spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
*ตั้งค่าถาวร (คลิกตั้งค่าถาวร) |
เจี้ยงเฉินรู้ว่ายามนี้ชายชรานั้นมิต่างอันใดกับปลาที่ฮุบเหยื่อเอาไว้แล้ว หลังจากที่ได้ยินคำกล่าวของมันเช่นนั้น
เฉียวไป่ชี่นั้นแอบยืนอารมณ์ดีและรื่นเริงอยู่ไม่น้อยที่ด้านข้างเพียงลำพัง เขารู้ทันทีว่าหากมาอีหรอบนี้ จะอย่างไรพวกเขาต้องได้ออกจากหุบเขาชิงหยางด้วยความปลอดภัยทุกคนเป็นแน่ ด้วยความสามารถพิเศษของนายน้อยที่เก่งกาจเมื่อแสดงออกมา ชายชราทำได้เพียงเต้นไปบนฝ่ามือของเขาเท่านั้น
“บังเอิญหรือ? เรื่องราวเช่นนี้แท้จริงนับเป็นมติสวรรค์ แต่หากท่านจะกล่าวว่าบังเอิญก็บังเอิญ"
"มติจากสวรรค์เช่นนั้นหรือ?" อาวุโสเฟยได้แต่พึมพำกับตัวเองก่อนที่จะทอดตามองออกไป " ข้าเคยได้ยินเรื่องราวของโอสถกำเนิดวัฎจักรพิสุททธิ์ แต่ค่อนข้างมั่นใจว่ามิมีผู้ใดในอาณาจักรนภาจันทร์นี้มีสูตรหรือล่วงรู้การคงอยู่ของมันไม่ ซ้ำยังมีการกล่าวกันอีกว่าผลลัพธ์ของโอสถนี้มิได้ด้อยไปกว่าโอสถกล่อมจิตอัศจรรย์ ทว่าวัตถุดิบกลับหาได้ง่ายกว่ากันมากนัก ที่สำคัญขั้นตอนการหลอมสร้างปรับแต่งก็มิได้ยากเย็นอันใด "
ทันใดนั้นแววตาของอาวุโสเฟยก็เรืองวูบราวกับขบคิดบางสิ่งออก
"เด็กน้อย ชายชราผู้นี้จะวางใจเจ้าในครั้งนี้ ข้าสามารถยกเรื่องราวครานี้และมิคิดเอาความอันใดเกี่ยวกับความผิดของเจ้าและกลุ่มของเจ้าที่ได้ล่วงล้ำเข้ามาในอาณาเขตหุบเขาชิงหยางของข้าอีก แต่เจ้าต้องแนะนำข้าให้กับผู้เชี่ยวชาญลึกลับคนนี้"
เจี้ยงเฉินพลันชักสีหน้าทันที "เรื่องนี้ข้าคงไม่อาจรับปาก นอกจากนั้น ท่านจะอาศัยอะไรในการพบปะกับเขา? ผู้อาวุโสท่านนี้นั้นได้เดินทางผจญโลกกว้างมามากมายนัก ทุกอย่างเขาล้วนพบเจอมาหมดสิ้นแล้ว ข้าคิดว่ามันยากที่เขาจะสนใจท่าน "
ชายชราหัวเราะออกมา "ฮ่า ฮ่า มันยากสำหรับข้าที่จะทำให้เขาสนใจ แล้วเจ้าล่ะสามารถเข้าพบและไถ่ถามเรื่องราวได้หรือไม่?"
