spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
*ตั้งค่าถาวร (คลิกตั้งค่าถาวร) |
"ตัวบัดซบโง่งมรนหาที่!"
ทันใดนั้นเองน้ำเสียงเยือกเย็นไร้ไมตรีก็ดังขึ้น หลังจากที่ผู้แซ่ชางกำลังพยายามเล่นละครเหลวไหลอยู่ น้ำเสียงนั้นแม้จะดังมาจากที่ไกล ๆ แต่มันช่างน่าพรั่นพรึงราวกับกล่าวอยู่ตรงหน้า
ชายวัยกลางคนใส่ชุดสีเหลืองแกมส้มผู้หนึ่งก้าวเดินมาทางนี้ด้วยท่าทางองอาจ
ผู้ดูแลห้างร้านทุกคนต่างเผยสายตาหวาดกลัวออกมาเมื่อได้เห็นร่างของชายคนนี้ บางคนนั้นก็มองไปยังผู้ดูแลของวิหารครามสวรรค์ที่กำลังพบเจอเรื่องโชคร้ายด้วยแววตาสนุกสนาน
พวกเขาทั้งหมดรู้ดีว่ามันกำลังจะถูกลงโทษ ..
ชายที่สวมชุดสีเหลืองแกมส้มนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้จัดการของวิหารทักษิณครามสวรรค์ นอกจากนี้ยังมีดิ้นรูปกระบี่สั้น 3 อันประดับอยู่ที่หน้าอกของชุดคลุมเขา เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นผู้ที่มีอำนาจในการลงโทษผู้กระทำความผิด และดูจากลักษณะแล้วท่าทางเขาเป็นคนที่มีอำนาจและน่ายำเกรงอย่างมาก
ศิษย์วิหารอุดรครามสวรรค์รีบวิ่งไปทำความเคารพผู้จัดการด้วยน้ำเสียงหวาดกลัว "ใต้เท้าเป่ย ท่านมาแล้ว"
ใต้เท้าเป่ยนั้นทำเพียงเหลือบมองไปยังศิษย์วิหารอุดรครามสวรรค์ด้วยสายตาไม่แยแส “ข้าเองก็เคยได้ยินคำร่ำลือถึงการกระทำของศิษย์วิหารอุดรครามสวรรค์ที่อยู่ทางทิศตะวันตกของอาณาจักรนภาจันทร์ที่แสดงตนราวกับเป็นผู้อยู่เหนือผู้อื่นหามีผู้ใดเทียบเทียมได้ ยามนี้ดูเหมือนข่าวลือนั้นเป็นจริงมิผิด แต่ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะกล้าก่อปัญหาในงานนิทรรศการที่วิหารทักษิณครามสวรรค์ของข้ากลางเมืองหลวงอาณาจักรนภาจันทร์เช่นนี้ ความกล้าเจ้าช่างไร้ขอบเขตนัก! "
"ข้า ข้า ... " ใบหน้าของคนแซ่ชางจากวิหารอุดรครามสวรรค์กลับกลายเป็นบิดเบี้ยวและสั่นระริกจากความกลัว มันแทบจะร้องไห้ออกมาเพราะความกระวนกระวายใจแล้ว
"มา!" ใบหน้าของใต้เท้าเป่ยเคร่งขรึมขึ้น
เหล่าผู้คุมกฎต่างเฮโลกันออกมาตามคำเรียกหาของเขา
"พามันออกไป แล้วโบยมันให้หนัก 100 ไม้ ถ้ามันตกตายก็เอาไปให้สุนัขกัดกินเสีย ถ้ายังไม่ตายก็เฉดหัวไอ้สวะนี้ไปให้พ้นเมืองหลวง! และอนุญาตให้สังหารมันและกลุ่มของมันให้ตกตายได้ทันที หากเห็นพวกมันเหยียบเข้ามาในงานนิทรรศการของวิหารทักษิณครามสวรรค์อีกครั้ง! "
