spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
*ตั้งค่าถาวร (คลิกตั้งค่าถาวร) |
"ดรรชนี ดาวตก!"
"ฮึ่ม ทำอย่างกับพวกเรามิเคยรับมือมันมาก่อน! "
"คิดว่าวิชานี้พวกเราจะกลัว? ไร้สาระ! "
อีกสามคนถึงกับหัวเราะเยาะออกมา วิชาดรรชนีดาวตกนี้พวกมันต่างรู้กันเป็นอย่างดีว่า เป็นวิชาเฉพาะตัวของคนแซ่หลิว ในฐานะคู่แข่งแล้วเหตุใดพวกมันจะไม่คิดหาหนทางรับมือเอาไว้
แต่ทว่าหลังจากที่พวกมันจ้องมองการจู่โจมที่กำลังพุ่งเข้ามาอีกเพียงครู่หนึ่ง พวกมันพลันตื่นตระหนกและสีหน้าพวกมันกลับกลายเป็นปั้นยากขึ้นมาทันที
ดรรชนีที่พวกมันไม่ใส่ใจในตอนแรก กลับแปรเปลี่ยนเป็นลูกบอลเพลิงหลังจากที่มันผสานหลอมรวมกับพลังปราณธรรมชาติในอยู่ชั่วครู่หนึ่ง
"นะ..นี่มันวิธีจู่โจมของผู้ที่ก่อตั้งทะเลวิญญาณแล้ว...ขะ...ขอบเขตจิตวิญญาณ ท่านตัดผ่านแล้ว? ท่านตัดผ่านไปยังระดับปราณจิตวิญญาณขั้นที่ 1 แล้วหรือ? "
"การผสานพลังวิญญาณและควบรวมพลังเข้ากับวิชาเฉพาะตัวเช่นนี้...ต้องเป็นผู้ที่ตัดผ่านแล้วเท่านั้นถึงจะกระทำได้!"
"พี่ชายหลิวท่าน ... "
คนแซ่หลิวเพียงกล่าวออกมาด้วยใบหน้าเรียบเฉยแต่ทว่ามุมปากมันกลับมีรอยยิ้มเล็กน้อย "ตกลงพวกเจ้าจะกลับไปหรือไม่?"
ทั้งสามคนได้แต่หันมองหน้ากันเองด้วยความไม่ยินยอม แต่จะอย่างไรพวกมันก็หาได้มีทางเลือกมากนัก พวกมันย่อมรู้ดีกว่าใครว่าผู้ที่ตัดผ่านจากระดับครึ่งก้าวปราณจิตวิญญาณไปยังระดับปราณจิตวิญญาณขั้นที่ 1 แล้วนั้น ความแข็งแกร่งของคนผู้นั้นจะทวีมากขึ้นหลายเท่าตัว
ถึงแม้ยามนี้พวกมันทั้ง 3 จะร่วมมือกันอย่างเต็มที่ แต่พวกมันก็หาใช่คู่มือของผู้ฝึกตนระดับปราณจิตวิญญาณขั้นที่ 1 ได้ เช่นนั้นคำพูดเขื่องโขใหญ่โตของศิษย์พี่หลิวเมื่อครู่ก็หาได้เป็นเรื่องเหลวไหลไม่ เขามีอำนาจเพียงพอที่จะออกคำสั่งให้พวกมันกลับไป!
