spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
*ตั้งค่าถาวร (คลิกตั้งค่าถาวร) |
แม้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในหน่วยเขี้ยวมังกรครั้งนี้ไม่ได้ใหญ่โตอะไร เป็นเรื่องในวงแคบ ชื่อของเจี้ยงเฉินกลายเป็นหัวข้อร้อนแรงที่ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนทิศทางได้
อย่างไรก็ตาม เจี้ยงเฉินไม่ใส่ใจกับข่าวคราวในโลกภายนอก
ตอนนี้เขาได้รับทั้งสถานะขุนนางและคฤหาสน์ ในที่สุดเขาก็มีสถานที่ที่จะอยู่ในราชอาณาจักรนภาจันทร์ และทั้งหมดกำลังดำเนินไปตามเส้นทางที่เหมาะสม
"ขั้นตอนต่อไปคือการตัดผ่านอาณาจักรปราณจิตวิญญาณ ด้วยรากฐานที่แข็งแกร่งของข้า การตัดผ่านอาณาจักรปราณจิตวิญญาณไม่ใช่ปัญหา จุดสำคัญคือการตัดผ่านทะเลวิญญาณ ระดับของทะเลวิญญาณของข้าจะเป็นตัวกำหนดเส้นทางในอนาคตในโลกแห่งเต๋า แต่น่าเสียดายที่ข้าไม่ค่อยได้ติดต่อกับผู้ฝึกฝนด้านปราณจิตวิญญาณและไม่มีความรู้โดยตรงเกี่ยวกับผู้ฝึกฝนจิตวิญญาณในโลกนี้เลย ".
เจี้ยงเฉินพยายามอย่างหนักที่จะคิดย้อนกลับไป. เขาได้ปะทะฝีมือกับผู้ฝึกฝนอาณาจักรปราณจิตวิญญาณของนิกายตะวันม่วงในอาณาจักรตะวันออก เมื่อเขามาถึงราชอาณาจักรนภาจันทร์ เขาจะต้องวิ่งหนีอีกครั้งกับเหล่าสาวกของวิหารอุดรครามสวรรค์
แน่นอน วิหารอุดรครามสวรรค์เป็นเพียงบริวารของวิหารพฤกษาสวรรค์ และผู้ฝึกฝนปราณจิตวิญญาณของพวกเขาเป็นแค่พวกอ่อนหัด
นอกเหนือจากหลิวเคียนที่ตัดผ่านเข้าสู่ระดับแรกของอาณาจักรปราณจิตวิญญาณแล้ว คนอื่น ๆ ทั้งหมดมีระดับครึ่งก้าวปราณจิตวิญญาณเท่านั้น
สาวกของนิกายตะวันม่วงแข็งแกร่งกว่าซะอีก
"ซูเชี่ยนก็ไม่ได้แข็งแกร่งไปกว่าหลิวเคียน ระดับการฝึกของยูจิควรอยู่ในระดับที่ 2 หรือแม้แต่ระดับที่ 3 ของอาณาจักรปราณจิตวิญญาณ ซูชิงหานผู้ซึ่งเคยปรากฏตัวครั้งสุดท้ายนั้นแข็งแกร่งกว่ายูจิมาก เขาน่าจะมีความแข็งแกร่งในระดับปราณจิตวิญญาณที่ 4 หรือสูงกว่า อย่างไรก็ตามจากพลังที่พวกเขาใช้งานดูเหมือนมันจะถูกจำกัดอย่างมาก เกี่ยวกับคุณลักษณะของน้ำ เป็นไปได้ไหมว่าตั้งแต่เริ่มแรกการสร้างมหาสมุทรวิญญาณของพวกเขาได้รับการสนับสนุนด้านคุณลักษณะของน้ำ?
เขาแทบไม่ได้สัมผัสกับผู้ฝึกฝนด้านปราณจิตวิญญาณ เมื่อได้เจอก็กลับเป็นศัตรู.