ใต้เท้าเป่ยนั้นออกคำสั่งที่โหดเหี้ยมอย่างยิ่ง
"ใต้เท้าเป่ย อย่าทุบตีข้า!" ศิษย์จากวิหารอุดรครามสวรรค์เริ่มร้องห่มร้องไห้กระจองอแงออกมา "ข้าเป็นหลายชายของผู้อาวุโสฮูหยัน ของวิหารอุดรครามสวรรค์ อย่าทุบตีข้า ... "
“โบยเพิ่มอีก 100 ไม้!” การแสดงของใต้เท้าเป่ยยังคงแข็งกระด้าง
"ใต้เท้าเป่ย,ท่าน... ท่านกล้าตบหน้าอาวุโสฮูหยัน!" ศิษย์วิหารอุดรครามสวรรค์เริ่มกรีดร้องออกมา การเพิ่มอีก 100 ไม้นั้นหมายถึงเขาต้องถูกฟาดโบยรวมเป็น 200 ไม้! เขาคงเป็นผู้มีบุญกุศลมากยิ่งแล้ว...หากไม่ตกตาย
รอยยิ้มเย็นชาปรากฏบนใบหน้าของใต้เท้าเป่ย ก่อนที่เขาจะโบกมืออย่างไม่แยแส "ลากมันออกไป แล้วฟาดโบยจนกว่ามันจะตาย!"
ศิษย์ที่เผชิญหน้ากับเจี้ยงเฉินเมื่อครู่ถูกลากออกไปพร้อมกับคนของมัน พวกมันส่งเสียกรีดร้องโหยหวนราวกับสุนัขที่กำลังจะตายบรรยากาศของพวกมันแลดูน่าสิ้นหวังนัก
แววตาของใต้เท่าเป่ยหวาดมองไปรอบ ๆ บริเวณอย่างดุดัน "จำเรื่องราวครั้งนี้เอาไว้ให้ได้ มันผู้ใดกล้าที่จะก่อให้เกิดปัญหาในงานนิทรรศการของวิหารทักษิณครามสวรรค์อีก มันต้องชดใช้"
"ไม่ว่าสถานะพวกเจ้าหรือผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลังพวกเจ้าจะเป็นผู้ใดยิ่งใหญ่แค่ไหน แต่ข้าคือผู้คุมกฎของวิหารทักษิณครามสวรรค์ คิดข่มขู่ข้าโดยอาศัยคนหนุนหลังเจ้าเช่นนั้นหรือ? หาได้มีความหมายอันใดกับข้าไม่ "
วิธีการที่ดุดันราวกับอัสนีบาตของใต้เท้าเป่ยสะกดทุกคนให้อยู่ในความหวาดกลัว
บางคนที่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องแล้วก็รีบเดินออกไปด้วยความระมัดระวัง
สายตาของใต้เท้าเป่ยวนกลับมามองที่เจี้ยงเฉิน และพยักหน้าให้เล็กน้อย "หนุ่มน้อยเรื่องวันนี้เจ้าหาได้กระทำความผิดอันใดไม่ ข้าแซ่เป่ย หากเจ้าพบปัญหาอันใดในที่นี้เจ้าสามารถรายงานมายังข้าได้โดยตรง ยามนี้ตัวข้าในนามของผู้คุมกฎวิหารทักษิณครามสวรรค์ต้องกล่าวขอขมาเจ้าถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นวันนี้ด้วย"
ใต้เท้าเป่ยผู้นี้กลับซื่อตรงและหาได้ลังเลที่จะกล่าวขอขมาออกมาแม้แต่นิด เจี้ยงเฉินเองประหลาดใจเล็กน้อยที่เห็นใต้เท้าเป่ยผู้นี้ถึงกับขอขมาเขาโดยไม่ลังเล