ผู้แข็งแกร่งที่สุดย่อมเป็นราชา แม้พวกมันจะถือว่าเป็นฝ่ายเดียวกัน แต่พวกมันก็ไม่คิดเปิดเผยข้อมูลความสามารถและความแข็งแกร่งของตัวเองให้ผู้อื่นรับรู้ได้โดยง่าย
"ศิษย์พี่หลิวอย่าได้กล่าวเช่นนั้น! เกาทัณฑ์กับกระบี่นั้นนับว่าเป็นของท่านนั้นสมควรแล้ว แต่สิ่งของอื่น ๆ นั้นแบ่งปันให้พวกเราดีหรือไม่ ! ท่านเห็นว่าเช่นนี้เป็นเช่นไรบ้าง? " ชายตาสามเหลี่ยมนั้นกล่าวออกมาด้วยความคล่องแคล่ว มันประเมินสถานการณ์ได้รวดเร็วนัก
"ถูกแล้วศิษย์พี่หลิว แม้ว่าท่านจะแข็งแกร่งมากเกินพอแต่สองหัวย่อมดีกว่าหัวเดียว การมีผู้ช่วยก็ย่อมดีกว่าไม่มีมิใช่หรือ เช่นนั้นท่านก็ให้เราเป็นผู้ช่วยท่าน กลุ่มของเด็กคนนี้นั้นมีสัตว์วิญญาณลักษณะเดียวกันนี้ครบตามจำนวนของพวกมัน ศิษย์พี่หลิวท่านก็รับประทานเนื้อไป ส่วนพวกเราหวังเพียงแบ่งปันน้ำแกงสักถ้วย เช่นนี้ดีหรือไม่? " อี้เฉียนสุ่ยก็กล่าวออกมาเช่นกัน
"นั่นสิศิษย์พี่หลิว จะอย่างไรพวกเราก็มิต่างอันใดกับพี่น้อง ในอนาคตพวกเรายังสามารถช่วยเหลือพึ่งพาอาศัยกันได้อีกมากมาย เรายอมรับว่ายามนี้ท่านเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุด ท่านก็จัดการเด็กผู้นี้ที่น่าจะเข้มแข็งที่สุดในกลุ่ม ส่วนพวกเราจะจัดการเหล่าปลาซิวปลาสร้อยเองโดยที่ท่านมิต้องลำบากลงมือเองให้เสียเวลา อีกทั้งเด็กหนุ่มผู้นี้นั้นคล่องแคล่วนัก ยามนี้มันอยู่ตัวคนเดียวมิมีห่วงกังวล มันอาจจะเล็ดรอดเงื้อมมือท่านไปก็เป็นได้ "
ศิษย์พี่หลิวนั้นหัวเราะออกมา ก่อนที่จะกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา "พวกเจ้าสามารถเข้าร่วมด้วยก็ได้หากพวกเจ้าต้องการ แต่ข้าจะขอกล่าวเอาไว้ก่อน ตอนนี้ พวกเจ้าเพียงรับไปแต่สัตว์วิญญาณที่พวกมันขับขี่มาคนละตัวเท่านั้น อย่าได้หมายถึงสิ่งของอื่นใดอีก "
"เพียง 1 ตัวหรือ?" อี้เฉียนสุ่ยส่ายหัว " พวกมันมีเกือบ 30 คนพวกเรามีเพียง 3 คน หากพวกเราเอาไป คนละ 3 ตัว นั่นก็เพียงแค่ 9 ตัวเท่านั้น ท่านยังได้รับอีก 2 ใน 3 !!
"พี่ชายหลิวจะอย่างไรท่านก็ได้เนื้อชิ้นใหญ่ไปแล้ว ท่านอย่าได้โหดร้ายกับพวกเรานักเลย" ชายอ้วนเองก็กล่าววิงวอนออกมา
"ศิษย์พี่หลิว ข้าเองก็อยากขอท่านเพิ่มอีกสักเรื่องหนึ่ง พวกเรานั้นมิคิดแย่งชิงอาวุธวิญญาณใด ๆ กับท่าน แต่หากมันมีวิชายุทธ์หรือวิชาลับอันใด พวกเราเพียงขอคัดลอกสำเนาด้วยเท่านั้นเอง " ชายตาสามเหลี่ยมเองก็กล่าวข้อเรียกร้องของมันออกมาเช่นกัน
