หน้าแรก > ราชันสามภพ
ตอนที่ 137 ศิษย์พี่หลิวแทบทิ้งลมหายใจเอาไว้!

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

spoilsoc.com

*ตั้งค่าถาวร (คลิกตั้งค่าถาวร)

ยามนี้เจี้ยงเฉินหาได้คิดอะไรมากมาย เพราะตอนนี้นกหงส์ทองของเขากำลังบินด้วยความเร็วสูงสุดแล้ว เขาไม่สามารถเร่งความเร็วของมันให้มากขึ้นมากไปกว่านี้ได้

หากคิดคำนวณจากความเร็วของผู้ที่กำลังไล่ตามมา มันคงไล่ทันเขาในอีกราว ๆ 12-24 ลี้

“ไม่ต้องกังวล เพียงมุ่งหน้าไปเรื่อย ๆ หากมันตามทันเดี๋ยวข้าจะหาวิธีถ่วงมันเอาไว้เอง”

เจี้ยงเฉินไม่มีทางเลือกอื่นอีกนอกจากกระทำเช่นนี้ ยังนับว่าเป็นเรื่องดีที่มีเพียงศิษย์พี่หลิวเท่านั้นที่สามารถติดตามเขามาได้ทัน ส่วนคนอื่น ๆ นั้นถูกทิ้งห่างมากเกินไป

ถึงแม้เจี้ยงเฉินอาจจะไม่สามารถมีชัยเหนือศิษย์พี่หลิวผู้นี้ได้ แต่หากให้เขาถ่วงเวลามันไว้ชั่วขณะหนึ่งก็หาใช่เรื่องยากลำบากอะไร

นอกจากนี้เขาเองยังสงสัยว่าอีกฝ่ายต้องใช้วิธีการลับอะไรบางอย่างเพื่อเพิ่มพูนความเร็วเช่นนี้ หาไม่แล้วทุกคนคงกระทำเช่นเดียวกันและติดตามเขาได้ทันเนิ่นนานแล้ว

แล้วเหตุใดมันถึงมาเร่งความเร็วเอาในช่วงที่เหลือระยะทางเพียงเท่านี้ล่ะ?

"พวกมันต้องใช้บางอย่างในการกระทำเพื่อเร่งความเร็วนี้ไปมิน้อย มิเช่นนั้นพวกมันคงมิรีรอจนกระทั่งใกล้สุดทางเช่นนี้!" เจี้ยงเฉินรู้สึกมั่นใจในข้อสันนิษฐานนี้ของเขาอย่างมาก

มันต้องเสียค่าใช้จ่ายในการกระทำเช่นนี้สูงนักและน่าจะมิสามารถรักษาความเร็วเช่นนี้ได้เป็นระยะเวลานาน นี่คงเหมือนกับการเร่งความเร็วให้เกินขีดจำกัดเพียงชั่วระยะทางสั้น ๆ เท่านั้น หาได้สามารถประคองระดับความเร็วระดับนี้ไปได้นานนัก

เมื่อใช้ออกด้วยความเร็วสูงสุดเช่นนี้ระยะทางที่ห่างนับ 100 ลี้ก็ลดหลั่นลงมาอย่างรวดเร็ว

ตามการประมาณของเจี้ยงเฉิน ยามนี้นับว่าเขาเข้าใกล้เขตของหุบเขาชิงหยางมากแล้ว ในความเป็นจริงแล้วมันหาได้มีสัญลักษณ์หรือตัวบ่งบอกเขตแดนระบุเอาไว้ว่าส่วนใดเป็นอาณาเขตของวิหารอุดรครามสวรรค์หรือเขตแดนของหุบเขาชิงหยางไม่ แต่พวกวิหารอุดรครามสวรรค์นั้นน่าจะถูกขับไล่ออกมาจนกะระยะได้คร่าว ๆ เสียมากกว่า

ตอนนี้ศิษย์พี่หลิวก็สามารถลดระยะห่างระหว่างมันและเจี้ยงเฉินให้เหลือเพียง 5 ลี้เท่านั้น เจี้ยงเฉินเองนั้นก็ไม่ได้เดินทางต่อ มันหยุดลงและรอรับการมาเยือนของศิษย์พี่หลิวอะไรนั่นอย่างใจเย็น