"ใต้เท้าเป่ยเกรงใจไปแล้ว ในสังคมเช่นนี้ยากที่จะไร้ไข่เน่าปะปนมาอยู่ แต่จะอย่างไรข้านั้นนับถือความซื่อตรงและความเด็ดขาดของใต้เท้าเป่ยมากนัก"
"ไม่มีอันใด การกระทำทั้งหมดเพียงเป็นไปตามกฎระเบียบทั้งสิ้น ชื่อเสียงของวิหารทักษิณครามสวรรค์อยู่ในความดูแลของข้า ข้าจักปล่อยให้มันถูกทำลายโดยผู้กระทำผิดเพียงคนเดียวได้อย่างไร? "
เจี้ยงเฉินพยักหน้า กล่าวได้ว่าเขาบังเกิดความรู้สึกดี ๆ กับใต้เท้าเป่ยผู้นี้ไม่น้อย นับเป็นเรื่องที่น่าพอใจอย่างยิ่ง ที่ได้เห็นศิษย์วิหารอุดรครามสวรรค์ถูกลากออกไปสังหารราวกับสุนัขไร้ค่าตัวหนึ่ง
"ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรข้าก็ต้องขอขอบคุณใต้เท้าเป่ยในการมอบความเป็นธรรมและตัดสินเรื่องราวได้ยุติธรรมเช่นนี้" เจี้ยงเฉินผสานมือขึ้นมา
ใต้เท้าเป่ยโบกมือ " การซื้อและขายอย่างยุติธรรมนับเป็นเรื่องพื้นฐานที่สุด เจ้าสบายใจได้หามีผู้ใดกล้าที่จะเป็นคนคดโกงทีนี่อีกต่อไป อย่างไรก็ตามแม้ว่าพวกมันจะไม่ตามมาเอาเรื่องกับข้าหลังจากที่สังหารศิษย์อุดรครามสวรรค์พวกนั้นไปก็เถอะ แต่เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าพวกมันอาจคิดมาชำระความนี้กับเจ้า เจ้าเองก็ระวังตัวไว้ให้มาก"
เจี้ยงเฉินรู้สึกประทับใจอย่างยิ่งที่ชายวัยกลางคนนามใต้เท้าเป่ยผู้คุมกฎของวิหารทักษิณครามสวรรค์ผู้นี้กล่าววาจาตรงไปตรงมาโดยไม่มีการอ้อมค้อมเช่นนี้
"ใต้เท้าเป่ย ข้าขอน้อมรับฟังคำกล่าวเตือนของท่าน ข้าเองจะระวังให้มาก "
วิหารอุดรครามสวรรค์ก่อปัญหาให้เขา? เปลวเพลิงแห่งความโทสะปะทุลุกโชนขึ้นภายในหัวใจของเขา เมื่อใดก็ตามที่เขาคิดถึงคำสี่คำนี้ ‘วิหาร อุดร คราม สวรรค์’ และกลุ่มของพวกตัวอุบาทว์ทั้งหลายที่ดักปล้นพวกเขาในวันที่พวกเขามุ่งหน้ามาเมืองหลวง
เจี้ยงเฉินไม่คิดลืมเรื่องราวความแค้นที่พวกมันกระทำในวันก่อนแน่นอน เขาจะรอจนกว่า เขาจะลงหลักปักฐานในเมืองหลวงของอาณาจักรนภาจันทร์แห่งนี้ให้ได้มั่นคงก่อน แล้วเขาจะให้วิหารอุดรครามสวรรค์ต้องชดใช้ให้เขาเป็นสิบ ๆ เท่า
ต้องกล่าวว่าอำนาจและอิทธิพลของใต้เท้าเป่ยผู้นี้น่าหวาดกลัวโดยแท้จริง หลังจากที่มีตัวอย่างของศิษย์วิหารอุดรครามสวรรค์แล้ว ทุกคนล้วนทำการค้าขายด้วยความซื่อตรงไม่เล่นลูกไม้อีก
ถึงแม้พวกมันในยามนี้จะถูกล่อลวงอย่างถึงที่สุดจากโอสถแห่งท้องทะเลลึกระดับสูงสุดของเจี้ยงเฉิน แต่ยามนี้หามีผู้ใดกล้าตอแยข่มขู่เจี้ยงเฉินไม่