ศิษย์พี่หลิวนั้นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพยักหน้า "เอาล่ะพวกเจ้าแต่ละคนสามารถรับสัตว์วิญญาณไปคนละ 2 ตัวอีกทั้งยังสามารถลอกสำเนาวิชายุทธ์หรือวิชาลับอะไรก็ตามแต่ และอย่าได้เรียกร้องอันใดเพิ่มเติมอีกต่อไปมิเช่นนั้น สิ่งที่พวกเจ้าจะได้รับคือลงนรก! "
ถึงแม้ทั้งสามคนจะรู้สึกขุ่นเคือง แต่ในเมื่อพวกมันแข็งแกร่งมิเท่าอีกฝ่าย พวกมันก็ได้แต่ยินยอมบีบจมูกตนเองกลั้นใจสมยอมเช่นนี้
“เอาล่ะ! เช่นนั้นก็ตามนี้! "
"ทุกคนร่วมมือกันจู่โจม อย่าปล่อยให้ไอ้เด็กนี่หนีไปได้เด็ดขาด!" อี้เฉียนสุ่ยนั้นนับว่าแค้นเคืองเจี้ยงเฉินมากที่สุด
เจี้ยงเฉินนั้นโดยส่วนตัวแล้ว ยามที่เขาเห็นพวกมันถกเถียงกันนั้นนับว่าเป็นเรื่องขำขันคลายอารมณ์ของมันอย่างดี คนแซ่หลิวอะไรนั่นเพียงตัดผ่านไปยังระดับผู้แสวงหาเต๋าอาณาจักรปราณจิตวิญญาณได้ไม่นาน หากเทียบกันแล้วในหมู่ผู้แสวงหาเต๋าอาณาจักรปราณจิตวิญญาณ มันย่อมอ่อนด้อยอย่างถึงที่สุด
หากจะกล่าวให้ชัด มันนับว่าอ่อนด้อยกว่าซูเชี่ยนอีกด้วยซ้ำ
แต่ผู้ใดจะไปคาดคิดว่าทั้ง 3 คนนั้นกลับยอมจำนนต่อศิษย์พี่หลิวอะไรนั่น? เจี้ยงเฉินถึงกับสะทกสะท้อนในอารมณ์ความรู้สึกที่ว่า โลกใบนี้นั้นผู้อ่อนแอย่อมตกเป็นเหยื่อของผู้แข็งแกร่งพลันแจ่มชัดออกมา
หากแต่เจี้ยงเฉินนั้นมิคิดเป็นผู้อ่อนแอให้ผู้ใดสามารถรังแกมันได้เด็ดขาด
เมื่อเห็นว่าพวกมันนั้นหาข้อยุติในเรื่องราวครั้งนี้ได้แล้ว เจี้ยงเฉินรู้สึกขบขันยิ่งนัก "พวกนกกระจอกโง่เขลาหารือกันเสียสนุกสนาน เช่นนั้นข้าจะให้พวกมันได้เล่นไล่จับอีกครา! "
ในขณะที่พวกมันกำลังหารือถึงการแบ่งปันผลประโยชน์เลอะเลือนของพวกมันอยู่นั้น เจี้ยงเฉินก็เงี่ยหูใช้ออกด้วยสดับเทพวายุ ติดตามการเคลื่อนไหวของพวกโจวหยู่อยู่ตลอดเวลา เพื่อตรวจสอบว่าโจวหยู่และคนอื่น ๆ นั้นฝ่าเหล่าศัตรูไปได้แล้วหรือยัง
ตั้งแต่ที่กลุ่มโจวหยู่และคนอื่น ๆ สามารถตีฝ่าแนวของศัตรูจนหลบหนีออกไปได้ตามความต้องการของเจี้ยงเฉินแล้ว เหตุใดตัวเขาต้องอยู่ละเล่นเกมส์น่าเบื่อกับพวกโง่เขลาเบาปัญญาพวกนี้อีก?
เจี้ยงเฉินกระตุกนกหงส์ทองเล็กน้อยก่อนที่มันจะพุ่งตัวออกไปด้วยความเร็วสูงสุด ร่างของมันพุ่งเป็นลำแสงสีทองหายลับไปในก้อนเมฆในพริบตาเดียว
"บัดซบ! ไอ้เด็กนั่นหนีไปแล้ว!" อี้เฉียนสุ่ยรู้สึกเดือดดาลขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อเห็นเจี้ยงเฉินหลบหนีไป มันรีบพุ่งตามไปโดยไม่รอช้า
ชายอ้วนและชายตาสามเหลี่ยมเองก็รีบติดตามไปทันที
ในฐานะที่ศิษย์พี่หลิวนั้นแข็งแกร่งที่สุด มันจึงมิได้เร่งร้อนอะไร เมื่อเหม่อมองไปยังทิศทางที่เจี้ยงเฉินจากไปอยู่ครู่หนึ่ง มันจึงพุ่งตัวออกติดตามไปด้วยความเร็วสูงสุด