อย่างไรก็ตามเจี้ยงเฉินแตกต่างจากผู้ฝึกฝนคนอื่นบนโลกนี้. ความรู้ของเขาเกี่ยวกับศิลปะการต่อสู้แห่งเต๋ามีมากกว่าผู้ฝึกฝนชั้นแนวหน้าในโลกนี้
แน่นอนว่าเขาไม่สามารถตัดผ่านในอดีตของเขาได้ แต่เขาใช้ความคิดที่เต็มไปด้วยความรู้ทางทฤษฎีในการฝึกอบรมอัจฉริยะนับไม่ถ้วน อัจฉริยะคนเดียวอาจเหยียบย่ำผู้ฝึกฝนระดับแนวหน้าของโลกนี้ หากพวกเขามาถึงที่นี่
ดังนั้นเจี้ยงเฉินจึงมั่นใจตัวเอง เขาไม่ได้แพ้
"หลังจากได้เห็นแจ้งเมื่อครั้งที่แล้ว,ข้ารู้อยู่แล้วว่าเส้นชีพจรฉี 12 เส้นเป็นสะพาน ซึ่งเป็นกระบวนการที่หนึ่งเปลี่ยนจากความตายสู่จิตวิญญาณ อาณาจักรแห่งปราณจิตวิญญาณเป็นเพียงขั้นตอนแรกในการหลบหลีกโลกีย์ เพื่อควบคุมสวรรค์และปรับเปลี่ยนพลังแห่งการกลับชาติมาเกิดใหม่ ใครจะไปรู้ว่าเส้นทางนี้จะยาวนานแค่ไหน ... "
เจี้ยงเฉินตระหนักดีว่าระยะทางของการศิลปะการต่อสู้แห่งเต๋าเป็นระยะทางทางที่ยาวนานและลำบาก แม้ว่าเขาจะมีข้อได้เปรียบที่คนอื่นไม่มี แต่เขาก็ยังคงไม่สามารถผ่อนปรนให้ระยะทางสั้นลงได้
"ความทรงจำของข้าจากชีวิตในอดีตเป็นข้อได้เปรียบ แต่ทรัพยากรในระดับนี้เห็นได้ชัดว่าค่อนข้างแย่มาก ข้าต้องใช้ประโยชน์จากข้อดีของตัวเองให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อรวบรวมทรัพยากรที่ดีที่สุดในโลกนี้สำหรับการใช้งาน "
เจี้ยงเฉินรู้ว่าเส้นทางของศิลปะต่อสู้แห่งเต๋าไม่ใช่การต่อสู้กับสวรรค์ แต่เป็นการต่อสู้กับผู้คน
ทรัพยากรมีจำนวนจำกัด แต่ผู้ฝึกฝนที่เข้ามาในแต่ละยุคไม่จำกัด คนจำนวนมากต่อสู้กันเพื่อทรัพยากรที่จำกัด บางคนอาจกลายเป็นมังกรและคนอื่น ๆ ก็กลายเป็นขี้เถ้า
เจี้ยงเฉินได้สำนึกถึงนัยสำคัญก่อนที่จะหลอกลวงคนต่อไปหลังจากนี้.