สายตาของเจี้ยงเฉินนั้นหาใช่ธรรมดาสามัญไม่ ประสบการณ์ของเขามีมากมายมหาศาลนัก เพียงแค่เหลือบมองสัตว์ขี่ใต้เท้าของศิษย์พี่หลิวเพียงวูบเดียว เขาก็รับรู้แล้วว่า ความเร็วที่มันฝืนใช้ออกนั้นคงแลกมาด้วยการเผาผลาญชีวิตของสัตว์วิญญาณเป็นแน่

ตามที่เขาคาดเอาไว้ไม่มีผิด พวกตัวอุบาทว์ของวิหารอุดรครามสวรรค์นี้จะใช้วิธีอะไรอื่นได้อีกได้นอกจากวิธีอัปรีย์ล้างผลาญเลือดเนื้อสัตว์เช่นนี้ เพื่อผลประโยชน์และความมั่งคั่งของพวกมัน พวกมันยินยอมสละได้แม้กระทั่งสัตว์วิญญาณของพวกมันเอง ตัวอุบาทว์เหล่านี้หาได้หลงเหลือสันดานความเป็นคนอีกต่อไป

เมื่อเจี้ยงเฉินเห็นภาพนี้ ในใจของมันก็บังเกิดความรู้สึกรังเกียจขยะแขยงคนแซ่หลิวนี้มากมายนัก

ผู้ฝึกตนนั้นอาจโหดเหี้ยมอำมหิตอย่างถึงที่สุดกับศัตรูของพวกมัน แต่พวกมันก็มักปฏิบัติกับเพื่อนพ้องและสหายของมันอย่างดีโดยเฉพาะอย่างยิ่งพาหนะขับขี่ของพวกมัน

แต่ตัวอุบาทว์จำพวกสละได้แม้กระทั่งสัตว์ขับขี่ที่จงรักภักดีอย่างถึงที่สุดเช่นนี้ มีเพียงแต่พวกโลภมาก,กระหายในอำนาจ และโหดเหี้ยมไร้ปราณีเท่านั้น

แม้คนจำพวกนี้จะชักแม่น้ำทั้ง 5 หรือกล่าววาจาเลิศหรูสักเพียงใด คำพูดของพวกมันนั้นนับว่าไร้น้ำหนักนัก เพราะสุดท้ายมิพ้นพวกมันต้องกลับคำพลิกลิ้นไม่รักษาวาจาอย่างแน่นอน

"ไสหัวไปต่อสิ เหตุใดจึงไม่หนีต่อเสียแล้วเล่า?" ศิษย์พี่หลิวนั้นดูท่าทางขุ่นเคืองอย่างมากเพราะมันใช้เวลาติดตามเจี้ยงเฉินไปเนิ่นนานนัก

"อะไร เริ่มเสียดายแล้วหรือไรที่อุตส่าห์ใช้วิธีอุบาทว์กระทั่งล้างผลาญชีวิตสัตว์วิญญาณเช่นนี้เพื่อเพิ่มความเร็ว เหล่าศิษย์จากวิหารอุดรครามสวรรค์ของพวกเจ้านี้ตัดมาจากผ้าม้วนเดียวกันหรือไร?" เจี้ยงเฉินกล่าวหัวเราะเยาะ

"พยายามที่จะยั่วโทสะข้างั้นหรือ?" ศิษย์พี่หลิวกล่าวออกมาอย่างดูแคลน "ข้าหาใช่สวะดั่งเช่นอี้เฉียนสุ่ย ที่จะบ้าจี้ไปตามคำกล่าวยั่วยุของเด็กน้อยเช่นเจ้า จงยินยอมตกตายเสียโดยดีเถิด ข้าจะเมตตาสังหารเจ้าอย่างรวดเร็วหมดจด หากเจ้ารอจนความอดทนข้าหมดสิ้นและต้องเหนื่อยจากการไล่จับเจ้าอีกล่ะก็ ข้าจะให้เจ้าได้ลิ้มรสการทรมานทุกรูปแบบ ยามนั้นต่อให้เจ้าเรียกร้องหาความตาย เจ้าก็อย่าหวังว่าจะได้รับมันโดยง่าย "