ผู้ฝึกตนอาณาจักรปราณจิตวิญญาณเช่นมันนั้นสามารถเสริมพลังให้แก่สัตว์วิญญาณได้สูงกว่าผู้ฝึกตนระดับครึ่งก้าวปราณจิตวิญญาณและผู้ฝึกตนอาณาจักรปราณแท้จริงมากนัก ถึงแม้ศิษย์พี่หลิวจะออกตัวหลังผู้อื่นแต่เพียงมิกี่ลมหายใจมันก็สามารถติดตามทั้ง 3 คนที่จากมาก่อนได้ทัน
และเพียงไม่ถึง 3 อึดใจมันก็ทิ้งห่างทั้ง 3 คนนั้นไปแบบไม่เห็นฝุ่น
ความเร็วของผู้ฝึกตนระดับปราณแท้จริงที่พวกมันนำมานับว่ายิ่งเชื่องช้าเข้าไปอีก พวกมันยังตามหลังทั้ง 3 คนนั้นอยู่ไกลโขเลยทีเดียว
"เหอะ เหอะ ศิษย์พี่หลิวนั่นก็อวดดีได้แค่ตอนนี้เท่านั้นล่ะ" ชายอ้วนบ่นพึมพำออกมา
"ฮ่า ฮ่า เจ้าอ้วนตะกละ เจ้าจะบอกว่าหากเจ้าตัดผ่านไปได้ เจ้าจะแข็งแกร่งกว่าเขาเช่นนั้นหรือ" ชายตาสามเหลี่ยมกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันก่อนที่จะหัวเราะเยาะ
"เหอะ! ถึงข้าจะอ้วนและตะกละแต่ข้านับว่าใจกว้างกว่ามันมากนัก ถึงแม้ข้าจะตัดผ่านระดับไปได้ ข้าก็มิมีจิตใจแคบเช่นเดียวกับมันหรอก นี่อะไร มันคิดฮุบเนื้อชิ้นใหญ่ไว้คนเดียว เพียงปันน้ำแกงให้พวกเรามิกี่ถ้วยเท่านั้น "
"อย่าได้กล่าววาจาไร้สาระ หากเจ้ามีปัญญากินเนื้อได้ พวกเราก็ยินยอมกินน้ำแกงเช่นกัน " อีเฉียนสุ่ยเองก็บ่นพึมพำออกมา ตอนนี้เขาไม่สนใจอะไร
ตอนนี้เขาเพียงต้องการจับกุมเจี้ยงเฉิน ก่อนที่จะทรมานมันให้สาสมแก่ใจ ให้สาสมกับที่มันสร้างความอัปยศไว้ให้แก่เขาก่อนหน้านี้ ...น่าเสียดายตอนนี้เขาก็ได้แค่เพียงถอนหายใจออกมา หากเขาแข็งแกร่งและระวังตัวกว่านี้ ป่านนี้เจี้ยงเฉินนั่นต้องตกอยู่ในกำมือของเขาและความมั่งคั่งทุกอย่างย่อมเป็นของเขาไปแล้ว มิต้องมาถูกศิษย์พี่หลิวแย่งชิงไปซึ่ง ๆ หน้าเช่นนี้!
"น่าเสียดายยิ่งนักที่แพะอ้วนใกล้ปากข้าเช่นมัน กลับต้องหลุดลอยไปเช่นนี้ " อี้เฉียนสุ่ยค่อนข้างหดหู่ใจอย่างมาก
เจี้ยงเฉินนั้นกำลังบินไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูงสุด หลังจากผ่านไปราว ๆ 1 เค่อ เขาก็เห็นกลุ่มคนของเขาและโจวหยู่อยู่รำไร ด้วยการอาศัย "ค่ายกลหมัดแปดปรมัตถ์" กลุ่มคนของพวกเขาสามารถเก็บกวาดเหล่าศัตรูที่หมายปิดล้อมทางทิศใต้ลงได้อย่างหมดจด
การที่เส้นทางของเขาเปิดโล่งเช่นนี้ ย่อมหมายความว่ากลุ่มของเขาจัดการพวกมันได้หมดสิ้นไม่มีเหลือ
เจี้ยงเฉินเร่งความเร็วอีกครั้งเพื่อให้ติดตามกลุ่มคนของเขาได้ทัน เขาโยนโอสถแห่งท้องทะเลลึกใส่ปากนกหงส์ทองของเขาก่อนที่จะกล่าวกับมันเบา ๆ ว่า "เจ้าเร่งความเร็วอีกสักนิด พุ่งตรงไปด้านหน้าด้วยความเร็วสูงสุดอย่าได้กังวล! "