"ข้า... ทำไมข้าต้องไปไถ่ถามอันใดเขาด้วยเล่า?" เจี้ยงเฉินเจตนาตีหน้าเซ่อออกมา...เสแสร้งได้น่าถีบยิ่งนัก
"อ่า ...เอาล่ะ!" ชายชราเผยรอยยิ้มอึดอัดใจออกมา ...หากคิดจะไหว้วานให้ผู้ใดกระทำอะไรให้ ก็ต้องแสดงความจริงใจก่อนใช่หรือไม่? นี่มันหามีอันใดมอบให้ แล้วผู้ใดจะคิดช่วยมันกันเล่า
อาวุโสเฟยถูไม้ถูมืออยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะปั้นหน้ายิ้มแย้มพร้อมกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงจนปัญญา "เอาล่ะ ๆ น้องชายตัวน้อยที่หลักแหลม เหตุใดไม่ลองเอ่ยคำออกมาสักหน่อยเล่า ว่าเจ้าต้องการอันใดเป็นการตอบแทนเพื่อไปไถ่ถามเรื่องราวของโอสถนี้ให้ข้า? "
เจี้ยงเฉินพลันสีหน้าหมองลงทันที "อ๊า ข้าไม่กล้าขออันใดตอบแทนหรอก ยามนี้ข้าหวาดกลัวท่านแทบตายแล้ว การต้องเป็นทาสโอสถถึง 20 ปี ช่างน่าหวาดกลัวยิ่งนัก!"
"เอาล่ะน้องชายที่น่ารัก อย่าได้หวาดกลัวไป ข้าเพียงหยอกล้อเจ้าเล่นเท่านั้น" ชายชราเดินไปหาเจี้ยงเฉินก่อนที่จะแตะไหล่เขาพร้อมยิ้มแย้มราวกับเป็นสหายกันมาเนิ่นนาน "มา ๆ เราผู้ชราจักนวดไหล่ให้เจ้า อย่าได้กล่าววาจาเหลวไหลแล้ว ทาสโอสถ 20 ปีอันใดกัน? ข้าว่าเจ้าฟังผิดแล้ว ข้าหมายความว่าตัวข้าผู้ชรานั้น จักยินยอมเป็นทาสโอสถผู้ใดก็ตามที่สามารถแก้ไขปัญหาเรื่องราวเกี่ยวกับโอสถกล่อมจิตอัศจรรย์ให้ข้าได้! "
เจี้ยงเฉินส่วนตัวแล้วมันขบขันและบันเทิงกับเรื่องราวเช่นนี้นัก มันแทบอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเมื่อเจอการตีหน้าเซ่อแกล้งทำตัวไร้เดียงสาอีกทั้งยังกล่าววาจาลื่นไหลพลิกแพลงตามสถานการณ์เช่นนี้ หากมองให้ลึกชายชราผู้นี้ถึงจะมีนิสัยประหลาดอยู่บ้าง แต่ยามนี้ชายชราผู้นี้กลับทำตัวเลอะเลือนเหมือนคนถูกล่อลวงเพื่อตามน้ำ...นี่นับว่าแท้จริงแล้วตัวมันก็หาได้เป็นคนเลวร้ายอันใด
หากเป็นคนที่มาจากวิหารอุดรครามสวรรค์ ขี้คร้านป่านนี้พวกมันจะคุกคามข่มขู่หวังเอาชีวิตของเจี้ยงเฉินและกลุ่มไปแล้วอย่างแน่นอน อีกทั้งพวกมันคงมิคิดต่อรองอันใดหากแต่คงใช้วิธีคาดคั้นและบีบบังคับเพื่อบรรลุเป้าหมายของพวกมันเสียมากกว่า
ชายชราคนนี้ดูเหมือนจักเป็นผู้หลอมโอสถคนหนึ่งอีกทั้งยังทรงภูมิอยู่ไม่น้อย ท่าทางของมันมิได้มีทีท่าว่าจะไปเกลือกกลั้ววิธีต่ำช้าอันใดเช่นนั้น มันวางตัวและปฏิบัติตนได้ถูกต้องเหมาะสมตามสถานการณ์มาก