การฆ่าคนไร้ค่าอย่างหลู่วูจิจะขจัดโทสะได้ชั่วคราว ในสายตาของเจี้ยงเฉิน หลู่วูจิเป็นแค่แมลงสาบที่น่ารำคาญและน่าขยะแขยง มีโอกาสมากมายที่จะฆ่าเขา
แต่ส่วนผสมวิญญาณที่เขารวบรวมมานั้นเป็นของที่เขาต้องการอย่างมาก
จำเป็นต้องมีกระบวนการเพื่อเจาะผ่านอาณาจักรปราณจิตวิญญาณ เขาต้องการความช่วยเหลือเพิ่มเติมเพื่อช่วยลดจำนวนเส้นทางที่คดเคี้ยวในโลกศิลปะการต่อสู้แห่งเต๋า
"นายน้อย อาวุโสท่าทางพิลึกจากหุบเขาชิงหยางมาที่นี่อีกครั้ง"
ขณะที่เจี้ยงเฉินนั่งสมาธิ หยูตงเข้ามารายงาน
เจี้ยงเฉินได้แวะไปเยี่ยมวิหารทักษิณครามสวรรค์และวิหารหมื่นสมบัติ แต่เขาตั้งใจปล่อยอาวุโสเฟยจากหุบเขาชิงหยางไว้เพื่อที่จะทำให้เขาวิตกกังวล
เจี้ยงเฉินเข้าใจความคิดของอาวุโสเฟยผู้นี้และเขาคิดจะสั่งสอนชายชราที่ดื้อด้านผู้นี้ ดังนั้นเขาจึงกระตุ้นความอยากของอาวุโสเฟยและทำให้ชายชราคนนั้นมาหาเขาเอง
"เจี้ยงเฉิน เจ้าเด็กระยำ เจ้าไม่มีหัวใจงั้นรึ? บอกข้ามาซิชายชราคนนี้ไม่ได้เป็นผู้สนับสนุนอย่างแข็งขันและซื่อสัตย์หรอกหรือ? ข้าเป็นปฏิปักษ์กับเช็นกังยี่อย่างเปิดเผยเกี่ยวกับปัญหาของเจ้า เจ้าสบายดี เจ้าไม่ได้พูดอะไรกับข้าเลยในทุกวันนี้ นี่ทำให้ข้าโกรธมากข้าโมโหจริง ๆ "
ชายชราประหลาดคนนี้ซดชารวดเดียวขณะที่เขาบ่น ดวงตาของเขาจ้องมองเจี้ยงเฉินอย่างมีเล่ห์เหลี่ยม
"อาวุโสเฟย อย่าโทษข้าสิ ท่านรู้ไหมว่าข้าเพิ่งมาถึงเมืองหลวงและเกิดเหตุการณ์ที่ซับซ้อนยุ่งยากขึ้นพร้อมกัน ถ้าไม่ใช่เพราะความช่วยเหลือของท่าน ข้าก็ไม่รู้ว่าข้าจะหาทางออกมาจากคุกมืดของหน่วยเขี้ยวมังกรได้หรือไม่ "
อาวุโสเฟยชอบฟังคำพูดแบบนี้ เขาหัวเราะและดูเหมือนจะจำได้ทันทีว่าเขาอยู่ที่นี่เพื่อประท้วง เขาควรมีท่าทีเคร่งเครียดมากกว่านี้
เขาเงยหน้า "เจี้ยงเฉิน คราวที่แล้วเจ้าบอกให้ข้ามาพบเจ้าที่เมืองหลวง ตอนนี้ข้าอยู่ที่นี่ เจ้าวางแผนจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร? "
"ท่านอาวุโส ท่านตบตาได้ไม่แนบเนียนเลยจริง ๆ? ไม่ต้องทำตัวลึกลับหรอก ท่านไม่เก่งด้านการแสดง "
ผู้อาวุโสเฟยกลอกตาและเหยียดตัวลงบนเก้าอี้ "ถ้าอย่างงั้น ถ้าเจ้าไม่อธิบายเรื่องทั้งหมดให้ข้าฟังวันนี้ ข้าก็จะไม่ไปไหน ข้าจะกินและนอนในบ้านของเจ้า ข้าจะตามเจ้าไปแม้กระทั่งเมื่อเจ้าไปข้างนอก และจะติดตามเจ้าเมื่อเจ้าไปหาผู้หญิง เจ้าติดหนึบอยู่กับข้าแล้ว! "
เจี้ยงเฉินหมดคำพูด ชายชราไม่เก่งในการซ่อนความรู้สึก แต่เขาก็เป็นคนพาลได้อย่างมืออาชีพ
"อาวุโฟเฟย ท่านเอาจริงเหรอ?"
