หน้าแรก > ราชันสามภพ
ตอนที่ 140 หาที่อยู่ในเมืองหลวง นับว่าเป็นเรื่องยากเย็นนัก

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

*ตั้งค่าถาวร (คลิกตั้งค่าถาวร)

ปักกก ! เย่หลงกระแทกจอกสุราลงบนโต๊ะอย่างรุนแรง "วิหารอุดรครามสวรรค์? ข้าได้ยินมานานแล้วว่าพวกมันมักกระทำการอุกอาจเช่นนี้ ศิษย์ของวิหารแห่งนี้มักมีข่าวลือเรื่องฆ่าฟันปล้นชิงสิ่งของผู้อื่นอยู่เรื่อยมา แต่ข้ากลับคิดมาตลอดเวลาว่า ข่าวลือดังกล่าวเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อและเกินจริงอยู่บ้าง แต่ดูเหมือนข่าวลือนี้หาใช่เรื่องเกินจริงแต่อย่างใด พวกมันนับเป็นตัวอุบาทว์ที่กล้ากระทำการบัดซบเช่นนั้นจริง ๆ "

"น้องเจี้ยงอย่าได้กังวล เรื่องราวความไม่เป็นธรรมของเจ้าครั้งนี้ข้ารับรู้แล้วและข้าจะจัดการให้เจ้าอย่างแน่นอน ข้าจะให้พวกมันต้องชดใช้เรื่องนี้อย่างสาสมในเวลาไม่กี่วันนี้"

เจี้ยงเฉินยิ้มออกมา "พวกมันนับเป็นเพียงตัวตลกไร้ค่าหาได้มีบทบาทสำคัญอันใดไม่ พี่เย่ท่านอย่าได้กังวลกับเรื่องราวไร้สาระเช่นนี้อีกเลย เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เพียงเท่านี้ข้าจัดการได้เองไม่มีปัญหาอันใด ท่านอย่าได้ลำบาก"

"ฮ่า ๆ ถูกต้อง! น้องเจี้ยงด้วยพรสวรรค์และศักยภาพไร้ที่สิ้นสุดของเจ้าจะอย่างไรต้องโดดเด่นอยู่ในนิกายพฤกษาสวรรค์เป็นแน่ เมื่อนั้นเจ้าจะเหยียบพวกตัวอุบาทว์นั่นให้จมดิน ก็นับว่าเป็นเรื่องราวง่ายดายดั่งบี้มด "

เจี้ยงเฉินพยักหน้าลงเบา ๆ ก่อนที่จะกล่าวออกมา "มาเถอะ พี่เย่ ดื่ม!"

หลากจากดื่มสุราหมดจอกเย่หลงก็กล่าวออกมาต่อว่า "เอาล่ะน้องเจี้ยง เมื่อเจ้ามาถึงเมืองหลวงนี้แล้วจะอย่างไรข้าก็ต้องมีเรื่องราวที่จำเป็นต้องบอกกล่าวแก่เจ้าเรื่องหนึ่ง"

"พี่ท่านว่าต่อไป"

"ก่อนอื่นเลยเจ้ามาในฐานะแขกของข้า หาใช่ผู้ติดตามไม่ ด้วยเหตุนี้เจ้าจึงไม่สามารถอยู่ภายในคฤหาสน์นี้ได้ หากจะได้รับสิทธิ์ที่สามารถอาศัยอยู่ในคฤหาสน์นี้ เจ้าต้องเป็นคนในครอบครัวหรือข้ารับใช้ของคฤหาสน์ ประเด็นของเรื่องนี้ก็คือ...หากเจ้ายังมีสถานะเป็นแขกนั้น ก็มิต่างอันใดกับคนนอก...และนั่นทำให้เจ้าต้องพักอาศัยอยู่ที่อื่น"

เจี้ยงเฉินเองก็ไม่ได้คิดที่จะพักในคฤหาสน์นี้อยู่แล้ว เนื่องจากกลุ่มของเขานั้นนำพาผู้คนมามากมาย หากให้ไปอยู่ใต้ชายคาผู้อื่นก็เกรงว่าจะทำอะไรไม่สะดวกและไม่ค่อยจะเหมาะสมสักเท่าไร อีกทั้งมันก็มิคิดจะรบกวนพึ่งพิงผู้ใด