แม้ว่าบุคคลประเภทนี้อาจจะมีนิสัยที่แปลกประหลาดไปอยู่บ้าง แต่โดยแก่นแท้ของพวกมันแล้วหาได้เลวร้ายหรือเป็นคนไม่ดีอันใด
“หืม? เป็นข้าฟังผิดเองหรอกหรือ” เจี้ยงเฉินกล่าวออกมาสนใจ
“แน่นอน ๆ ย่อมเป็นการรับฟังที่ผิดพลาด” ชายชรารีบพยักศีรษะของมันด้วยความจริงจัง
"เช่นนั้น นี่ก็หมายความว่าข้าสามารถออกจากหุบเขาแห่งนี้และเดินทางไปเมืองหลวงได้แล้วใช่หรือไม่"
"แน่น้อนนน! เหตุใดเจ้าจะไปไม่ได้เล่า? "ชายชราคนนั้นกล่าวเสียงสูงออกมา ราวกับว่าเรื่องนี้มันย่อมเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว – ราวกับเจี้ยงเฉินนั้นไม่จำเป็นต้องถามคำถามไร้สาระนี้ออกมาด้วยซ้ำ... -*-
อย่างไรก็ตามก็ต้องกล่าวเลวว่าท่าทางอุปนิสัยของชายชราคนนี้มิต่างอันใดกับเฒ่าทารกที่ซุกซนนัก เข้ากล้าที่จะตีหน้าเซ่อทำตัวไร้เดียงสา กล่าววาจาเสแสร้งออกมาโดยไม่สนใจภาพลักษณ์แม้แต่น้อย
เจี้ยงเฉินรู้สึกสนุกสนานจนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา "เอาเช่นนี้ดีไหมเล่าอาวุโสเฟย? ท่านมาหาข้าที่เมืองหลวงหลังจากข้าเดินทางไปสักพักเป็นไร"
"เจ้าพูดจริงรึ?" แววตาของอาวุโสเฟยราวกับส่องแสงระยิบระยับออกมา
"ข้าดูเหมือนคนโกหกหรือไร?"
"ไม่ ไม่ ไม่ ไม่เลย!" ชายชราสั่นหัวไปมาราวกับรัวกลองศึก " ในยามชายชราคนนี้เห็นเจ้าครั้งแรก เราผู้ชรารู้สึกได้ทันทีว่า นอกจากรูปร่างหน้าตาของเจ้าจะหล่อเหลาแล้ว ยังแฝงไว้ด้วยภูมิปัญญาหลักแหลมอันสูงส่งเลิศล้ำโดดเด่นมิแตกต่างอันใดกับหงส์เพลิงมังกรฟ้าที่อยู่ท่ามกลางหมู่มวลมนุษย์ คล้ายกับเป็นเซียนอมตะจากสรวงสวรรค์ที่จุติลงมายังผืนแผ่นดิน ... รัศมีของเจ้ามันช่างเจิดจรัสและเปล่งปลั่งเสียจนทำให้ผู้อื่นนั้นอดไม่ได้ที่อยากจะใกล้ชิดสนิทสนมกับเจ้า และแม้แต่ตัวข้าเองนั้นยังแทบกักเก็บความปรารถนาที่จักเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับเจ้าเอาไว้มิได้ นี่หากสามารถร่วมเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับเจ้าได้จริง ข้าจักรีบไปจับไก่มาเชือด ทั้งเผากระดาษเงินกระดาษทองเพื่อทำพิธีสาบานเลือดมันซะตอนนี้ให้รู้แล้วรู้รอดไป” . . .