"ฮ่า ฮ่า คนหน้าบางกินไม่เยอะ คนหน้าหนาจะกินทุกอย่าง ข้าไม่มีอะไรจะทำ หน้าของข้าจึงค่อนข้างหนา " ชายชราไม่ได้คิดว่าพฤติกรรมของเขาไร้ยางอาย แต่กลับค่อนข้างภูมิใจ
“ดี !” เจี้ยงเฉินยกนิ้วกลางให้อาวุโสเฟยแล้วก็รีบถามทันที "พูดมาสิ ท่านต้องการอะไร?"
"เจ้ามันบัดซบสิ้นดี? ข้าต้องการให้เจ้าแนะนำข้าให้รู้จักกับศิษย์พี่ที่มีความรู้ของเจ้า "
แล้วยังไง?.
"ข้าจะถามเขาเกี่ยวกับวิธีปรุงโอสถกำเนิดวัฎจักรพิสุทธิ์" ชายชราใจร้อนมาก "เจี้ยงเฉิน เจ้ากำลังจะกลับคำพูดรึ.? ทำไมเจ้าถึงพูดเรื่องที่เราตกลงกันแล้วซ้ำ ๆ?
"กลับคำพูด? ข้าดูเป็นคนแบบนั้นหรือเปล่า? ข้าหมายความว่า ถ้าเขาไม่เต็มใจที่จะสอนท่านหลังจากที่ข้าแนะนำท่านให้รู้จักล่ะ แล้วจะทำเช่นไร? "
คำถามนี้เป็นคำถามที่อาวุโสเฟยกังวลมากที่สุด เมื่อเจี้ยงเฉินถามเขา เขาก็ตะลึงและท้อแท้ "ถ้าเขาไม่เต็มใจที่จะสอนรึ? ไม่เต็มใจที่จะสอนข้า? แล้วข้าจะทำยังไงดี? "
จากนั้นเขาก็ทุบกำปั้นกับต้นขาและพูดว่า "ถ้าเขาไม่เต็มใจที่จะสอนข้า ข้าก็จะเรียกเขาว่าอาจารย์ คงได้ผล ใช่หรือไม่?
"ให้เขาเป็นอาจารย์ของท่านรึ? ท่านคิดว่านักปราชญ์ที่เก่งกาจเช่นเขาจะเอาคนแก่ที่เสื่อมโทรมอย่างท่านไปเป็นศิษย์ของเขาหรือ? "
ผู้อาวุโสเฟยตะลึงอีกครั้ง นี่เป็นความจริง ชายที่น่านับถือคนนี้ไม่มีมีความสัมพันธ์กับเขา แล้วด้วยเหตุใดกันเขาถึงจะรับเขาชายชรามอซอเป็นศิษย์?
"ถ้ามันจะเป็นเช่นนั้น ข้าก็จะเป็นทาสโอสถและผู้ติดตามเขา เจ้าคิดว่าไง?" ผู้อาวุโสเฟยกัดฟันพูด เขายินดีที่จะทำทุกอย่าง
"มันจะไม่อยุติธรรมสำหรับท่านรึ?" เจี้ยงเฉินแอบหัวเราะ
"เจ้ารู้อะไร? " ผู้อาวุโสเฟยภูมิใจอย่างยิ่ง "นี่คือเหตุผลที่เราบอกว่าคนหนุ่มสาวสายตาสั้นเหมือนหนู เจ้าคิดว่าเป็นทาสโอสถหรือผู้ติดตามมันน่าอับอายงั้นหรือ ทำไมเจ้าไม่คิดว่าคนที่ยอดเยี่ยมที่สามารถเข้าใจสูตรโอสถกำเนิดวัฏจักรพิสุทธิ์คือคนที่รู้ทางไปสวรรค์ การได้ติดตามข้าง ๆ คนที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้และเรียนรู้สิ่งที่เล็กที่สุดจะส่งผลให้เกิดประโยชน์ไม่รู้จบ! เอ๊ะ ผมของเจ้ายังขึ้นไม่หมดด้วยซ้ำ เจ้าคงไม่เข้าใจเรื่องที่ข้าพูด "
เจี้ยงเฉินแกล้งยิ้ม "ผู้อาวุโส หมายความว่าท่านเต็มใจที่จะปล่อยหลักการทางจริยธรรมทั้งหมดของท่านเพื่อการเรียนรู้ใช่หรือไม่?"