เจี้ยงเฉินตัดสินใจที่จะซื้อหญ้าลิลลี่ครามกับพฤกษาขนดจากศิษย์ของวิหารหมื่นสมบัติ
ศิษย์ผู้นั้นย่อมไม่ประสงค์จะเอาเงินของเจี้ยงเฉิน แต่เจี้ยงเฉินเลือกที่จะชำระเงิน
เจี้ยงเฉินนั้นเป็นบุคคลที่หาผู้ใดเหมือน เขาไม่คิดต้องการรับสิ่งใดกินเปล่าโดยไร้เหตุผลเช่นนี้ อีกทั้งไม่ต้องกล่าวเลยว่าเรื่องเท่านี้นั้นมันเล็กน้อยเสียยิ่งกว่าขนหน้าแข้งของเขาร่วง 1 เส้นเสียอีก
เขาตัดสินใจที่จะทำการค้ากับศิษย์ของวิหารหมื่นสมบัติคนนี้เพียงเพราะมันนับเป็นคนที่ฉลาดเฉลียวผู้หนึ่ง เจี้ยงเฉินนั้นชอบทำงานกับคนฉลาด
หลังจากที่ได้วัตถุดิบที่ต้องการแล้ว เจี้ยงเฉินก็ไม่คิดที่จะเสียเวลาอยู่ในพื้นที่งานนิทรรศการนี้อีกต่อไป เขาเดินกลับออกไปพร้อมกับโจวหยู่และคนอื่น ๆ ทั้งหมดเตรียมมุ่งหน้าตรงไปยังทางออก
ศิษย์ของนิกายหมื่นสมบัตินั้นตามเขาออกมาด้านนอก ก่อนที่จะกล่าวเรียกเอาไว้ "น้องชาย โปรดรอสักครู่"
เจี้ยงเฉินหยุดลง เขารู้ดีว่าวิหารหมื่นสมบัตินั้นนับเป็นมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเมืองหลวงแห่งนี้ และยังเป็น 1 ใน 4 มหาอำนาจเบื้องหลังของอาณาจักรนภาจันทร์แห่งนี้อีกด้วย นอกจากนี้ยังเป็นมหาอำนาจเดียวที่อยู่อาศัยและมีอาคารที่ตั้งในเมืองหลวงของอาณาจักรนภาจันทร์แห่งนี้
เนื่องจากต่อไปเขาก็คิดที่จะดำเนินการหลายสิ่งอย่างในเมืองหลวงแหง่นี้ การคบค้าสมาคมและมีสัมพันธ์อันดีกับวิหารหมื่นสมบัติย่อมมีประโยชน์
"น้องชาย ข้ามีนามว่าเฟิงหยาง เป็นลูกศิษย์ของวิหารหมื่นสมบัติ ข้ารู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้อย่างมากสำหรับเรื่องราวในวันนี้ ...ยามปกติแล้วแม้วิหารทั้ง 4 จะแข่งขันกันลับหลัง แต่ในที่แจ้งพวกเรามิมีผู้ใดใคร่ปะทะกันมากนัก เมื่อสหายจากวิหารอุดรครามสวรรค์ต้องการหญ้าลิลลี่ครามกับพฤกษาขนด ข้าเลย ... "
"ไม่เป็นไร หาใช่ความผิดของท่าน" เจี้ยงเฉินย่อมรู้ว่านี่เป็นกฎหมู่ลับ ๆ และการฮั้วกันของพวกมัน
"ยามนี้ข้ายิ่งรู้สึกละอายยิ่งนักเมื่อได้ฟังวาจาของท่าน น้องชายท่านใจกว้างนัก ข้าเฟิงหยางอยากคบหาท่านเป็นสหาย เหตุใดพวกเราไม่หาสถานที่พักผ่อนและให้ข้าชดใช้ด้วยสุราเลิศรสสักหน่อยเล่า? "