วาจาเหลวไหลไร้สาระยกยอปอปั้นประจบสอพลอถาโถมออกมาราวกับคลื่นซัดสาด ซ้ำยังแฝงความชำนิชำนาญบ่งบอกประสบการณ์ของผู้พูดไม่น้อย
เจี้ยงเฉินพบว่าชายชราผู้นี้กลับมีบางอย่างละม้ายคล้ายคลึงกับเขาอย่างแปลกประหลาด
ราวกับว่าชายชราผู้นี้กำลังออกมาส่งญาติสนิทที่กำลังจะจากไปอย่างไรอย่างนั้น มันโบกไม้โบกมือและกล่าวอย่างเป็นห่วงเป็นใย "ขอให้เดินทางราบรื่นปลอดภัย ที่ทางอันตรายควรระมัดระวังไว้ให้มาก หากมีปัญหาอันใดเพียงแค่เอ่ยนามของข้าออกมา ขอให้พวกเจ้าโชคดี"
คำพูดเหล่านี้นั้นมันช่างแฝงความสนิทสนมชิดเชื้อเอาไว้มากเท่าที่จะเป็นไปได้แล้ว
นอกเหนือจากเจี้ยงเฉินแล้ว โจวหยู่,เจี้ยนเฟิงและคนอื่น ๆ นั้น รู้สึกราวกับฝันไป พวกเขาคิดว่าตัวเองคงไม่มีหนทางรอดอื่นใด นอกจากยอมกลายเป็นทาสโอสถเพื่อทำงานที่นี่เป็นเวลา 20 ปี
ใครจะไปคาดคิดกันเล่าว่า เพียงเจี้ยงเฉินกล่าววาจาออกมาไม่กี่คำ กลับทำให้ชายชราเปลี่ยนท่าทีกลับตาลปัตรเช่นนี้ อีกทั้งยังออกมาส่งพวกเขาพร้อมอวยพรให้เดินทางปลอดภัย ราวกับจะลาจากญาติพี่น้องคลานตามกันมาอย่างไรอย่างนั้น ช่างต่างจากพฤติกรรมตอนแรกของมันนัก
"ลูกเฉินเจ้า ... " เจี้ยงเฟิงทำท่าจะกล่าววาจาออกมา
"ท่านพ่อ พวกเราไปกันเถิด จะอย่างไรชายชราคนนี้ย่อมกลายเป็นหนึ่งในพรรคพวกของเราในอนาคตย่างแน่นอน" เจี้ยงเฉินหัวเราะออกมาเบา ๆ ยามนี้หลุมพรางที่เขาขุดเอาไว้ ชายชราผู้นั้นกลับเลือกที่จะกระโดดลงไปด้วยตัวเองอีกทั้งดูท่าทางว่ามันจะยินดีเสียเต็มประดา ราวกับว่าหากมีปีกมันคงกำลังตีปีกผั่บ ๆ อยู่อย่างมีความสุข
เป็นทาสโอสถระยะเวลา 20 ปี ... เจี้ยงเฉินแสยะยิ้มออกมา นับว่าเป็นเรื่องน่าสนใจนักหากให้ชายชราผู้นั้นเป็นทาสโอสถของเขาถึง 20 ปี
...
ทางด้านหุบเขาชิงหยาง..เด็กชายโอสถทั้งสองคนที่มีนามว่า ดื้อใหญ่และดื้อรองนั้นยามนี้ทั้งลิ้นและดวงตาของพวกมันแทบจะถลนออกมา ใบหน้าของพวกมันเต็มไปด้วยความสับสนงุนงงอย่างถึงที่สุด ปากของพวกมันอ้ากว้างเอาไว้ราวกับโพรงถ้ำ – เพียงพอที่จะซุกขาไก่เอาไว้ได้...