เจี้ยงเฉินหัวเราะออกมาดังลั่น "ก่อนหน้านี้ข้าก็ได้ยินคำกล่าวโอ้อวดกับวาจาเขื่องโขของสี่ตัวโง่งมกลุ่มหนึ่งที่คิดแบ่งปันสิ่งของกัน  แต่ยามนี้มิเห็นหรือว่าข้ายังอยู่ดีมีสุขขนาดไหน? "

"อย่าได้คิดว่าหลังจาก ... " ศิษย์พี่หลิวอะไรนั่นยังกล่าวมิทันจบประโยค เจี้ยงเฉินก็น้าวเกาทัณฑ์ต้าหยู่ที่ไม่รู้หยิบขึ้นมาตอนไหนจนสุดสายเสียแล้ว

ศิษย์พี่หลิวนั่นหาได้กล้าดูแคลนหรือประมาทอันใดศัตรูไม่ เมื่อเห็นเจี้ยงเฉินน้าวคันศร มันพลันจริงจังและรอตั้งรับการจู่โจมอย่างระแวดระวัง

แต่เมื่อดวงตาของเขาสังเกตไปที่เกาทัณฑ์จนกระจ่าง เขาก็พบว่าเจี้ยงเฉินพลันน้าวเกาทัณฑ์เล่นโดยปราศจากลูกศรอันใด...

เจี้ยงเฉินหัวเราะออกมาเสียงดังสนั่น "โง่เขลาเบาปัญญานัก เจ้านี่มันตัวโง่งมของแท้ นี่ขนาดตัดผ่านไปยังระดับปราณจิตวิญญาณแล้วนะ!"

เจี้ยงเฉินหัวเราะและกล่าวเย้ยหยันออกมา ก่อนที่เขาจะกระตุ้นนกหงส์ทองและบินพุ่งหนีไปอีกครั้งอย่างรวดเร็ว โดยไม่ได้ปะทะอะไรกับศิษย์พี่หลิว

เขาเพียงคิดจะหยุดมันเอาไว้ชั่วคราวเพื่อให้กลุ่มของโจวหยู่และคนอื่น ๆ มีเวลาอีกเพียงนิดเท่านั้น ตอนนี้เป้าหมายของเขาก็ประสบผลสำเร็จแล้ว เจี้ยงเฉินก็ไม่คิดรั้งอยู่ต่อไปให้เสียเวลา

นอกจากนี้เจี้ยงเฉินยังสามารถยืนยันได้แล้วว่า ศิษย์พี่หลิวอะไรนั่นเร่งความเร็วด้วยวิธีสารเลวอย่างการสั่งให้สัตว์วิญญาณเผาผลาญแก่นโลหิตของมัน แน่นอนว่ามันคงไม่สามารถรักษาสภาวะความเร็วสูงลิ่วเช่นนั้นเอาไว้ได้นานนัก

ดังนั้นเขาจึงยิ่งมั่นใจมากขึ้นไปอีก

"พยายามที่จะหลบหนี? นี่เจ้ายังพยายามที่จะหลบหนีอีก? " ศิษย์พี่หลิวนั้นยามนี้บันดาลโทสะอย่างมาก มันรีบใช้เท้ากระทืบสัตว์วิญญาณเพื่อติดตามไปไล่ล่าเจี้ยงเฉินไปด้วยความรวดเร็ว

"ชิมศรของข้าหน่อยปะไร!"

ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!

ครั้งนี้เป็นศรที่แท้จริง ถึงแม้ว่าจะมิใช่ลูกศรที่เข้าคู่กับเกาทัณฑ์ต้าหยู่ แต่พวกมันยังจัดว่าเป็นลูกศรชั้นเลิศ

