพื่อที่จะเดินขึ้นมา
จู่ ๆ มังกรฟินิกซ์ก็โห่ร้องทันทีก่อนที่สัตวแพทย์จะเข้าใกล้มันภายในระยะ 1 จั้ง สัตวแพทย์ร้องตกใจและพลิกคว่ำไปข้างหลัง เขากระอักเลือดออกจากปาก
เขาเป็นเพียงนักสัตวแพทย์ทั่วไปและระดับการฝึกอบรมศิลปะการต่อสู้แห่งเต๋าก็ค่อนข้างปานกลาง เขาจะรักษาตัวเองในรัศมีของสิ่งมีชีวิตวิญญาณได้อย่างไร? ความน่าสะพรึงกลัวทำให้เขากระอักเป็นเลือด
ฮานเคียนกี่เผยรอยยิ้มเยาะเย้ยบนริมฝีปาก ขณะที่เขามองไปที่ผู้อาวุโสอ้วนของหุบเขาชิงหยาง
ผู้อาวุโสอ้วนมีรอยย่นบนใบหน้า เขารู้ว่าเขาถูกจับตรึงระหว่างหินแข็ง เขาไม่สามารถปฎิเสธที่จะขึ้นไปบนเวทีได้
ไม่ว่ายังไง เขาต้องขึ้นไป ใช้เวลาไม่กี่นาทีและแสร้งทำเป็นวินิจฉัย ไม่ว่าเขาจะประสบความสำเร็จหรือไม่ เขาสามารถแก้ตัวกับแก่องค์ชายสองได้ หากเขาได้แสดงบางอย่างบนเวที
ต้องกล่าวว่าผู้อาวุโสของหุบเขาชิงหยางยังคงมีทักษะอันชาญฉลาดเพื่อชื่อของเขา อย่างน้อยเขาคงไม่กระอักเลือดออกมา
หลังจากทำตามสี่วิธีในการวินิจฉัย ในการมอง การฟัง การตั้งคำถาม และการตรวจจับชีพจร ผู้อาวุโสตีหน้าเศร้าพลางยกมือขึ้น "ด่านเฟย ไม่มีอะไรผิดปกติกับสัตว์ตัวนี้"
หน้าสวยของด่านเฟยซีดลง ไม่มีอะไรผิดปกติกับมันเลยรึ? แล้วท่านมาทำอะไรที่นี่ถ้าไม่มีอะไรผิดปกติ? เพื่อแสดงละครงั้นรึ
ท่านอาจารย์เย่ที่นั่งดูอยู่ข้าง ๆ ถึงกับส่ายหัว ด่านเฟยเป็นคนที่ยืนกรานจะที่เพิ่มส่วนรายการนี้ จริง ๆ แล้วเขาไม่ได้อนุมัติให้ทำเช่นนั้น เขาไม่รู้สึกว่าหนุ่มเหล่านี้สามารถแก้ปัญหาได้ เขาไม่ได้คัดค้านเนื่องจากกลัวด่านเฟยจะเสียใจ และเพราะเขากำลังหมดหวัง
ไม่มีใครให้คำแนะนำได้ จะลองดูต่อไปก็ไม่มีอะไรเสียหาย
"เจ้าไม่ยอมรับความจริงที่ว่าเจ้าเป็นถังขยะ! ทำไมเจ้าไม่รีบลงจากเวทีตอนนี้? " ฮานเคียนกี่เดินขึ้นไปบนเวที คว้าผู้อาวุโสอ้วนและโยนเขาออกจากเวที
ตอนนี้ทุกคนเข้าใจถึงการปกครองแบบเผด็จการของสาวกของนิกายอย่างทั่วถึง
ดีที่ผู้อาวุโสอ้วนมีการฝึกอบรมเล็กน้อย เท้าสองเท้าของเขาพยายามอย่างหนักเพื่อให้สมดุลหลังจากที่เขาถูกโยนลงจากเวที ช่วยให้เขายืนตรงได้
ใบหน้าของเขาซีดลงขณะที่เขาพูดอย่างฉุนเฉียว "องค์ชายสอง นี่คือการกลั่นแกล้งที่โหดร้าย!"