"หลักการทางจริยธรรมคืออะไรรึ?" ชายชราหัวเราะอย่างแปลกประหลาดและถามอย่างเหน็ดเหนื่อยว่า "ข้าขายมันได้หรือไม่? ถ้าขายได้ข้าจะห่อทั้งหมดและขายมันไปซะ "
"เอ้ ท่านเคยคิดมั้ยว่าถ้าปราชญ์คนนั้นอายุน้อยกว่าท่าน? ท่านจะไม่คิดว่าท่านกำลังดูหมิ่นตัวเองหรือ? " เจี้ยงเฉินหัวเราะเบา ๆ
"เจ้าพูดเหมือนคนนอกอีกครั้ง ในโลกของการฝึกฝน อายุเป็นเพียงตัวเลข อัจฉริยะหนุ่มหลายคนมีคนติดตามที่อายุมากกว่า เจ้าคิดว่าพวกเขารู้สึกว่ามันน่าอับอายงั้นหรือ? พวกเขาต่างมีความสุขดี! คนที่แข็งแกร่งได้รับความนับถือ เจ้าเข้าใจไหม? " ผู้อาวุโสเฟยพูดด้วยความจริงใจและความปรารถนาอย่างจริงจัง
เจี้ยงเฉินตื้นตัน ดูเหมือนว่าชายชราคนนี้ไม่มีหลักการจริง ๆ เขาสงสัยว่าชายชราคนนี้ได้รับการอบรมให้มีมุมมองที่ไม่เหมือนใครในชีวิตมากแค่ไหนกัน
"ท่านยินดีที่จะขายตัวเองให้กับใครก็ตามที่สอนวิธีการผสมโอสถกำเนิดวัฏจักรพิสุทธิ์รึ?"
อาวุโสเฟยหัวเราะแห้ง ๆ "ข้าจะไม่กะพริบตา ถ้าข้าขายหุบเขาชิงหยาง ยังถูกกว่าตัวข้าเอง."
"ท่านหมายถึงว่า?" เจี้ยงเฉินหัวเราะอย่างเฉื่อยชา.
"คำสัตย์ที่ไม่เคยพูดมาก่อน เฮ้ หยุดพล่ามสักทีได้ไหม? เมื่อไหร่เจ้าจะแนะนำให้ข้ารู้จัก บอกข้ามาตรง ๆ! " ผู้อาวุโสเฟยรู้สึกไม่พอใจ
เจี้ยงเฉินแสยะยิ้มมุมปากอย่างสุขุมขณะที่เขามองไปที่ชายชราแปลกประหลาดกำลังเกาหูและหัวด้วยความอับอาย.