ศรสามดอกถูกยิงไปยังจุดสำคัญต่างๆ ของศิษย์พี่หลิวโดยพร้อมเพรียงกัน

เจี้ยงเฉินย่อมรู้ดีว่ามันแทบเป็นไปไม่ได้ที่ศรธรรมดาจะสร้างความบาดเจ็บให้แก่ผู้ฝึกตนระดับปราณจิตวิญญาณ เขาไม่ได้หวังผลเลิศล้ำอันใดกับการจู่โจมครานี้มากนัก เขามีเพียงเป้าหมายเดียวนั่นคือเหนี่ยวรั้งศิษย์พี่หลิวผู้นี้เอาไว้ให้ได้มากที่สุด ทำแค่เพียงให้มันต้องชะงักความเร็วของมันหรือขัดขวางมันเอาไว้ให้ได้สักเล็กน้อยก็ยังดี

ผู้ฝึกตนระดับปราณจิตวิญญาณอาจจะแข็งแกร่ง แต่หาได้แข็งแกร่งเพียงพอที่จะละเลยการจู่โจมจากอาวุธวิญญาณได้

เมื่อเขากวาดลูกศร 3 ดอกนี้ไปให้พ้นทางด้วยมือของเขา เขาพบว่าทะเลลมปราณของเขาสั่นสะท้านขึ้นมาเล็กน้อย  ศิษย์พี่หลิวอดประหลาดใจจนกล่าวขึ้นมากับตัวเองไม่ได้ว่า "อาศัยการโจมตีธรรมดาสามัญเช่นนั้น กลับสั่นสะท้านทะเลลมปราณข้าได้... นี่อาจมิใช่อาวุธวิญญาณสามัญที่หลอมกลั่นเพิ่มความสามารถเพียง 1-2 ครั้งเป็นแน่! "

แม้จะหยุดชะงักไปเพียงเล็กน้อยแต่ความเร็วของเขาก็นับว่าลดลงอีกครั้ง นี่ทำให้ช่องว่างของเขากับเจี้ยงเฉินกว้างขึ้น

ยามนี้ศิษย์พี่หลิวนั้นกังวลเล็กน้อยเพราะรู้ดีว่าตัวเขานั้นเยื้องย่างเขาใกล้เขตแดนของหุบเขาชิงหยางไปทุกขณะ แม้ว่าเขาจะไม่ค่อยหวาดกลัวมากนัก เพราะคิดว่าคนของหุบเขาชิงหยางคงไม่ได้กระจายตัวเพื่อเฝ้าระวังผู้บุกรุกไปทั่วทุกพื้นที่

อย่างไรก็ตามเขานั้นลำบากลำบนและลงทุนไปมาก กว่าจะติดตามมันมาได้ถึงขนาดนี้ เขาไม่สามารถล้มเลิกและจากไปในลักษณะนี้ได้ ไม่เช่นนั้นจะนับว่าตัวเขานั้นถูกตบหน้าฉาดใหญ่อีกทั้งยังขาดทุนย่อยยับอย่างใหญ่หลวงอีกด้วย

ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงไอ้เด็กตรงหน้าของเขาเลย จากมันสมองของมันอีกทั้งยังสิ่งของที่มันมีนับว่ามีค่าอย่างมหาศาล ตั้งแต่หัวจรดเท้า ไม่นับสิ่งของที่มันยังมิได้แสดงออกมาอีก ทั้งหมดเขาต้องการแย่งชิงมาทั้งสิ้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกาทัณฑ์นั้นของมัน! หากการประเมินไม่ผิดพลาดนั่นต้องเป็นอาวุธวิญญาณที่หลอมกลั่นราว ๆ 3 ครั้งเป็นแน่ ในอาณาจักรนภาจันทร์แห่งนี้มีเพียงบุตรหลานของตระกูลขุนนางระดับสูงหรือศิษย์ที่โดดเด่นเหนือล้ำอย่างยิ่งของนิกายพฤกษาสวรรค์เท่านั้นที่มีสิทธิ์ครอบครองอาวุธวิญญาณชั้นเลิศขนาดนี้

แต่ทว่าเมื่อศิษย์พี่หลิวนั้นคิดได้ถึงตอนนี้ มันก็ตื่นตระหนักขึ้นมาอีกครั้ง เพราะดูเหมือนว่ามันจะลืมไปหนึ่งสิ่ง มันลืมถามคำถามที่สำคัญอย่างยิ่งยวดไปคำถามหนึ่ง...ว่าพื้นหลังของเด็กนี่คืออะไรและตัวตนของมันนั้นเป็นผู้ใดกันแน่ ถึงมีสิ่งของล้ำเลิศเช่นนี้?