นกหงส์ทองนั้นรวดเร็วมากอาจกล่าวได้ว่าความเร็วของมันนั้นเหนือล้ำมังกรไวเวิร์นถึง 2 เท่า แต่พวกมันกลับมิค่อยมีความอดทนสักเท่าไร นี่อาจกล่าวได้ว่าเป็นข้อเสียข้อหนึ่ง
แต่ด้วยโอสถแห่งท้องทะเลลึกที่สามารถฟื้นฟูพลังปราณของมันได้จึงสามารถแก้ปัญหาในเรื่องนี้ได้ในระดับหนึ่ง อย่างน้อย ๆ พวกมันก็ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่สามารถเร่งความเร็วสูงสุดได้ในระยะทาง 2,000-3,000 ลี้
กลุ่มของเจี้ยงเฉินทุกคนต่างรู้ดีว่าคนที่ติดตามพวกมันมานั้นหาได้รับมือได้โดยง่าย แต่เมื่อพวกเขาเห็นเจี้ยงเฉินกำลังบินตรงมา พวกเขาก็รีบหยิบโอสถแห่งท้องทะเลลึกใส่ปากนกหงส์ทองประจำตัวทันทีเพื่อฟื้นฟูพลังปราณให้พวกมัน
ด้วยผลที่ยอดเยี่ยมของโอสถแห่งท้องทะเลลึกเพียงมินาน เหล่านกหงส์ทองก็ฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วกลับมาคึกคักและทำความเร็วได้สูงขึ้นจากก่อนหน้านี้
การไล่ล่าก็ยังคงดำเนินต่อไป
ศิษย์พี่หลิวเป็นผู้ฝึกตนระดับปราณจิตวิญญาณ มันจึงมีความสามารถพอที่จะไล่ล่าติดตามกลุ่มของเจี้ยงเฉินมาได้อย่างไม่ลดละ
แต่โชคดีที่ศิษย์พี่หลิวดูเหมือนจะมิได้มีความเร็วมากมายไปกว่าเจี้ยงเฉินและกลุ่มคนของเขา นั่นทำให้ระยะห่างระหว่างมันกับพวกเขายังคงทรงตัวไม่ได้ย่นย่อเข้ามาสักเท่าไร
ส่วนพวกอี้เฉียนสุ่ยและคนอื่น ๆ นั้น ยามนี้ถูกทิ้งห่างไปอย่างไม่เห็นฝุ่น ระยะทางนั้นแตกต่างราว ๆ 200-300 ลี้
แต่ถึงแม้ว่าระยะทางนี้จะดูเหมือนไกล แต่สำหรับสัตว์วิญญาณแล้วมันหาได้ใช้เวลามากมายนักเพียงไม่กี่อึดใจเท่านั้น
นี่จึงกล่าวได้ว่าระยะทางระหว่างพวกเขานั้นยังไม่ได้กว้างมากมายอะไรเท่าไหร่นัก
"หยุด! อย่างไรเจ้าก็หนีไม่พ้น! " ศิษย์พี่หลิวควบรวมพลังปราณจิตวิญญาณของเขาผสานไปกับอากาศก่อนที่จะเปล่งมันออกมาให้ดังกังวานออกไปราวกับเสียงฟ้าร้อง
เพราะมีพลังปราณจิตวิญญาณแฝงมาด้วย ทำให้เสียงตะโกนของมันนั้นหาได้ธรรมดาสามัญไม่ คลื่นสั่นสะเทือนนี้ราวกับเสียงคำรามของอัสนี มันสั่นสะท้านไปถึงไขกระดูกของผู้ฝึกฝนปราณแท้จริงอย่างน่ากลัว ซื่อตงและคนอื่น ๆ ที่ระดับบ่มเพาะไม่สูงนัก แทบจะประคองตัวเอาไว้ไม่อยู่เกือบร่วงหล่นลงมาจากหลังของนกหงส์ทอง
"พวกเจ้ารีบอุดหูเสีย เสียงร้องของมันไม่ใช่อะไรที่พวกเจ้าจะรับมือได้" คลื่นเสียงเช่นนี้หาได้มีผลกับเจี้ยงเฉินที่ฝึกฝน "หทัยแกร่งดั่งภูผา" แม้แต่นิด
คลื่นเสียงนี้สามารถกังวานไปได้ไกลนับ 10 ลี้ และมันสามารถเล่นงานได้เพียงผู้ที่มีระดับฝึกตนตั้งแต่ระดับปราณแท้จริงขั้นสูงสุดลงมาเท่านั้น ส่วนผู้ฝึกตนระดับปราณแท้จริงขั้นสูงสุดนั้น มีผลเพียงชะงักได้ชั่วครู่เท่านั้น