"เรื่องนี้ง่ายดายนัก เพียงใช้จ่ายซื้อบ้านที่กว้างและร่มรื่นสักหลังเท่านั้นเอง" ความสามารถทางการเงินของเจี้ยงเฉินนั้นไม่ได้ธรรมดาสามัญแต่นับว่าน่าอัศจรรย์นัก ถึงนี่จะเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรนภาจันทร์ เจี้ยงเฉินไม่คิดว่าด้วยความมั่งคั่งที่เขามีจะไม่สามารถหาซื้อบ้านสักหลังได้

เย่หลงลูบจมูกของเขาก่อนที่จะเผยรอยยิ้มขมขื่นออกมา "เอ่อ...หาใช่เรื่องง่ายดายนัก เจ้าไม่สามารถซื้อบ้านและที่ดินได้เพียงเพราะเจ้าอยากซื้อมัน"

“โอ้? หรือว่าที่ดินในอาณาจักรนภาจันทร์แห่งนี้จะมีค่าดั่งทองเช่นนั้นหรือ? ที่ดินมันมีราคาสูงถึงขนาดที่บ้านเรือนสักหลังมีราคาแพงจนไม่อาจซื้อ? "

"หาใช่อย่างนั้น แม้ราคาที่ดินจะแพงเท่ากับราคาเดือนดารา ข้าเชื่อว่าคงไม่เป็นปัญหากับความมั่งคั่งของเจ้า เหตุที่เจ้ามิสามารถซื้อที่ดินหรือบ้านเรือนสักหลังได้ในอาณาจักรนภาจันทร์เพียงแค่เจ้าต้องการนั้นเพราะ เจ้าต้องพอมีสถานะอยู่บ้างหากคิดจะซื้อหาที่ดิน สถานะของเจ้ามันอาจจะยิ่งใหญ่และสูงสุดในอาณาจักรตะวันออก แต่สำหรับในอาณาจักรนภาจันทร์แห่งนี้เจ้ายังมิมีสถานะอันใด ดั่งเช่นกระดาษเปล่า"

เจี้ยงเฉินก็เข้าใจได้ในที่สุดหลังฟังคำอธิบายของเย่หลง

มีลำดับขั้นชนชั้นและสถานะของแต่ละบุคคลที่ชัดเจนในอาณาจักรนภาจันทร์แห่งนี้ เมื่อทำธุรกรรมใด ๆ ในอาณาจักรนภาจันทร์แห่งนี้ คนผู้หนึ่งไม่อาจจะซื้อหาบ้านหรือที่ดินที่หรูหราได้โดยไม่ได้มีสถานะที่เหมาะสม

เจี้ยงเฉินเข้าใจได้อย่างแจ่มแจ้งเมื่อคิดถึงเรื่องนี้

อันที่จริงนี่ก็นับว่าคล้ายคลึงกับอาณาจักรตะวันออก ประชาชนธรรมดาสามัญไม่ได้มีสิทธิ์ในการพักในเคหะสถานที่หรูหรามากเกินไป แม้จะเป็นพ่อค้าที่ร่ำรวยมหาศาลหรือเจ้าของธุรกิจใหญ่ใด ๆ ก็ตาม พวกมันล้วนถูกห้ามมิให้เข้าพักในบางแห่ง เพราะที่แห่งนั้นอาจจะถูกสงวนไว้ให้กับขุนนาง เว้นเสียแต่ว่าพวกมันจะมีตำแหน่งและสถานะหรือไม่ก็ความสำเร็จจนมีชื่อเสียงที่มากพอ

นี่ไม่ใช่กฎข้อบังคับของอาณาจักรตะวันออก แต่ทว่าเป็นกฎที่ผู้คนระดับสูงในอาณาจักรตะวันออกต่างก่อตั้งกฎนี้กันขึ้นมาเอง

อาณาจักรนภาจันทร์นั้นก้าวหน้าไปไกลกว่าอาณาจักรตะวันออกมากมายนัก มันถึงกับบัญญัติเป็นกฎหมายข้อบังคับเช่นนี้

สถานะของตัวบุคคลจะเป็นตัวกำหนดขอบเขตที่อยู่อาศัยโดยที่ไม่สามารถกระทำเกินขอบเขตได้ ท่านจะไม่สามารถซื้อบ้านหลังใหม่ที่เกินข้อกำหนดได้แม้ว่าจะมีเงินเพียงพอที่จะซื้อโลกใบนี้ก็ตาม