"ยอมได้หากแต่มิใช่ตอนนี้ ครั้งนี้ข้าขอรับไว้เพียงความหวังดีของพี่ท่าน ข้าแน่ใจว่าจะอย่างไรข้าต้องมีการติดต่อกับทางวิหารหมื่นสมบัติอีกมากมายในอนาคต ยามนั้นคงต้องขอให้พี่เฟิงดูแลข้าด้วย" เจี้ยงเฉินกล่าวอย่างสุภาพ
“ถ้าน้องชายยินดีที่จะให้เกียรติค้าขายกับวิหารหมื่นสมบัติ สำหรับพวกเรายอมถือว่าเป็นเกียรติแล้ว โอ้ใช่ พวกเราสนทนากันอยู่นานแล้ว ข้ายังมิได้ไถ่ถามนามอันประเสริฐของน้องชายเลย”
"ข้ามีนามว่า เจี้ยงเฉิน"
"เจี้ยงเฉิน" เฟิงหยางพยักหน้าเล็กน้อย "ชื่อที่ดี"
จากนั้นเขาก็เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้บางอย่าง ท่าทีของเขาพลันเปลี่ยนไปเล็กน้อย แล้วกล่าวถามออกมาด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง "เจี้ยงเฉิน? น้องชาย, ท่านมาจากอาณาจักรตะวันออกหรือ? "
เจี้ยงเฉินประหลาดใจเป็นพิเศษ ชื่อเสียงของเขาเดินทางมาถึงอาณาจักรนภาจันทร์แล้วหรือ? เฟิงหยางคนนี้เป็นเพียงศิษย์ของวิหารหมื่นสมบัติเหตุใดจึงรู้จักเขากัน?
เจี้ยงเฉินไม่แน่ใจดีกว่าควรสุขใจหรือหดหู่ใจดี แต่เขายังคงมีรอยยิ้มประดับไว้ "ไม่คิดว่าพี่เฟิงจะรู้จักข้าด้วย?"
เฟงหยางกลับกลายเป็นตื่นเต้นขึ้นมา “น้องชายเจี้ยงท่านมิทราบหรือว่า ยามนี้ชื่อเสียงท่านเป็นไรแล้ว? อาณาจักรนภาจันทร์นั้นนับเป็น 1 ใน 4 อาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดากลุ่มพันธมิตร 16 อาณาจักร และด้วยเหตุนี้เองจึงรับรู้เรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นภายในกลุ่มพันธมิตร เนื่องจากวิหารหมื่นสมบัติของพวกเรานั้นเน้นที่การทำธุรกิจค้าขายเช่นนั้นพวกเราจึงต้องมีข้อมูลจากทุกด้าน ดังนั้นนามเจี้ยงเฉินของน้องชายแทบจะดังกระหึ่มราวอัสนีบาตฟาดอยู่ในวิหารหมื่นสมบัติของพวกเราแล้วยามนี้”
การกล่าวว่านามของเจี้ยงเฉินนั้นดังกระหึ่มราวอัสนีบาตฟาดนั้น แน่นอนว่าย่อมเป็นการกล่าวเพื่อเสริมสร้างความรู้สึกดี ๆ แต่จะให้ทำอย่างไรในเมื่อหลังจากที่ได้รับรู้ว่าน้องชายตรงหน้าคือเจี้ยงเฉิน เฟิงหยางเองย่อมปรารถนาที่จะคบหากับมันมากยิ่งขึ้น
รายงานจากหน่วยสืบข่าวที่ถูกส่งไปประจำอาณาจักรตะวันออกนั้นแทบจะทำให้เจี้ยงเฉินเป็นบุคคลในตำนานไปแล้ว เขาหยุดยั้งการก่อกบฏของตระกูลหลงของขุนนางมังกรทะยานเพียงลำพัง อีกทั้งยังทำลายล้างกองทัพของอาณาจักรจันทราทมิฬจนพินาศย่อยยับ ยังมีหนึ่งศรสังหารแม่ทัพอันดับหนึ่งของอาณาจักรจันทราทมิฬอีก ...