“ท่านผู้อาวุโสเฟย เด็กนั่นดูท่าทางว่ามันจะกล่าววาจาไร้สาระออกมา แล้วพวกเราปล่อยมันไปแบบนี้จะดีหรือ? " ดื้อใหญ่นั้นไม่อยากจะเชื่อว่าเรื่องราวจะกลับกลายเป็นแบบนี้
"แต่ที่จริงข้ากลับรู้สึกว่า เด็กหนุ่มผู้นั้นหาได้มีอันใดไม่ดีไม่" ดื้อรองกล่าวออกมาอย่างไม่ค่อยเข้าใจเรื่องราวสักเท่าไร
"ฮ่า ฮ่า" อาวุโสเฟยหัวเราะออกมาอย่างสบายใจ ก่อนที่จะนั่งอย่างผ่อนคลายลงบนเก้าอี้เหยียดยืดขาอย่างสบายอารมณ์ "เจ้าทั้งสองคนจะไปรู้เรื่องอันใด ตัวข้านั้นอยู่มาหลายร้อยปีแล้ว ได้พบเห็นผู้คนมามากมายแทบทุกประเภท เด็กผู้นี้นั้นนับว่ามีพร้อมทั้งความจริงใจและเล่ห์กลไม่ต่างอันใดจากข้า เขาเลือกที่จะแกล้งเป็นคนใบ้ยามที่ต้องแกล้งเป็นคนใบ้ แกล้งทำเป็นคนไร้หนทางยามที่จำเป็นต้องทำ ทั้งมันยังไม่คิดถือตัวยามต้องเสแสร้งกระทำตัวไร้สาระเล่นละครโง่งมเพื่อหลอกลวงผู้คน...นับว่ามันเป็นบุคคลประเภทเดียวกันกับตัวข้า"
"บุคคลประเภทเดียวกับท่านหรือผู้อาวุโส?" ดื้อใหญ่ และ ดื้อรองยิ่งเต็มไปด้วยความสับสนมากขึ้น
"ถูกแล้ว นับเป็นบุคคลประเภทเดียวกัน" ชายชราเริ่มหลับตาลงราวกับจมอยู่ในภวังค์ก่อนที่จะเริ่มร้องเพลงออกมาเบา ๆ อย่างตลกขบขัน ตอนนี้เขากำลังแสดงวิธีเล่นละครและเสแสร้งแกล้งทำตัวเลอะเลือนออกมาให้ทั้งสองคนรับชม
ชายชรานั้นแม้กระทั่งพบว่า การเล่นละครและท่าทางในการเสแสร้งของเจี้ยงเฉินยังนับว่าเหนือล้ำกว่าตัวเขา การกล่าววาจาของมันก็นับว่าคล่องแคล่วและเจ้าเล่ห์นัก ทั้ง ๆ ที่มันตกอยู่ในถิ่นของเขาแท้ ๆ
ชายชรานั้นเป็นคนหลงตัวเองไม่น้อยและมันก็สัมผัสได้ว่าเจี้ยงเฉินนั้นละม้ายคล้ายคลึงกับเขา ดังนั้นเขาย่อมรู้ว่าเจี้ยงเฉินนั้นหาได้กล่าววาจาหลอกลวง หรือเป็นผู้ที่กล่าววาจาเลื่อนลอยไร้สาระไม่
นอกจากนี้หลังจากที่เขาได้จับตามองและสังเกตทีท่าและแววตาของเจี้ยงเฉินอย่างละเอียด ตาของเจี้ยงเฉินนั้นหาได้กระพริบแม้แต่ครั้งยามกล่าวชื่อโอสถเหล่านั้นออกมา นี่ไม่ใช่การกระทำของคนธรรมดาที่จะสามารถกระทำได้
มันจะไปมีความรู้ถึงขนาดนี้ได้อย่างไรหากมิได้รับการชี้แนะจากผู้เชี่ยวชาญด้านการหลอมโอสถ
แล้วจะมีสักกี่คนกันเล่าในอาณาจักรนภาจันทร์แห่งนี้ ที่ล่วงรู้ถึงการมีอยู่ของโอสถกล่อมจิตอัศจรรย์และโอสถกำเนิดวัฎจักรพิสุทธิ์ และกล่าวออกมาได้อย่างไหลลื่นเช่นนี้?