"อี้เฉียนสุ่ย ไอ้ขยะไร้ประโยชน์! มันไม่ได้แม้แต่จะตรวจสอบตัวตนและยืนยันสถานะบุคคลที่พวกมันคิดจะปล้นชิงและสังหารให้ดีเสียก่อนเช่นนี้ได้อย่างไรกัน ตอนนี้มิรู้ด้วยซ้ำว่าพวกเราไปล่วงเกินตัวตนหรือบุคคลที่ยากจะตอแยด้วยหรือไม่!" ข้อสงสัยบางอย่างเกิดขึ้นในใจของศิษย์พี่หลิว แต่มันก็ฉุกคิดขึ้นมาได้อีกครั้งในทันทีว่า "ไม่สิ เด็กน้อยผู้นี้ย่อมหาใช่ผู้ที่มีพื้นหลังยิ่งใหญ่อะไร มิเช่นนั้นมันคงมิจำเป็นต้องปกปิดตัวตนของมันเช่นนี้ หากมันมาจากตระกูลขุนนางชั้นสูงหรือเป็นศิษย์นิกายใหญ่จริง ๆ มันจะไปมีเหตุผลอะไรที่ไม่สามารถแสดงตัวออกมาได้ "

ผู้ใดในโลกนี้ที่เดินบนเส้นทางของผู้ฝึกตนที่ติดพันกับความตายตลอดเวลา จะลังเลที่จะกล่าวบอกพื้นหลังอันยิ่งใหญ่หรือบ่งบอกถึงผู้สนับสนุนที่เป็นตัวตนทรงพลังออกมา ในขณะที่พวกมันกำลังติดพันกับความตายเช่นนี้?

"มิผิดแน่ เด็กน้อยนี่ต้องเป็นแค่ขุนนางที่มาจากอาณาจักรเล็ก ๆ อาณาจักรหนึ่ง มันต้องเป็นเด็กน้อยที่นำพาสมบัติของตระกูลติดตัวมาในขณะที่มายังอาณาจักรนภาจันทร์แห่งนี้เป็นแน่ "

ศิษย์พี่หลิวคิดว่าเรื่องราวน่าจะเป็นไปในลักษณะนี้ได้อย่างเดียวเท่านั้น

เมื่อความคิดของเขาได้ดำเนินมาในลักษณะนี้แล้ว เขาก็ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดว่า ถึงแม้จะต้องเสียค่าใช้จ่ายเท่าไรก็ตาม คราวนี้เขาต้องฆ่าไอ้เด็กนี่และกลุ่มของมันให้หมดให้จงได้

รับอาวุธวิญญาณชั้นเลิศ และผ่านการทดสอบคัดเลือกของนิกายพฤกษาสวรรค์ เข้าเป็นศิษย์ที่แท้จริงของนิกาย!

นี่คือความทะเยอทะยานของศิษย์พี่หลิว

ตราบใดที่เขาสามารถเข้าไปเป็นศิษย์ในนิกายพฤกษาสวรรค์ได้ เขาไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวอีกต่อไปว่าจะไปล่วงเกินขุนนางจากอาณาจักรเล็ก ๆ อาณาจักรอื่น ขุนนางของทั้ง 16 อาณาจักรนี้ไม่ว่าจะเป็นอาณาจักรไหน ก็หาได้มีสถานะเหนือไปกว่าศิษย์ของนิกายพฤกษาสวรรค์ไม่

"ฆ่าไอ้เด็กนั่นและชิงสมบัติของมันมา!" ความคิดที่มีเหตุผลของศิษย์พี่หลิวได้พ่ายแพ้แก่ความโลภอย่างสิ้นเชิง

เขาใช้ความเร็วสูงสุดทะลุขีดจำกัดเพื่อติดตามเจี้ยงเฉินไป จนในที่สุดเขาก็เห็นเจี้ยงเฉินที่บินนำอยู่ข้างหน้า แม้ว่าแสงสีทองนั้นจะลากผ่านท้องฟ้ารวดเร็วถึงเพียงไหน แต่ก็ยังช้ากว่าความเร็ว ณ ปัจจุบันของเขาเล็กน้อย

10 ลี้,  8 ลี้, 5 ลี้ ...