ข่าวลือต่าง ๆ ที่ได้รับมานั้นทำให้เฟิงหยางไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากยกย่องนับถือเจี้ยงเฉิน
เฟิงหยางเป็นคนฉลาด เขาไม่คิดว่าตัวเขาที่เป็นแค่ศิษย์ของวิหารหมื่นสมบัติของอาณาจักรนภาจันทร์ที่เป็นอาณาจักรระดับสูงกว่า จะอาศัยเรื่องพวกนี้ในการดูถูกอัจฉริยะที่มาจากอาณาจักรตะวันออกคนนี้ได้
ถึงแม้ว่าอาณาจักรนภาจันทร์จะแข็งแกร่งกว่าอาณาจักรตะวันออกหลายเท่าตัว แต่ภายในกลุ่มพันธมิตรทั้ง 16 อาณาจักรเองก็ย่อมสามารถบังเกิดอัจฉริยะถือกำเนิดขึ้นมาได้เช่นกัน
ความเป็นอัจฉริยะของเจี้ยงเฉินนั้นแน่นอนว่าไม่ใช่อะไรที่ตัวเขาเฟิงหยางจะดูแคลนได้ ในทางกลับกันหลังจากที่เขาได้รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลอย่างชาญฉลาดแล้ว เขาต้องวางตัวให้เหมาะสมและคิดถี่ถ้วนให้ละเอียดรอบคอบในการกล่าววาจาเพื่อที่จะได้คบหากับเจี้ยงเฉินได้
"น้องชายเจี้ยง ข้ายังคิดกล่าวเรื่องที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ซ้ำอีกครั้ง หากท่านมอบโอสถแห่งท้องทะเลลึกไปให้วิหารหมื่นสมบัติของพวกเรานำออกประมูลแล้วล่ะก็ ท่านจะได้รับราคาที่ดีเยี่ยมอีกทั้งยังสามารถเพิ่มชื่อเสียงให้ท่านได้ในเวลาเดียวกัน "
เจี้ยงเฉินย่อมรับรู้ได้ว่าเฟิงหยางมีความจริงใจเลยพยักหน้าออกไป "พี่เฟิง ข้าย่อมไปพบท่านที่วิหารหมื่นสมบัติอย่างแน่นอน เมื่อข้าทำสิ่งที่กำลังกระทำอยู่เสร็จสิ้นแล้ว"
เฟิงหยางนั้นย่อมยินดีอย่างยิ่งเมื่อได้รับฟังคำยินยอมของเจี้ยงเฉิน
ในขณะที่ทั้งสองกำลังสนทนากันอยู่นั้นเอง เสียงตะโกนก็ดังขึ้นจากด้านข้าง "นังสารเลว เหตุใดไม่กล่าวออกมาอีกคำเล่า? ยังกล้ากล่าวหาว่าข้าแย่งชิงพฤกษาทมิฬของเจ้าอยู่อีกหรือไม่? "
"ได้โปรด!"