เย่เฉียนยิ้มอย่างหยาบคาย "ลืมมันไปเถอะ! ควบคุมตัวเอง สูดหายใจเข้าลึก ๆ การก้าวถอยหลังออกมาจะทำให้มองเห็นท้องทะเลลึกและท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ ทำไมเจ้าไม่กลับไปก่อน? "
ผู้อาวุโสอ้วนส่ายหน้า "ข้าจะไม่กลับ ข้าอยากจะเห็นคนที่เรียกตัวเองว่าสาวกของนิกาย คนที่ทำให้ข้าคนของหุบเขาชิงหยางต้องเสียเกียรติ เขาจะเชี่ยวชาญสักแค่ไหน! "
สามารถเห็นภาวะจิตของพระพุทธรูปทำมาจากดินเหนียวได้จากวัสดุที่มันถูกทำมา ผู้อาวุโสอ้วนโกรธเกรี้ยวเพราะฮานเคียนกี่ และเขาก็ตัดสินใจที่จะเฝ้าดู
ถ้าฮานเคียนกี่สามารถแก้ปัญหาได้ เขาอาจขโมยความรู้และเรียนรู้อะไรบางอย่าง
ถ้าฮานเคียนกี่ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ สิ่งที่เรียกว่าอัจฉริยะของนิกายก็เป็นขยะ และไม่ต่างจากเขาที่มาจากหุบเขาชิงหยาง
เนื่องจากพวกเขาทั้งสองเป็นขยะที่ไม่สามารถรักษามังกรฟินิกซ์ได้ เขามีสิทธิ์อะไรที่จะดูหมิ่นคนอื่น?
ฮานเคียนกี่มีเหตุผลบางอย่างที่รู้สึกภาคภูมิใจในตัวเอง ความกังวลของมังกรฟีนิกซ์ห้าปีกลดลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเขาเดินขึ้นมา
เมื่อฮานเคียนกี่ตรวจ มันไม่ได้ต่อต้านเขาเลย เขาพยายามวินิจฉัยอาการ
จะเห็นได้ว่าฮานเคียนกี่ยังมีความสำเร็จอยู่บ้างในด้านการติดต่อสื่อสารกับสัตว์วิญญาณ อย่างน้อยมังกรฟินิกซ์ก็ยอมให้เขาตรวจ
เหตุนี้ ด่านเฟยจึงมีความคาดหวังในตัวฮานเคียนกี่ขึ้นบ้าง
แต่เวลาล่วงเลยไป ครึ่งชั่วยามผ่านไปแล้ว หนึ่งชั่วยาม ท้องของทุกคนเริ่มส่งเสียงร้อง ฮานเคียนกี่ยังไม่ได้ข้อสรุปใด ๆ
บางคนด้านล่างเวทีไม่พอใจ
"เจ้าทำได้รึเปล่า? ! ถ้าทำไม่ได้ก็ลงมาซะที. ผ่านไปนานกว่าหนึ่งชั่วยามแล้ว เราทุกคนกำลังรอกินอาหารอยู่ เจ้าไม่หิวเหรอ? "
"ดูเหมือนว่าสาวกนิกายก็เป็นคนธรรมดา"
"ก่อนหน้านี้เขากระตือรือร้นมาก จนข้าคิดว่าเขามีความสามารถพิเศษจริง ๆ! ฮ่า ฮ่า เขาน่าสนใจแต่เพียงภายนอก แต่ภายในไร้ค่า "
"เขาดูถูกผู้อาวุโสของหุบเขาชิงหยางจนทำให้เขาออกไปอย่างไร้ค่าก่อนหน้านี้ ข้าเกือบกลัวจนตัวสั่น เผลอคิดไปว่าเขามีทักษะบางอย่างสมชื่อสาวก ดูเหมือนว่าข้ามองผิด "
บางคนเริ่มซุบซิบนินทาด้านล่างเวที
ไม่ใช่ทุกคนสนับสนุนองค์ชายใหญ่ และไม่ใช่ทุกคนที่ชอบเห็นสาวกของนิกายกดขี่ข่มเหงผู้อื่น
ถึงแม้ว่าคนส่วนใหญ่รู้สึกว่าสาวกของนิกายมีแนวโน้มที่จะหยิ่ง และเป็นเหตุให้ฮานเคียนกี่ทำตัวเหมือนที่เคยเป็นมาก่อน แต่ก็มีอีกหลายกลุ่มที่ไม่ชอบดูการกระทำดังกล่าว
ฮานเคียนกี่รู้สึกอึดอัด
นี่เป็นเพราะเขาใช้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาได้เรียนรู้มาในชีวิต แต่เขาก็ค้นพบว่าไม่มีอะไรผิดปกติกับมังกรฟินิกซ์
ถ้าจะบอกว่ามันป่วย แต่มันไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ที่ปรากฏในการทำงานของร่างกาย
ถ้าจะบอกว่ามันไม่ได้ป่วย แต่มันก็ดูซึมเศร้าและมันก็ไม่ยอมกินหรือดื่ม นอกจากนี้มันยังผอมลง
แต่ถ้าจะบอกว่ามันซึมเศร้าและขาดพลังงาน แต่ร่างกายของมันมีความแข็งแรงปกติดี มันจึงไม่เหมือนสัตว์วิญญาณที่ป่วยเลย
ฮานเคียนกี่สับสนมากตอนนี้
เขาเพิ่งด่าคนอื่นว่าเป็นถังขยะ และตอนนี้เขาทำงานอย่างหนักถึงหนึ่งชั่วยามและไม่พบสิ่งผิดปกติ เขาสามารถใช้คำว่า "ไม่มีอะไรผิดปกติกับมันเลย" เพื่อกลบเกลื่อนได้หรือไม่
ถ้าเป็นอย่างนั้น แล้วเขาจะมาที่นี่ทำไม?