"งั้นจงคุกเข่าคำนับ" เจี้ยงเฉินพูดประโยคนี้ออกมาอย่างไม่น่าเชื่อ
"อะไร?" อาวุโสเฟยกลอกตา แต่ดูเหมือนจะเข้าใจบางอย่างจากดวงตาของเจี้ยงเฉินในวินาทีต่อไป ร่างกายของเขาดูเหมือนจะถูกไฟฟ้าดูดขณะที่มันสั่นอย่างรุนแรง และเขากระโดดขึ้นไปตรงหน้าเจี้ยงเฉินด้วยท่าทางที่แปลกมาก
"อะไร เจ้าพูดว่าอะไรนะ? ให้ข้าคุกเข่าคำนับรึ? " เสียงของอาวุโสเฟยสั่นเทาเหมือนคนที่พร้อมจะตาย แต่ก็ได้ยินคำพูดว่ามีโอสถที่จะช่วยให้เขากลับมาจากความตายได้
"อะไรนะ ? ท่านไม่เต็มใจ? เอาล่ะ ดูเหมือนว่าทุกคำพูดกล้าหาญของท่านเป็นเรื่องตลก? ลืมมันไปเถอะ แสร้งทำเป็นว่าข้าไม่ได้พูดอะไรเลย " เจี้ยงเฉินเอื้อมมือออกไปและโบกมือให้
"ไม่ ทำอย่างนั้นไม่ได้นะ " ผู้อาวุโสเฟยทำสีหน้าประจบประแจง "เจี้ยงเฉิน ไม่ซิ นายน้อยเจี้ยง กรุณาพูดให้ชัดกว่านี้เถอะ"
"ข้าบอกท่านแล้วว่าให้คุกเข่าคำนับและสาบาน ข้ายังพูดไม่ชัดเจนพอหรือ? สมองของท่านแย่มากจนดูเหมือนว่าข้าจะต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วนว่าจะยอมรับว่าท่านเป็นทาสรับใช้โอสถของข้าดีหรือไม่ "
"เจ้า ... เจ้ายอมรับข้าเป็นทาสโอสถงั้นรึ?" อาวุโสเฟยเงยหน้าขึ้นมองขณะที่ลิ้นของเขาห้อยออกมา เขาจ้องมองด้วยสายตาที่ตกตะลึง เจ้า ... เจ้าคือปราชญ์ผู้รอบรู้รึ?"
"หืมม สมองของท่านยังสามารถใช้การได้อยู่นี่ แต่ข้าไม่ใช่ปราชญ์อาวุโส ท่านสามารถปฏิบัติต่อข้าได้ในฐานะตัวแทนของปราชญ์ผู้รอบรู้ ท่านเข้าใจไหม ? "
"เข้าใจแล้ว เจ้าเป็นศิษย์ที่รักของผู้อาวุโสคนเก่ง " ผู้อาวุโสเฟยมีความสุขมากจนฉีกยิ้มกว้างถึงหูและหน้าเหี่ยว ๆ ก็มีรอยยิ้มแย้มแจ่มใส "ใช่มั้ย?".
เมื่อเห็นว่าเจี้ยงเฉินไม่ตอบ ผู้อาวุโสเฟยดูเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างในขณะที่เขาทรุดตัวลงและคุกเข่าคำนับ "ขอให้สวรรค์เป็นพยาน ถ้าเจี้ยงเฉินสามารถส่งต่อสูตรโอสถกำเนิดวัฏจักรพิสุทธิ์แก่ข้าได้ ข้า เฟยซวนจะยอมทำตามคำสั่งของเขาและจะยอมเป็นผู้ติดตาม พร้อมที่จะช่วยเหลือเขาในทุกสถานการณ์ ถ้าข้ามีความคิดขัดแย้งใด ๆ ขอให้สวรรค์และแผ่นดินทำลายข้าได้เลย "
ชื่อของเขาคือเฟยซวนนั่นเอง
กล่าวกันว่า อาวุโสเฟยเป็นคนไม่เอาไหน เขาจะล้อเล่นเหมือนเด็กที่ไม่เคยเติบโต เขาแกล้งโง่ได้เก่งกาจมาก อีกทั้งยังชอบแสดงให้ตัวเองดูน่ารัก แต่เมื่อเขาจริงจังกับสิ่งใดแล้ว เขาก็จะเด็ดเดี่ยวกว่าใคร