นับว่าความสำคัญของอาณาจักรนภาจันทร์แห่งนี้แตกต่างจากอาณาจักรทั่วไปอยู่บ้าง ด้วยชื่อเสียงของเจี้ยงเฉินนั้น อาณาจักรจันทราทมิฬถึงกับยินยอมทำสัญญาว่าจะมอบสถานะขุนนางอันดับหนึ่งให้แก่เขา

แต่หลังจากที่เดินมาถึงอาณาจักรนภาจันทร์แห่งนี้ แม้แต่องค์ชายเองยังช่วยอะไรเขาไม่ได้

ดูเหมือนว่าวิถีปฏิบัติและข้อบังคับของอาณาจักรนภาจันทร์แห่งนี้จะมีเหตุผลมากกว่าอาณาจักรตะวันออกหรืออาณาจักรจันทราทมิฬ อีกทั้งกฎของที่นี้ก็เคร่งครัดมากกว่าเช่นกัน

"พี่เย่ แล้วพอมีลู่ทางอันใดเพื่อที่จะได้รับสถานะอะไรนั่นหรือไม่?"

"มี แต่ทว่าน้อยนัก การจะเป็นขุนนางได้นั้น หากมิสอบแข่งขันก็ต้องไปเป็นทหารตั้งแต่ยศแรก แม้ด้วยความสามารถของเจ้ามันจะรวดเร็วหากอาศัยทั้งสองวิธีนี้ แต่นับว่ามีผู้แข่งขันที่มากมายและต้องแย่งชิงกันหนักข้อนัก"

“นอกจากจะเป็นขุนนางหรือทหารแล้ว วิธีที่รวดเร็วที่สุดที่จะได้รับสถานะนั้นคือเข้าร่วมเป็นศิษย์ของนิกายต่าง ๆ หรือไม่ก็เข้าร่วมสาขาใดสาขาหนึ่งของพวกมัน ยิ่งมีความสามารถพิเศษอาทิ เช่น หลอมสร้างปรับแต่งโอสถ หรือหลอมสร้างกลั่นเสริมอาวุธ หัวข้อที่เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้นับว่ามีโอกาสที่จะได้ที่นั่งหรือตำแหน่งขุนนางระดับสูง ๆ ได้รวดเร็วที่สุด นิกายพฤกษาสวรรค์นั้นก็แบ่งออกเป็น 4 วิหารหลักและดำรงอยู่ในอาณาจักรนภาจันทร์แห่งนี้ และแต่ละที่นั้นหากมีความสามารถอยู่ในระดับสูง การจะได้รับสถานะทางสังคมหรือระดับขั้นขุนนางย่อมรวดเร็วนัก "

"แบ่งออกเป็น 4 วิหาร?"

"ถูกแล้วเจ้าเองก็ได้พบกับพวกมันแล้ว วิหารอุดรครามสวรรค์เอง ก็นับว่าเป็น 1 ใน 4 วิหารด้วย นอกจากนี้ยังมีวิหารทักษิณครามสวรรค์ วิหารชิงหยาง และสุดท้ายวิหารหมื่นสมบัติ รวมเป็น 4 วิหาร "

"มีวิหารอุดรครามสวรรค์ แล้วกลับยังมี วิหารทักษิณครามสวรรค์ อยู่อีกด้วยงั้นหรือ"

"ย่อมมี และวิหารอุดรครามสวรรค์นั้นครอบครองพื้นที่ทางด้านทิศตะวันออกของอาณาจักร วิหารทักษิณครามสวรรค์นั้นครอบครองพื้นที่ทิศใต้ วิหารชิงหยางนั้นครอบครองบริเวณภาคกลางของอาณาจักร ส่วนวิหารหมื่นสมบัตินั้นครอบครองอาณาเขตแค่ในเมืองหลวงแห่งนี้เท่านั้น"

เย่หลงยังกล่าวอธิบายต่อไปอีกว่า "หากจะกล่าวไปข้าเองก็พอมีวิธีอยู่บ้าง เนื่องจากข้านั้นมีสัมพันธ์อันดีกับคนของวิหารทักษิณครามสวรรค์ ข้าสามารถขอสถานะขุนนางมาให้เจ้าได้โดยอาศัยเส้นสาย แต่ทว่าเจ้าอาจจะได้รับเพียงสถานะขุนนางขั้นที่ 8 เท่านั้นหากใช้วิธีนี้ ...ช่างยากลำบากนักหากคิดที่จะได้รับสถานะสูงกว่านี้ "