ผู้อาวุโสแห่งหุบเขาชิงหยางได้สรุปคำดังกล่าวไปแล้ว เขาเองยังเป็นคนโยนผู้อาวุโสอ้วนลงจากเวทีเมื่อได้ยินคำว่ามันไม่ได้เป็นอะไร
แล้วเขาจะพูดเหมือนกับผู้อาวุโสอ้วนได้อย่างไร เขาต้องมีหน้าหนาแค่ไหน? ถ้าเขาพูดแบบเดียวกัน ท่านอาจารย์คงโยนเขาลงมาจากเวทีด้วยตนเอง
"อัจฉริยะฮาน เจ้าเพิ่งเรียกข้าว่าถังขยะ แต่ตอนนี้เจ้าได้ตรวจสอบไปแล้วหนึ่งชั่วยาม ปัญหาคืออะไรรึ? บอกเรามาซิ เพื่อให้เราทุกคนสามารถเรียนรู้บางสิ่งบางอย่าง " ผู้อาวุโสอ้วนถาม
คนอ้วนคือกลุ่มคนที่ไม่ควรไประราน แม้ว่าเขาจะสู้ไม่ชนะและไม่ได้มีอำนาจและมีอิทธิพลเหมือนคนอื่น แต่เขาก็จะไม่ลืมที่จะแก้แค้นหากเขามีโอกาสทำเช่นนั้น
ผู้อาวุโสพุงโตแสดงให้เห็นถึงกฎของคนอ้วนอย่างถูกต้อง
แม้ว่าฮานเคียนกี่จะสวมเสื้อคลุม คนที่อยู่ด้านล่างเวทีก็สามารถรู้สึกถึงสถานการณ์ของเขาได้ ดูสาวกของนิกายซิ เขาเก่งกาจเพียงใด!
ผลคืออะไรรึ?
ผู้คนต่างจ้องมองเขา!
"สาวกฮาน ท่านวินิจฉัยอะไรได้บ้าง?" ด่านเฟยถามเบา ๆ
หลังจากคำถามของด่านเฟย เขาพูดตะกุกตะกักว่า "นี่เป็นเรื่องที่ซับซ้อนจริง ๆ บางทีสัตว์วิญญาณชนิดนี้เหมาะกับการอาศัยอยู่ในป่า และไม่ควรเลี้ยงดูโดยมนุษย์? "
เมื่อมันมาถึงจุดนี้ ฮานเคียนกี่ให้คำตอบที่เลอะเทอะอย่างเฉื่อยชา
เมื่อด่านเฟยได้ยินคำเหล่านี้ ความผิดหวังประกายเล็กน้อยผ่านสายตาที่สวยงามของนาง ทำไมนางจะไม่รู้ว่านี่เป็นข้องอ้างของฮานเคียนกี่? ฮานเคียนกี่ สาวกนิกาย ช่างวิตถารดั่งชื่อ นางคิดไปว่าเขาอาจจะมีความรู้ที่น่าประหลาดใจบางอย่างสมกับชื่อเสียง ผลที่ได้ยังคงเป็นความผิดหวัง
"ด่านเฟย บางทีเราควรส่งสัตว์วิญญาณตัวนี้กลับไปยังภูเขาลึกและสภาพแวดล้อมเดิมของมัน หากมันได้อยู่กับธรรมชาติเดิมแล้ว บางทีมันอาจฟื้นตัว ... "
"สาวกฮาน เจ้ามีข้อวินิจฉัยที่ถูกต้องหรือไม่?" ด่านเฟยไม่ชอบที่เห็นเขาพูดกำกวม
"ในความคิดเห็นของข้า ธรรมชาติของสัตว์ป่าตัวนี้ไม่ได้รับการฝึกฝนและไม่เหมาะที่จะถูกกักขังไว้"
ด่านเฟยกล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่า "ขอโทษด้วยที่ข้าไม่เห็นด้วย ท่านอาจารย์เลี้ยงสัตว์วิญญาณตัวนี้เป็นเวลาหลายปีและเขาได้เลี้ยงมันอย่างดี หากมันยังไม่เคยชิน อาการของมันตอนนี้คงจะเกิดขึ้นนานแล้ว! "
ฮานเคียนกี่อ้ำอึ้งและพูดทื่อ ๆ ไปว่า "บางทีภูมิอากาศอาจจะไม่เหมาะกับมัน"
เจี้ยงเฉินไม่สามารถทนฟังคำไร้สาระได้อีกต่อไป เขาพ่นเสียงหัวเราะออกมา.