ถึงแม้ผู้อาวุโสเฟยคนนี้จะดูเลอะเลือน แต่เขานั้นกลับเฉลียวฉลาดนัก เขาได้สรุปเอาด้วยตนเองว่า เจี้ยงเฉินหาได้คิดกล่าวเสนอเดิมพันนี้โดยปราศจากเหตุผลเป็นแน่
ไม่ต้องกล่าวถึงว่าเมืองหลวงนั้นก็หาได้อยู่ไกลจากที่นี่มากสักเท่าไหร่ ถึงแม้เด็กคนนี้จะคิดเล่นไม่ซื่อหรือทำอะไรก็ตาม อาวุโสเฟยผู้นี้ก็สามารถติดตามไปหามันได้ทุกเวลาหากเขาต้องการ
อย่างไรก็ตามสัญชาติญาณของอาวุโสเฟยนั้นได้สั่งสมบ่มเพาะมาเป็นเวลาหลายร้อยปีจนแหลมคมมากนัก...และยามนี้นั้นสัญชาตญาณของเขามันร้องบอกว่า จริง ๆ แล้วเด็กคนนี้ไม่ได้กล่าววาจาเพื่อหลอกลวงเขาแต่อย่างใด
เขาไม่ได้ตั้งกฎที่จะบังคับให้ผู้ที่บุกรุกกลายเป็นทาสโอสถเช่นนี้ขึ้นมาอย่างไร้สาระ
เขาสร้างกฎดังกล่าวขึ้นมา เพียงเพราะว่าเขาไม่ต้องการให้ผู้ใดบุกรุกและสร้างความวุ่นวายเอิกเกริกในหุบเขาชิงหยางแห่งนี้ จนไปรบกวนสมาธิของเขาในยามที่บ่มเพาะโอสถวิญญาณ
ไม่ใช่ว่าชายชราผู้นี้เป็นคนโหดร้ายอำมหิตอย่างแท้จริง
โดยพื้นฐานแล้วนับว่าหุบเขาชิงหยางและวิหารอุดรครามสวรรค์นั้นแตกต่างกันยิ่งนัก
และเป็นดั่งเช่นคำกล่าวของเทียนหลง กลุ่มของเจี้ยงเฉินหาได้ประสบพบเจอปัญหาจากสถานที่อื่นใดในการเดินทางอีกเลยแม้แต่น้อย หลังผ่านพ้นหุบเขาชิงหยางและวิหารอุดรครามสวรรค์
พวกเขามาถึงเมืองหลวงนภาจันทร์ในตอนรุ่งเช้าของวันที่ 2
ในขณะที่พวกเขาบินอยู่บนท้องฟ้าสูงและมองจากที่ไกล ๆ นั้น ภาพเมืองหลวงของอาณาจักรช่างน่าประทับใจนัก กำแพงเมืองขนาดมหึมาที่ห้อมล้อมเมืองอยู่นั้น ช่างสวยงามตระการตาราวกับมันสร้างมาจากไข่มุกบริสุทธิ์งดงามที่เรียงร้อยถักทอกันบนผืนแผ่นดิน เป็นภาพที่สวยงามตระการตาน่าชมดูนัก
ประตูเมืองที่เห็นไกล ๆ นั้นช่างดูแข็งแกร่งทั้งสูงตระหง่านและดูยิ่งใหญ่น่าเกรงขามนัก อาคารสิ่งปลูกสร้างล้วนบ่งบอกฝีมือของผู้สร้างว่าล้ำเลิศถึงเพียงไหนเพราะวิจิตบรรจงมากฝีมือ อีกทั้งอาวุธชุดเกราะของทหารยังสมบูรณ์พร้อมแลดูมั่งคั่งไม่น้อย – รายละเอียดทุกอย่างนั้นบ่งบอกถึงความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรนภาจันทร์
"ชื่อเสียงร่ำลือถึงอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ทั้ง 4 นี่นับว่าคู่ควรนัก ดูเหมือนว่าพวกเราที่อยู่อาณาจักรตะวันออกนั้นมิแตกต่างอันใดจากกบในบ่อจริง ๆ "