สถานะขุนนางของอาณาจักรนภาจันทร์นั้นแบ่งออกเป็น 9 ขั้น

ขั้นที่ 9 นับว่าเป็นอันดับต่ำสุด ส่วนขั้นที่ 1 คืออันดับสูงสุด

องค์ชายอย่างเย่หลงนั้นมีสถานะเป็นขุนนางขั้นที่ 1 แต่ถ้าเขาสามารถกลายเป็นรัชทายาทได้ เขาจะหลุดพ้นจากสถานะขุนนางขั้นที่ 1 ทันทีแต่จะกลายเป็นตัวตนระดับราชวงศ์ที่มีอำนาจสั่งการขุนนางขั้นที่ 1 อีกที

"วิหารทักษิณครามสวรรค์?" แม้เจี้ยงเฉินจะรู้ว่า วิหารทักษิณครามสวรรค์และ วิหารอุดรครามสวรรค์เป็นกองกำลังที่แตกต่างกัน แต่จะอย่างไรเขาก็รู้สึกแย่กับชื่อนี้อยู่มาก

"เอาล่ะ ลืมเรื่องเส้นสายของท่านไปดีกว่า ข้าจะไปเดินเล่นในเมืองหลวงเสียหน่อยในวันพรุ่งนี้ และคงเข้าใจเรื่องราวอะไรได้เอง ยามนี้ข้าคิดว่าควรใช้เวลาทำความคุ้นเคยสถานที่ใหม่นี่ก่อน แล้วก็ค้นหาโรงเตี๊ยมสักหน่อย"

เย่หลงนั้นรู้สึกละอายนัก ตัวเขาเป็นถึงองค์ชาย แต่มีหลายอย่างที่สถานะองค์ชายเองก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะเขาเองก็ไม่สามารถทำตามใจชอบหรือทำผิดกฎได้

นอกจากนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ องค์ราชาได้จับตาดูเรื่องนี้ด้วยตนเองและเฝ้าดูบุตรทุกคน หากองค์ชายคนไหนคิดใช้สถานะพิเศษอันเป็นตัวตนของราชวงศ์เพื่อรวบรวมสมัครพรรคพวกโดยมิได้ใช้ความสามารถตัวเองแล้วล่ะก็ จุดยืนของพวกมันในสายตาขององค์ราชาจะลดลงอย่างถึงที่สุด

เจี้ยงเฉินเองก็ค่อนข้างเปิดใจยอมรับในเรื่องนี้

แม้ว่าตั้งแต่มาเยือนอาณาจักรนภาจันทร์แห่งนี้ สถานะและตัวตนของเขาจะกลับกลายเป็นคนธรรมดาที่ต้อยต่ำยิ่งกว่าขุนนางขั้นที่ 9 เสียอีก แต่เจี้ยงเฉินก็รู้สึกพึงพอใจมากเสียกว่า ได้รับตำแหน่งไร้ค่าอย่างขุนนางอันดับ 1 ของอาณาจักรจันทราทมิฬหรือตัวตนไร้คู่เปรียบในอาณาจักรตะวันออก ยามนี้เจี้ยงเฉินรู้สึกพึงพอใจไม่น้อย

เพราะความท้าทายครั้งใหม่นี้ทำให้เขามีแรงกระตุ้นและแรงบันดาลใจอะไรใหม่ ๆ มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ตัวเขายังไม่เคยคิดว่าจะคว้าตำแหน่งอะไรพวกนั้นมาไม่ได้

ภายใต้การตระเตรียมของเย่หลง ในคืนนั้นกลุ่มของเจี้ยงเฉินก็ได้ที่พักเป็นโรงเตี๊ยมชั้นเลิศแห่งหนึ่งที่มีพื้นที่กว้างขวางและเงียบสงบอยู่ไม่น้อย  หลังจากนั่งเกี้ยวสบาย ๆ เดินทางผ่านถนนหนทางยามค่ำคืนจนมาถึงที่พัก  กลุ่มของเจี้ยงเฉินก็ผ่านค่ำคืนไปอย่างสะดวกสบาย