ศิษย์พี่หลิวเริ่มบังเกิดอารมณ์ตื่นเต้นฮึกเหิมมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อใกล้จับกุมเจี้ยงเฉินได้ แพะอ้วนตัวนี้แทบจะอยู่ตรงริมฝีปากของเขาแล้ว เขาจะต้องรีบกินมันให้รวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อป้องกันวิกาลยาวนานฝันยุ่งเหยิง

แต่ในขณะที่เขากำลังใกล้จับตัวเจี้ยงเฉินได้นั้นเอง, บังเกิดคลื่นพลังสายหนึ่งโผล่ขึ้นมากลางอากาศอย่างฉับพลัน กระแสลมทรงพลังมหาศาลเริ่มบีบอัดก่อร่างเป็นรูปดอกไม้! ปรากฏขึ้นเหนือหัวในทันทีทันใดอย่างน่าสะพรึง

กระแสอากาศเริ่มกดดันถาโถมเขามาหลังจากที่ดอกไม้ที่สร้างจากพลังปราณจิตวิญญาณก่อตัวขึ้นอย่างสมบูรณ์

ศิษย์พี่หลิวรู้สึกหวาดวิตกอย่างมากในขณะที่เขาสัมผัสได้ว่ากลิ่นอายแห่งความตายกำลังพุ่งมาหาเขา

"แย่แล้ว!"

เขารีบก้มตัวลงแล้วกระโดดออกจากสัตว์วิญญาณทันที เพราะเขารู้ดีหากการโจมตีนั้นบรรลุถึงตัวเขา มิพ้นเขาต้องตกตายคาที่อย่างแน่นอน

เขาเลือกที่จะกระโดดจากสัตว์วิญญาณและร่วงหล่นลงไปยังพื้นดินเสียดีกว่า ที่จะกลายเป็นเศษเนื้อกลางอากาศ

เพราะอย่างน้อยเขาคงมิตกไปตายกับอีแค่ความสูงเพียงเท่านี้ อาการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นบริเวณกายเนื้อและผิวหนังสำหรับผู้ฝึกตนระดับปราณจิตวิญญาณแล้หาได้หนักหนาอะไรมากมายนัก เพียงเขาได้รับโอสถวิญญาณสักหน่อยก็คงหายดี

ปัง!

เสียดายที่การตอบสนองของศิษย์พี่หลิวนั้นช้าเกินไป เขาถูกกระแทกด้วยดอกไม้ที่ก่อตัวขึ้นมานี้เสียก่อน

สายลมจากดอกไม้นี้แผ่พุ่งเข้าไประเบิดทำลายอวัยวะภายในและเส้นโลหิตของเขาอย่างรุนแรง ก่อนที่พิรุณโลหิตจะพวยพุ่งกระจายออกมาจากทั่วทั้งร่างของเขา

"มิคาดคิดจริง ๆ ว่าเดี๋ยวนี้ศิษย์จากวิหารอุดรครามสวรรค์จะหาญกล้ามากขึ้นถึงเพียงนี้!" น้ำเสียงของผู้ชราคนหนึ่งกล่าวออกมาอย่างเรียบหากแต่มันเย็นชาจนน่าขนลุก

ศิษย์พี่หลิวที่ร่วงหล่นไปบนพื้นนั้นสามารถเก็บกู้ชีวิตเอาไว้จากความตายได้ แม้มันจะมิค่อยมีสติครบถ้วนนัก แต่มันยังกล่าวออกมาอย่างเร่งรีบว่า "ผู้อาวุโสโปรดเมตตา อภัยให้ข้าน้อยด้วย นี่เป็นความผิดจากความเลิ่นเล่อของข้าเอง ขะ...ข้าจะรีบออกไปเดียวนี้!"