เสียงหัวเราะนี้แทบเจาะทะลุเข้าไปในหูของฮานเคียนกี่ ใบหน้าของเขามืดลงขณะที่เขากรีดร้องเสียงดังว่า "มันเป็นใคร? ใครกล้าทำเช่นนี้? มดมีสิทธิ์อะไรถึงได้กล้าส่งเสียงหัวเราะใส่สาวกของนิกาย? "
เขาทำท่าทีโกรธจัดเพื่อปกปิดความอับอาย
หลู่วูจิให้ความสนใจกับเจี้ยงเฉินและรีบตะโกนออกมาว่า "เจี้ยงเฉิน เจ้ารู้ภูมิหลังของสาวกฮานหรือไม่? เจ้าหัวเราะแบบนั้นหมายถึงอะไร? เจ้ากำลังดูหมิ่นสาวกฮานงั้นรึ? บังอาจมาก! เจ้ากล้าทำเช่นนี้เชียวรึ "
หลู่วูจิยืนหยัดเพื่อความยุติธรรมแต่ความตั้งใจของเขาค่อนข้างชัดเจน เขาทำเพื่อจุดประกายความโกรธของฮานเคียนกี่และกระตุ้นให้มันเผาไหม้เจี้ยงเฉิน
ฮานเคียนกี่โกรธจัดและไม่มีที่ไหนเลยที่จะระบายมันได้ เขาใช้สายตาโหดเหี้ยมมองไปยังเจี้ยงเฉิน
เจียงเฉินรู้สึกหงุดหงิดกับฮานเคียนกี่มาเป็นเวลานานแล้ว และเขาก็ยิ่งรำคาญเมื่อเห็นฮานเคียนกี่จ้องเขาด้วยสายตาร้อนเป็นไฟ "หยุดพ่นลมผ่านจมูก และเลิกจ้องข้าได้แล้ว ก่อนอื่นเจ้าควรพิจารณาตัวเองก่อนที่จะเรียกคนอื่นว่าขยะ อย่าอวดดีหากเจ้าเป็นเพียงขยะ เจ้ากำลังหมุนวนคำหยาบคายและไม่ยอมแพ้เพราะเจ้าไม่สามารถหาทางออกจากเวทีได้ เจ้าไม่คิดว่ามันตลกรึ? "
“ขยะ. เจี้ยงเฉิน เจ้าบ้าไปแล้ว! เจ้ากล้าดูถูกอัจฉริยะของนิกายว่าเป็นขยะได้อย่างไร? เจ้ากำลังรนหาที่ตาย! " หลู่วูจิเติมเชื้อเพลิง
เย่ดายยังขมวดคิ้ว "น้องสี่ ผู้ติดตามของเจ้ายังไม่บรรลุนิติภาวะ เขากล้าดีอะไรมาให้ร้ายสาวกของนิกาย? คนบ้านนอกโง่เขลา แล้วเจ้าล่ะเป็นเหมือนมันด้วยรึเปล่า? "
เย่หลงพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
เจี้ยงเฉินยังคงหัวเราะ "องค์ชายใหญ่ ท่านเรียกข้าว่าคนบ้านนอก งั้นข้าขอถามคนเมืองหน่อยเถอะว่า มังกรฟินิกซ์ตัวนี้เป็นอะไร? ท่านไม่ได้มาจากบ้านนอก ก็ช่วยให้คำอธิบายกับข้าหน่อย! ข้าจะชื่นชมท่านถ้าท่านสามารถบอกได้ แต่ไม่ควรแสร้งว่าตัวเองเก่งถ้าไม่มีความสามารถ จริงมั้ย ? "
ทุกคนเงียบสนิท ชายคนนี้ช่างไม่หวาดหวั่น เขากล้าตอกกลับองค์ชายใหญ่