เช้าวันรุ่งขึ้นเจี้ยงเฉินได้เรียกรวมพลเหล่าผู้คุ้มกันส่วนตัวทั้ง 8 คนของเขาเพื่อมอบหมายภารกิจให้พวกมันไปกระทำ เขาให้พวกมันไปรวบรวมและหาข้อมูลของวิหารแต่ละแห่งมาให้ได้มากที่สุด เพื่อให้ทราบถึงคุณสมบัติและข้อจำกัดของแต่ละวิหารที่ต้องการใช้ เพื่อให้เขาได้รับสถานะขุนนางขั้นที่สูงที่สุด

เขาไม่อยากทำเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้ด้วยตัวเอง

การส่งผู้ติดตามใต้บังคับบัญชาของเขาออกไปเช่นนี้นับว่าเป็นการมอบบทเรียนให้พวกมันได้ฝึกฝนส่วนหนึ่ง

เจี้ยงเฉินนั้นได้นำโจวหยู่และเฉียวไป่ชี่ไปด้วยกันกับเขา โดยเขาจะไปตามหาที่อยู่ที่เทียนหลงได้ให้เอาไว้ เพื่อที่จะไปเยี่ยมเยือนครอบครัวของเทียนหลงนั่นเอง

แม้เจี้ยงเฉินจะไม่รู้ว่าสิ่งของอะไรที่เทียนหลงฝากฝังให้เขานำมามอบแก่ครอบครัว แต่ตัดสินใจจากน้ำเสียงของมัน ของสิ่งนี้ย่อมมีความสำคัญต่อครอบครัวของเทียนหลงอย่างมาก

บ้านของเทียนหลงนั้นตั้งอยู่ในพื้นที่แออัดทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองหลวง เจี้ยงเฉินพบเจอตรอกซอกซอยเล็ก ๆ มากมาย หลังจากเลี้ยวเข้าซอยนั้นผ่านซอยนู้น ในที่สุดก็มาถึง

ซอยที่สกปรกนั้นทำให้โจวหยู่ที่เกิดในราชวงศ์รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย

อย่างไรก็ตามเมื่อนางหันไปพบว่าใบหน้าของเจี้ยงเฉินนั้นไร้อารมณ์หรือหาได้สนใจอะไร นางก็ละวางทิฐิและเลิกสนใจในฐานะเก่าก่อนทันที และยามนี้เมื่อนางก้าวเท้าไปยังพื้นที่สกปรกพวกนั้น พลันรู้สึกว่าสุดท้ายแล้วถนนที่สกปรกก็หาได้สกปรกอีกต่อไป

ครอบครัวของเทียนหลงนั้นอาศัยอยู่ในบ้านชั้นเดียวอีกทั้งยังสภาพทรุดโทรมดูราวกับว่าจะพังลงมาได้ทุกเวลา แต่ทว่าทั้งภายในและภายนอกตัวบ้านก็ได้รับการทำความสะอาดเป็นอย่างดี

กลุ่มของเจี้ยงเฉินทั้ง 3 คนได้เคาะประตูบ้านอยู่ครู่หนึ่ง ไม่นานก็มีการตอบรับจากเด็กสาวอายุราว ๆ 17-18ปี ใบหน้าของสาวน้อยคนนั้นพลันขึ้นสีเล็กน้อยเมื่อพบเจอคนแปลกหน้า

นางถามออกมาอย่างตะกุกตะกักว่า "ทะ ... ท่าน ... กำลังมองหาผู้ใด?"

"นี่บ้านของเทียนหลงใช่หรือไม่?" เจี้ยงเฉินยิ้ม

"ชะ ... ใช่? ท่านเป็นใคร?" สาวน้อยคนนั้นกล่าวออกมาด้วยความระแวง

มีเสียงดังออกมาจากด้านใน "น้องสะใภ้ ใช่พี่ชายข้ารึเปล่า? พี่ชายข้ากลับมาพร้อมสิ่งของนั่นแล้วหรือ? "

หากฟังจากน้ำเสียงแล้วเจ้าของเสียงไม่ได้มีอายุมากนัก คงรุ่นราวคราวเดียวกับเจี้ยงเฉิน

"เทียนหลงนั้นไหว้วานให้ข้านำของสิ่งนี้มาส่ง เจ้านำมันไปเก็บไว้เถิด" เจี้ยงเฉินส่งสิ่งของที่รับมาให้แก่สาวน้อยคนนั้น

สาวน้อยเช็ดมือกับเสื้อของนาง 2-3 ครั้ง ด้วยใบหน้าเขินอาย ก่อนที่จะเอื้อมมือไปรับมาด้วยท่าทีกล้า ๆ กลัว  ๆ แล้วรีบวิ่งกลับเข้าไปในบ้านทันที