"เฮอะ!! เหลืออีกเพียง 200 ลี้ก็จะเข้าเขตหุบเขาชิงหยางแล้ว หากเจ้ายังคิดมุ่งหน้าไปเช่นนี้ นั่นมิต่างอันใดกับพวกเจ้ากำลังพุ่งไปหาความตายด้วยตนเอง! "
ตอนนี้ดูเหมือนศิษย์พี่หลิวจะหาได้เร่งร้อนอันใด ราวกับเขามั่นใจว่าจะอย่างไรกลุ่มของเจี้ยงเฉินทั้งหมดต้องถูกเขาจับได้อย่างแน่นอน เห็นได้ชัดว่าความทะนงตนและอวดดีของมันนี้ เกิดขึ้นหลังจากที่มันตัดผ่านไปยังระดับปราณจิตวิญญาณได้สำเร็จ ความเชื่อมั่นในตนเองของเขายามนี้นับว่าทะยานสูงมากกว่าก่อนนัก
เขารู้สึกว่าเจี้ยงเฉินและกลุ่มอยู่ในกำมือเรียบร้อยแล้ว
"ตัวข้านั้นหาได้เหมือนอี้เฉียนสุ่ยและคนอื่น ๆ ข้าเพียงแต่ต้องการทรัพย์สมบัติของพวกเจ้าหาใช่ชีวิตไม่ พวกเจ้าเพียงส่งมอบสมบัติและความมั่งคั่งที่มีอยู่ ตัวข้าเองก็ยินยอมปล่อยพวกเจ้าไปอย่างปลอดภัย! "
"มิเช่นนั้นหากเจ้าล่วงล้ำเข้าไปยังเขตของหุบเขาชิงหยางแล้วล่ะก็อย่างหวังว่าจะรักษาสิ่งที่เจ้ามีไว้ได้ มิหน้ำซ้ำเผลอ ๆ ลมหายใจของพวกเจ้ายังเก็บเอาไว้มิได้เช่นกัน หากโชคดีพวกเจ้าอาจได้เป็นทาสโอสถ อยู่เป็นหนูทดลองผลลัพธ์โอสถตลอดชีวิต หากโชคร้ายนั้นพวกเจ้าเพียงตกตายสถานเดียว! "
เสียงของศิษย์พี่หลิวนั้นกล่าวถึงภัยคุกคามออกมา
หุบเขาชิงหยาง?
เจี้ยงเฉินรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย หากตัดสินใจทิศทางที่พวกเขากำลังบินมุ่งหน้าไปเช่นนี้ จะอย่างไรก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงการล่วงล้ำเข้าหุบเขาชิงหยางได้
เทียนหลงนั้นได้กล่าวเตือนเป็นมั่นเป็นเหมาะเอาไว้แล้ว ว่าสำหรับอาณาจักรนภาจันทร์แห่งนี้มีสถานที่ห้ามล่วงเกินและห้ามล่วงล้ำเข้าไปเด็ดขาดอยู่สองแห่ง หนึ่งคือวิหารอุดรครามสวรรค์และอีกแห่งคือหุบเขาชิงหยางที่อยู่เบื้องหน้าเขานี่เอง
สำหรับตัวเจี้ยงเฉินนั้น ในใจเขาก็อยากจะหลีกเลี่ยงพวกมัน แต่สุดท้ายก็กลับกลายเป็นว่า...เขาไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้แม้แต่เพียงที่เดียว เขานั้นได้สร้างปัญหากับพวกวิหารอุดรครามสวรรค์และล่วงเกินพวกมันไปแล้ว ยามนี้ยังจะต้องล่วงล้ำเข้าไปยังเขตของหุบเขาชิงหยางอีก...เวรซ้ำกรรมซัดแท้ ๆ
นับว่าการเดินทางมายังอาณาจักรนภาจันทร์แห่งนี้ช่างน่าหนักใจยิ่งนัก
แต่ถึงกระนั้นเจี้ยงเฉินเองก็ไม่คิดฟังวาจาของศิษย์พี่หลิวอะไรพวกวิหารอุดรครามสวรรค์นี้ เพราะเห็นได้ชัดว่าพวกมันเป็นเพียงตัวอุบาทว์ชาติชั่วโจรร้ายปล้นฆ่าชิงทรัพย์ทั้งสิ้น
จะปล่อยพวกเขาไปหลังจากทิ้งความมั่งคั่งและสมบัติต่าง ๆ เอาไว้? คำกล่าวเลอะเทอะที่มีไว้ล่อหลอกทารก 3 ขวบปีเช่นนี้ จะให้เจี้ยงเฉินหลงเชื่อเข้าไปได้อย่างไร?