โจวหยู่นั้นพลันรู้สึกถึงอารมณ์หลากหลายซับซ้อนที่เกิดขึ้นมา ในขณะที่นางอยู่เหนือเมืองหลวงและมองเข้าไปเห็นความยิ่งใหญ่ของกำแพงเมือง,ตัวเมือง,และคูน้ำของเมืองหลวงแห่งอาณาจักรนภาจันทร์
ด้วยเทียนหลงได้กล่าวเตือนเอาไว้ เจียงเฉินและกลุ่มของเขามิคิดที่จะถือวิสาสะบินเข้าเมืองหลวงจากด้านหลังเช่นนี้ พวกเขาบินเรียบคูน้ำรอบกำแพงเมืองไปเรื่อย ๆ จนถึงประตูหน้าของเมืองหลวง และลงจากนกหงส์ทองเพื่อเข้าเมืองอย่างเป็นระเบียบ
ด้วยเหรียญแทนตัวขององค์ชายเย่หลง ทำให้การเข้าเมืองของเจี้ยงเฉินราบรื่นไร้เรื่องราวหรือปัญหาอันใด
ยามที่ประตูเมืองยิ้มให้พวกมัน "เมื่อท่านมีเหรียญขององค์ชายเช่นนี้ ยามที่ท่านเข้าออกเมืองครั้งต่อไปท่านมิจำเป็นต้องถูกตรวจสอบอันใด"
บรรยากาศคึกคักและความมีชีวิตชีวาแผ่ซ่านออกมาทักทายพวกเขาทันทีที่ย่างก้าวเข้าเมือง
อาศัยการเดินทางไปตามแผนที่ซึ่งเย่หลงมอบไว้ให้เจี้ยงเฉินและกลุ่มของเขาก็เดินตามทางไปเรื่อย ๆ ราว ๆ 1 ชั่วยาม ในที่สุดก็เดินทางมาถึงคฤหาสน์องค์ชายหลง ของเย่หลง
เหล่าองค์รักษ์ที่รักษาความปลอดภัยในชุดเกราะสีแดงต่างพุ่งออกมาจากทั้ง 2 ข้างของประตูพร้อมทั้งยกอาวุธกั้นขวางกลุ่มของเจี้ยงเฉินเอาไว้ทันที
"ผู้มิได้รับอนุญาตกรุณาหยุดอยู่ตรงนั้น สถานที่แห่งนี้เป็นคฤหาสน์ขององค์ชายเย่หลง"
"พวกเราเป็นสหายขององค์ชายสี่ ที่มาเยี่ยมเยียนตามคำเชื้อเชิญ" เจี้ยงเฉินแสดงเหรียญออกมา
องค์รักษ์เกราะแดงคนหนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหัวหน้าองค์รักษ์กลุ่มนี้ พิจารณาเหรียญอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะ โบกมือเป็นท่าทางแสดงว่าให้องครักษ์ทั้งหมดลดอาวุธลง ก่อนที่จะกล่าวออกมาว่า
"โปรดรอที่นี่สักครู่ ข้าน้อยจะเร่งไปรายงานให้องค์ชายสี่ รับทราบ "
หลังจากนั้นไม่นานเสียงหัวเราะดังสนั่นก็กังวานออกมาจากด้านในของคฤหาสน์
"ฮ่า ฮ่า ตั้งแต่ข้าได้ยินเสียงนกกางเขนหยอกล้อกันเจื้อยแจ้วอยู่บนกิ่งไม้ทันทีที่ตื่นขึ้นมายามเช้าวันนี้ ข้าก็คาดเดาเอาไว้แล้วว่าวันนี้ต้องมีแขกผู้มีเกียรติสักคนมาเยือน ทั้งยังคิดอยู่เลยว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่น้องชายเจี้ยงเฉินของข้าจะมาเยี่ยมเยียน?"