หลังจากนั้นน้ำเสียงตื่นเต้นก็ดังมาจากข้างในบ้าน "ฮ่า ฮ่า มันเป็น พฤกษาวิญญาณทมิฬ! น้องสะใภ้นี่คือพฤกษาวิญญาณทมิฬอย่างไรเล่า! ฮ่า ฮ่า นั่นหมายความว่าข้ามีคุณสมบัติเพียงพอที่จะได้รับการรักษาจากวิหารทักษิณครามสวรรค์แล้ว ด้วยฝีมือของพวกมันอีกไม่นาน... น้องสะใภ้ข้า ... ข้าจะสามารถเดินด้วยขาทั้งสองข้างของข้าได้อีกครั้งในอนาคต! อา พี่ใหญ่! ท่านเป็นพี่ใหญ่ที่ดียิ่ง! "

ชายหนุ่มที่อยู่ในบ้านดูเหมือนจะตื่นเต้นมาก ตอนนี้เขายังคงทุบขอบเตียงหรืออะไรสักอย่างจนส่งเสียงตึงตังออกมาอย่างมีความสุข ดูเหมือนเขาจะอดทนอดกลั้นและเฝ้ารอมานานพอสมควรแล้ว ยามนี้เขาจึงได้ระบายอารมณ์ออกมาเช่นนี้

สาวน้อยในชุดเก่า ๆ เดินออกมาอีกครั้งและกล่าวถามออกมาด้วยน้ำเสียงเขินอายว่า "ท่านเป็นสหายของเทียนหลงหรือ? ท่านต้องการเข้ามารับน้ำชาด้านในสักหน่อยหรือไม่? "

เจี้ยงเฉินมองไปรอบ ๆ บ้านและก็รับรู้ได้ทันทีว่าครอบครัวนี้อยู่กันอย่างอัตคัด ดูเหมือนชีวิตของพวกมันจะหาได้สะดวกสบายไม่

เจี้ยงเฉินไม่ต้องการเพิ่มภาระอันใดให้แก่พวกมัน ตั้งแต่ที่เขาส่งมอบสิ่งของออกไปเขาก็บรรลุคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้แก่เทียนหลงแล้ว

“ขออภัย พวกเราคงมิได้อยู่รับน้ำชา ส่งมอบสิ่งของแล้ว...พวกเราต้องรีบไปกระทำธุระต่อ ต้องขอลาก่อน”

สาวน้อยก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกเมื่อพวกเขาไม่คิดจะเข้ามาด้านใน เห็นได้ชัดว่านางเองก็ไม่รู้จะต้อนรับพวกเขากลุ่มนี้อย่างไร ดูจากเสื้อผ้าที่พวกเขาใส่เกรงว่าบ้านที่อัตคัดทรุดโทรมของนางจะทำให้เสื้อผ้าของพวกเขามัวหมองและเสื่อมเสียเกียรติเสียมากกว่า

"อะ ... เอ่อ, เทียนหลงเป็นอย่างไรบ้าง?" สาวน้อยรวบรวมความกล้าอยู่นานก่อนที่จะกล่าวถามออกมา

"ฮ่า ฮ่า เขาทำหน้าที่ได้ยอดเยี่ยม แต่ดูเหมือนว่ายามนี้เขาจะยุ่งเล็กน้อย คงใช้เวลาอีกสักพักกว่าที่เขาจะเสร็จสิ้นหน้าที่แล้วกลับบ้านได้ เจ้าเป็นภรรยาของเขาใช่หรือไม่? ข้าคิดมิถึงจริง ๆ ว่าสหายคนนี้จะมีภรรยาด้วย!" เจี้ยงเฉินหัวเราะก่อนที่จะโบกมือลา

หลังจากที่ออกมาจากบ้านของเทียนหลง เขาก็ยังไม่ได้รีบกลับที่พัก เขาเลือกที่จะเดินดูรอบ ๆ เมืองหลวง แต่ทว่าขนาดของเมืองนั้นช่างใหญ่โตนักหากจะเดินดูให้ทั่วถึง เกรงว่าคงใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 10 วันหรือ ครึ่งเดือน

ทั้งสามคนที่กำลังเดินอยู่ เห็นคนสองคนที่กำลังรีบเร่งเดินทางอยู่ด้านหน้า พวกมันดูเหมือนจะมีเรื่องสำคัญที่ต้องรีบไปกระทำ

"ฮ่า ฮ่า รีบไปเร็วเข้า เห็นว่าหอคอยสมปรารถนาได้เปิดแล้ว ยามนี้ชั้นที่ 11 ขึ้นไปของหอคอยสมปรารถนาได้เปิดออกจนเกือบหมดหลงเหลือเพียง 2 ชั้นบนสุดเท่านั้นที่ยังมิเปิด "

"หยุดพล่ามแล้วรีบไปกันเถิด!"