เฟิงหยางและเจี้ยงเฉินอดไม่ได้ที่จะหันไปมองหลังจากที่ได้ยินเสียงตะโกน
พวกเขาเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งหน้าตาอัปลักษณ์สวมเสื้อสีแดงลายปักสีน้ำเงินกำลังตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด โดยมีเด็กสาวรูปร่างบอบบางท่าทางอิดโรยกำลังคุกเข่าอ้อนวอนอยู่
เด็กสาวคนนั้นร้องไห้ไม่หยุด ในขณะที่นางเองก็กอดเท้าของชายหนุ่มคนนั้นเอาไว้ไม่ยอมปล่อย
"มอบพฤกษาทมิฬกลับมาให้ข้าเถอะ" เสียงของเด็กสาวดังขึ้นและน้ำเสียงของนางเองก็สั่นระริกน่าสงสารอย่างยิ่ง แต่ท่าทางของนางนั้นแสดงออกถึงความแข็งกร้าวว่าจะอย่างไรต้องทวงสิ่งของที่กล่าวเมื่อครู่คืนให้ได้ไม่อย่างนั้นนางจะไม่ปล่อยมือ
"ข้ายังไม่ได้คืนพฤกษาทมิฬให้เจ้าหรือไร? เจ้าไม่เชื่อหรือว่าข้าจะฟาดพวกเจ้าให้ตกตายเสียตรงนี้ หากยังไม่ปล่อยมือ? "
เด็กสาวส่ายหัว "ได้โปรดนายท่าน อย่าได้แย่งชิงมันไปเลย มอบคืนให้ข้าเถอะ "
"นังผีบ้า ข้าเป็นศิษย์ของวิหารอุดรครามสวรรค์ที่ยิ่งใหญ่ เหตุใดข้าจึงต้องการพฤกษาทมิฬบ้าบออันใดของเจ้า? มองดูสารรูปของเจ้าเสียก่อน สภาพแทบมิต่างอันใดจากขอทาน เจ้าต้องการที่จะทำร้ายชื่อเสียงข้าหรือไร? "
"เป็นตัวอุบาทว์นั่นอีกแล้ว!" เจี้ยงเฉินเองยังไม่ทันพูดแต่เสียงของโจวหยู่ที่อยู่ด้านข้างกลับดังออกมาด้วยความเย็นชา มือของนางกระชับกระบี่เอาไว้ ที่แท้ชายที่มีเรื่องอยู่กลางถนนนั้นหาใช่ใครอื่นแต่กลับเป็นตัวอุบาทว์แซ่กวงที่พยายามปล้นชิงพวกของเจี้ยงเฉินในระหว่างเดินทางมาเหมืองหลวงนั่นเอง
เจี้ยงเฉินเองก็รู้สึกถึงจิตสังหารที่เริ่มปะทุออกมาของตัวเองได้เช่นกันเมื่อมองไปที่มัน และเมื่อเขามองไปยังเด็กสาวที่กอดขาอยู่ก็พบว่านางกลับเป็นภรรยาของเทียนหลง
ทั้งสองฝ่ายนับว่าเป็นคนที่เขารู้จัก
ดวงตาของคนแซ่กวงถึงกับวูบไหวเมื่อเห็นคนคุ้นหน้า และท่าทางของเขาก็แปรเปลี่ยนไปทันทีเมื่อพบว่าคนคุ้นหน้าคนนั้นกลับกลายเป็นเจี้ยงเฉิน เขารีบตบภรรยาของเทียนหลงออกไปให้พ้นทางทันที
"อีนังบ้าโสโครก รีบไสหัวไปให้พ้นทางข้า ข้าไม่อยากเสียเวลาไปกับเจ้าอย่างไร้ประโยชน์"เขายกเท้าขึ้นเตรียมตัวที่จะออกวิ่ง
"พี่เฟิง ศิษย์จากวิหารอุดรครามสวรรค์สามารถเข่นฆ่าผู้คนกลางวันแสก ๆ กลางเมืองหลวงได้หรือไม่?" เจี้ยงเฉินกล่าวถามออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ
เฟิงหยางได้ฟังก็กล่าวตอบออกมา "กล่าวไปต้องบอกว่าการรักษาความปลอดภัยในเมืองหลวงนี้ค่อนข้างดีนัก หากหน่วยเขี้ยวมังกรรู้วามีคนร้ายคิดฆาตกรรมผู้คนเล่นบนถนนเช่นนี้ล่ะก็ พวกมันหากไม่ถูกโยนเข้าคุกก็ต้องถูกประหารชีวิตทันที"
เจี้ยงเฉินพยักหน้าก่อนที่จะเยื้องย่างเท้าออกไปราวกับนกเหยี่ยวตะปบเหยื่อ เพียงปราดเดียวกลับบรรลุถึงเบื้องหน้าคนแซ่กวงอย่างอัศจรรย์ "นับว่าโลกนี้คับแคบนัก มิคิดว่าพวกเราจะได้เจอกันอีกครั้งที่นี่"