ศิษย์พี่หลิวนั้นละเลยเจี้ยงเฉินและกลุ่มอย่างสิ้นเชิงทั้งที่เขาเคยกล่าวเอาไว้แล้วว่าไม่ว่าจะจ่ายราคาเท่าไรก็ต้องแย่งชิงสมบัติและอาวุธวิญญาณของเจี้ยงเฉินมาให้ได้...แต่ตอนนี้เขากลับวิ่งหนีไปโดยที่ไม่คิดจะหันกลับมามองแม้แต่นิดเดียว

คนที่ลงมือเมื่อครู่นั้นหาได้คิดสังหารให้ศิษย์พี่หลิวตกตายด้วยกระบวนท่านั้นไม่ เพียงแค่คิดสังสอนให้หลาบจำอย่าได้กระทำซ้ำอีก

"กลับไปบอกกล่าวแก่ศิษย์วิหารอุดรครามสวรรค์ให้กระจ่าง หากผู้ใดบังอาจล่วงล้ำเขตแดนมาอีกครั้ง มันต้องตาย!"

ศิษย์พี่หลิวนั้นยามนี้หวาดกลัวจนขนหัวลุกราวกับเขาเป็นหนูติดจั่นที่ทำได้เพียงนอนรอวันตายเท่านั้น

นอกจากนี้เขายังรู้ดีอีกว่า ตัวตนที่น่าพรั่นพรึงที่จู่โจมเขาเมื่อครู่นั้นหาใช้คนที่เขาสามารถล่วงเกินได้ ทางเลือกที่ประเสริฐที่สุดคือการรีบหลบหนีไปให้พ้นจากนรกขุมนี้ และหลีกเลี่ยงการสร้างความขุ่นเคืองใด ๆ ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะกระทำได้

เจี้ยงเฉินเองนั้นก็เคลื่อนที่ไปได้อีกไม่ไกลนักก่อนที่จะมีพลังลึกลับบางอย่างบีบบังคับให้เขาต้องหยุดเคลื่อนไหว ก่อนที่เขาจะบินลงจอดบนพื้น

ในขณะที่เจี้ยงเฉินกำลังบินลงมา เขาก็พบว่ายามนี้ บิดาของเขาคนอื่น ๆ แล้วก็โจวหยู่เองก็ลงจอดในหุบเขานี้แล้วเช่นกัน

มีเชือกแปลกประหลาดที่เปล่งแสงเรืองรองกำลังมัดพวกเขาทุกคนเอาไว้อยู่จนไม่สามารถขยับได้แม้แต่กล้ามเนื้อสักเพียงมัด เมื่อเจี้ยงเฉินลงถึงพื้นแล้วเจี้ยงเฟิง,โจวหยู่และคนอื่น ๆ ก็ฉายแววกังวลออกมาอย่างเห็นได้ชัด

เจี้ยงเฉินหัวเราะเบา ๆ เขาย่อมรู้ดีว่าตอนนี้เขาอยู่ในหุบเขาชิงหยางเรียบร้อยแล้ว และนี่ต้องเป็นฝีมือของผู้เชี่ยวชาญของหุบเขาชิงหยางอย่างแน่นอน

มิเช่นนั้นศิษย์พี่หลิวคนนั้นย่อมไม่ยินยอมจากไปอย่างหมดจดเช่นนั้น

"ฮี่ฮี่ฮี่ ระดับบ่มเพาะของคนพวกนี้นับว่าธรรมดายิ่งนัก แต่เหตุใดสัตว์พาหนะของพวกมันจึงดูดีเช่นนี้ พวกมันมาจากที่ใดกันแน่? "

"ฮ่าฮ่าฮ่า ผู้ใดจะไปสนใจว่าพวกมันมาจากที่ใด เมื่อหาญกล้าบุกรุกเข้ามาในหุบเขาชิงหยางของพวกเรา พวกมันตายมิกลายเป็นปุ๋ยก็ต้องเป็นทาสโอสถ มัดพวกมันไว้ให้ดีรอให้อาวุโสเฟยมาตัดสินโทษทัณฑ์ของพวกมัน "

ผู้ที่กล่าววาจานี้กลับเป็นเด็กผู้ชายตัวน้อย 2 คน แลไปพวกมันน่าจะอายุน้อยกว่าเจี้ยงเฉิน 3-4 ปี

Copyright © 2019 spoilsoc.com All rights reserved.