"เดี๋ยวรอข้าด้วย ข้าต้องไปให้ทัน ข้าต้องไปดึงภารกิจความปรารถนาในชั้นที่ 9 ให้ทันเวลาให้ได้ ข้าได้ยินมาว่าหากสามารถเติมเต็มความปรารถนาจากภารกิจในชั้นที่ 9 ได้ จะได้รับตำแหน่งขุนนางขั้นที่ 6 เป็นอย่างน้อย!

“เพ้ย เลิกฝันเฟื่องได้แล้ว! เจ้าคิดว่าคนระดับใดที่สามารถบันดาลสถานะขุนนางอันดับ 6 เช่นนั้นได้ แล้วความปรารถนาของเขาจักเป็นเรื่องง่าย ๆ ที่เจ้าสามารถกระทำได้หรือไร? เลิกฝันกลางวันแสก ๆ ได้แล้ว! "

"มันก็มิจำเป็นต้องเป็นเช่นนั้นเสมอไป เจ้าลืมสิ่งที่เกิดขึ้น 2 ปีก่อนแล้วหรือไร? ผู้ฝึกตนพเนจรที่มาจากอาณาจักรเล็ก ๆ แห่งหนึ่งได้บังเอิญเดินทางมายังอาณาจักรนภาจันทร์ของเรา เพื่อท่องโลกกว้างและขยายขอบเขตของเขาในโลกใบนี้ และเขาช่างมีโชคนักที่วันนั้นดันเป็นวันที่หอคอยสมปรารถนาเปิดออกพอดี  เขาหาได้รู้กฎอันใดไม่และพลั้งเผลอไปดึงความปรารถนาในชั้นที่ 11 มิรู้ว่าเพราะโชคชะตาหรือโชคลาภอันน่าอัศจรรย์อันใด แต่เขากลับสามารถเติมเต็มความปรารถนานั้นได้ราวกับปาฏิหาริย์ โชคชะตาของเขาก็เปลี่ยนไปในทันที  หากจำไม่ผิดข้าคิดว่ายามนี้เขาเป็นถึงขุนนางขั้นที่ 5!  นี่ใยมิใช่ตัวอย่างของการประสบผลสำเร็จราวปาฏิหาริย์เพียงชั่วข้ามคืนหรอกหรือไร ยามนี้ดวงชะตาของเขาเปลี่ยนไปจากคนเดินดินธรรมดาอย่างใหญ่หลวง ราวกับเขาได้เดินเหินอยู่บนหมู่เมฆแล้ว! "

"นั่นเป็นเพียงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพียง 1 ครั้งในรอบ 100 ปี ข้ามิคิดทำอะไรยากถึงขั้นนั้นหรอก ข้าคิดเพียงไปดึงความปรารถนาที่ทำให้ข้าได้รับเงินใช้สักหน่อยก็พอ "

เมื่อเจี้ยงเฉินและคนอื่น ๆ ได้ยินคำว่า "หอคอยสมปรารถนา" และการสนทนาของทั้งสองคนนั้น พวกเขาพลันให้ความสนใจขึ้นมาทันที

"หอคอยสมปรารถนา? อาณาจักรนภาจันทร์แห่งนี้นับว่ามีหลายสิ่งอย่างที่น่าสนใจนัก พวกเราจะพลาดเรื่องสนุกเช่นนี้ได้อย่างไร?" พวกเขาไม่ได้มีอะไรที่ต้องทำเร่งด่วน เจี้ยงเฉินจึงคิดที่จะไปลองดูสถานที่ซึ่งเรียกว่า หอคอยสมปรารถนานี้เสียหน่อย ว่ามันเป็นสถานที่อันใดกันแน่ มันดูน่าสนใจมิน้อย

Back  /  Next

Copyright © 2019 spoilsoc.com All rights reserved.