เจ้าเสียงของหัวเราะที่ก้องกังวานเมื่อครู่ที่แท้คือองค์ชายเย่หลง
เงาร่างสีแดงนั้นก้าวเดินออกจากประตูมาก่อนที่เสียงก้องกังวานนั้นจะสิ้นสุดสดลงเสียอีก เย่หลงเดินตรงมาทางเจี้ยงเฉินก่อนที่จะสวมกอดด้วยความแนบแน่นและอบอุ่น
"น้องชาย ข้าคิดถึงเจ้านัก! ข้ารอคอยการมาของเจ้าอยู่นานแล้ว ในที่สุดเจ้าก็มาถึงได้เสียที" เย่หลงคว้าจับไปที่ไหล่ของเจี้ยงเฉินหลังจากโอบกอดทักทาย ก่อนที่จะมองสำรวจเจี้ยงเฉินตั้งแต่หัวจรดเท้า "เฮ่ ดูเหมือนว่าพวกเจ้าจะพบเจอเรื่องราวมาไม่น้อยเลย"
เจี้ยงเฉินยิ้มออกมาอย่างขมขื่น "หากท่านบอกข้าว่าการเดินทางมาเมืองหลวงนี้มันจะยากลำบากและวุ่นวายเช่นนี้ ข้าคงมิคิดที่จะปฏิเสธท่านในวันที่ท่านบอกจะส่งคนไปรับข้าที่ชายแดนเป็นแน่"
"เกิดอันใดขึ้นรึ?" ใบหน้าของเย่หลงหมองคล้ำลง "มีพวกตาบอดโง่เขลาพอที่จะสร้างปัญหาให้น้องชายข้าด้วยงั้นรึ"
เจี้ยงเฉินถอนหายใจ "เรื่องยาวนัก ข้าจะบอกกล่าวท่านในภายหลัง"
"เอาล่ะ เข้ามากันก่อนเถิด ทุกคนเชิญเข้ามา ข้าจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับทุกท่านทันทีเป็นการชำระฝุ่นดินที่ติดมาจากการเดินทางของพวกท่านเอง วันนี้นับว่าเป็นวันที่น่ายินดีนัก พวกเราต้องดื่มฉลองกันเสียหน่อย ฮ่า ฮ่า ดูท่าทางวันนี้สุราเลิศรสที่ข้าได้รับมาจากนิกายพฤกษาสวรรค์จะได้ฤกษ์นำมาดื่มเสียที วันนี้ไม่เมาไม่เลิกรา! "
ในฐานะองค์ชายนั้น ท่าทางการวางตัวนี้ของเย่หลงอาจจะไม่เหมาะสมสักเท่าไร
แต่ในฐานะสหายแล้ว บุคลิกที่ตรงไปตรงมาและจริงใจนี้นับว่าถูกใจเจี้ยงเฉินไม่น้อย อย่างน้อยเย่หลงก็ไม่ได้แสดงออกถึงความรังเกียจหรือไว้ตัวยามที่สนทนากับผู้เยาว์เช่นเขา
นอกจากนี้เย่หลงยังสำรวมท่าทีอย่างมาก แม้ว่าเข้าจะได้เห็นโจวหยู่ที่มีทรวดทรงองค์เอวเย้ายวนน่าหลงใหลหรือเหวินซี่ฉีที่ดูบริสุทธิ์ไม่เดียงสาด้านข้างเจี้ยงเฉินก็ตาม อีกทั้งเย่หลงนั้นยังใช้สายตาอ่อนโยนและสุภาพในการจ้องมองผู้อื่น หาได้มีแววรังเกียจเดียดฉันท์หรือคิดว่าผู้อื่นต่ำต้อยเป็นเพียงสามัญชนแต่อย่างไร
แค่เพียงจุดนี้นั้นอย่างน้อย ๆ ก็นับว่าหาได้ยากนัก เพราะมิใช่จะพบเจอคนที่มีตำแหน่งสูงเช่นนี้กระทำกันได้ง่าย ๆ