แล้วนอกจากนี้จะให้คนอย่างเจี้ยงเฉินยอมทิ้งทรัพย์สมบัติและความมั่งคั่งน่ะหรือ ฝันกลางวันอยู่หรือไร?
แค่ดูจากการกระทำของตัวอุบาทว์วิหารอุดรครามสวรรค์ก็รู้อยู่แล้วว่าพวกมันนั้นเป็นโจรชั่วฆ่าคนปล้นชิงโดยสันดาน
ส่วนหุบเขาชิงหยางนั้นมิเคยมีคำกล่าวว่าพวกมันเข่นฆ่าคนอย่างไร้เหตุผล พวกมันเพียงจับคนกระทำผิดไปเป็นทาสโอสถราว ๆ 20-30 ปีเท่านั้น
แม้จะต้องเป็นทาสโอสถ ก็ยังดีเสียกว่าตกอยู่ในน้ำมือโจรฆ่าชิงทรัพย์เช่นตัวอุบาทว์พวกนั้น
เมื่อคิดได้เช่นนี้เจี้ยงเฉินยังยินยอมที่จะบุกเข้าไปในหุบเขาชิงหยางเสียดีกว่าจะต้องยินยอมสยบให้แก่ตัวอุบาทว์จากวิหารอุดรครามสวรรค์
"หากเจ้ายังมุ่งหน้าไปเช่นนี้เหลืออีกเพียง 100 ลี้เจ้าก็จะล่วงเกินหุบเขาชิงหยางแล้ว เจ้าต้องการที่จะเข้าไปเป็นหมูบนเขียงด้วยตัวเอง หรือคิดจะรักษาชีวิตเอาไว้โดยสละสมบัติ ก็เลือกเอา"
"หากยังโง่งมหลงผิดคิดอะไรตื้น ๆ ก็อย่างหวังว่าจะรอดไปได้" ศิษย์พี่หลิวนั้นเริ่มรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา เมื่อเจี้ยงเฉินและพรรคพวกของมันแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินวาจาของเขา
เขาหยิบโอสถบางอย่างขึ้นมาและโยนไปให้สัตว์วิญญาณกิน "รีบบินไปข้างหน้าเร็วเข้า อย่าได้ให้พวกมันมีโอกาสล่วงล้ำเข้าไปในเขตแดนของหุบเขาชิงหยางเด็ดขาด!"
หาใช่แต่มันที่มีโอสถ เจี้ยงเฉินเองก็มีเช่นกัน ความเร็วของนกหงส์ทองนั้นเห็นได้ชัดว่ารวดเร็วกว่ามังกรไวเวิร์นของเขาอยู่ 2 เท่า
แต่นี่เป็นเพราะเขาเป็นผู้ฝึกตนอาณาจักรปราณจิตวิญญาณ ทำให้เขาสามารถเร่งความเร็วได้ทัดเทียมกับของกลุ่มเจี้ยงเฉิน
หากเขาต้องการที่จะเร่งความเร็วให้มากกว่านั้น จำเป็นที่สัตว์วิญญาณของเขาจะต้องเสียสละแก่นโลหิต
เมื่อสัตว์วิญญาณได้รับคำสั่งจากเจ้านายให้เร่งความเร็วเช่นนี้ หนทางเดียวที่มันทำได้คือเผาผลาญแก่นโลหิตของตนเอง เมื่อมันกินโอสถนั้นเข้าไปมันก็เริ่มเผาผลาญแก่นโลหิตของตนเองเพื่อเพิ่มความเร็วทันที
และยามนี้ความเร็วของมันพลันมากกว่าเดิมถึง 2 เท่า!
‘หืม นี่มัน!’
เจี้ยงเฉินรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย ตัดสินจากเสียงนี้ความเร็วของอีกฝ่ายเพิ่มขึ้นราว ๆ 2 เท่าในทันทีทันใด! ในโลกนี้ยังมีวิธีการอื่นใดอีกหรือที่สามารถเร่งความเร็วของสัตว์วิญญาณให้มากขึ้นเช่นนี้ หลังจากที่ไล่กันมาตั้งนานแต่กลับไม่ยินยอมกระทำ?