spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
spoilsoc.com
*ตั้งค่าถาวร (คลิกตั้งค่าถาวร) |
เจี้ยงเฉินกล่าวบอกกับกลุ่มของเขาให้มุ่งหน้าไปทางทิศใต้ เพราะกลุ่มคนที่กำลังปิดล้อมทางด้านทิศใต้นั้นหาได้มีผู้ที่แข็งแกร่งถึงระดับครึ่งก้าวปราณจิตวิญญาณดั่งเช่นอี้เฉียนสุ่ยที่กำลังร่วงหล่นจากฟ้าคนนี้ไม่ มันมีเพียงระดับปราณแท้จริงขั้นที่ 11 เท่านั้น
บินมุ่งหน้าไปทางทิศใต้นับว่าเป็นทางรอดเดียวของพวกเขา
สำหรับสิ่งที่รอคอยพวกเขาอยู่หลังจากมุ่งหน้าไปยังทิศใต้หรือพวกเขาอาจจะเข้าไปยังพื้นที่ต้องห้ามอื่น ๆ อีกหรือไม่นั้น ไม่ใช่เรื่องที่เจี้ยงเฉินจะต้องนำมาใส่ใจในเวลานี้
เป็นเรื่องดีที่คนของเขาและเหล่าผู้คุ้มกันทั้งหลายได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี หามีผู้ใดคิดลังเลหรือขัดคำสั่งไม่ พวกเขารีบมุ่งหน้าลงใต้ตามคำกล่าวของเจี้ยงเฉินในทันที
เจี้ยงเฉินสามารถใช้สดับเทพวายุเพื่อฟังเสียงได้จากทุกทิศทาง ข้อมูลต่าง ๆ ถูกเรียงร้อยไว้ในใจของเขาจนราวกับเขามองเห็นภาพมุมสูงและล่วงรู้สถานการณ์ทั้งหมด
ยามนี้มีกลุ่มคน 5 กลุ่มหากนับรวมกลุ่มของศิษย์พี่อี้...ที่เขากำลังเผชิญหน้า
กลุ่มคนเหล่านั้นกำลังมาจากทางทิศตะวันออกและทิศตะวันตก นอกจากนี้ยังมีทิศตะวันออกเฉียงเหนือและตะวันตกเฉียงเหนืออีกด้วย
ส่วนกลุ่มสุดท้ายที่กำลังมาจากทิศใต้นั้น พวกมันกำลังจะปะทะกับกลุ่มของโจวหยู่ในอีกไม่ช้า
ในบรรดาทั้ง 5 กลุ่มนี้นับว่ากลุ่มที่ 5 นั้นอ่อนแอที่สุด ที่คนที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มนั้นก็มีระดับบ่มเพาะเพียงระดับปราณแท้จริงขั้นที่ 11 ดั่งเช่นองค์หญิงโจวหยู่ เขาจึงไม่คิดกังวลอะไรนัก
ตอนนี้เจี้ยงเฉินปรารถนาเพียงอย่างเดียวเท่านั้นคือขอให้กลุ่มของเขาสามารถตีฝ่าออกไปทางทิศใต้ได้สำเร็จ ตราบใดที่พวกเขาสามารถตีฝ่าเอาชนะกลุ่มที่กำลังจะเผชิญออกไปทางทิศใต้ได้ เท่ากับพวกเขาสามารถหลุดรอดออกจากวงล้อมและออกจากอาณาเขตวิหารอุดรครามสวรรค์
แน่นอนว่าในบรรดาทั้ง 5 กลุ่มนี้ กลุ่มของอี้เฉียนสุ่ยที่อยู่ทางทิศตะวันออกนั้นไม่มีกำลังรบเหลืออยู่แล้ว
นกหงส์ทองรีบบินไปยังสถานที่ที่เจี้ยงเฉินสั่งการเมื่อมันบินมาถึงมันก็หยุดลงตำแหน่งที่เขาเลือกไว้ ตำแหน่งนี้คือตำแหน่งที่มีลักษณะเป็นศูนย์กลางมากที่สุดหลังจากทำการคำนวณอย่างละเอียดถี่ถ้วน
หากผู้ใดคิดจะบินฝ่าเขาไปหากลุ่มเพื่อนของเขา แน่นอนว่าต้องฝ่าจุดที่เขายืนอยู่ตรงนี้ไปให้ได้ซะก่อนเท่านั้น
ตราบใดที่เขาสามารถพัวพันพวกมันเอาไว้ได้เพียงชั่วครู่จนประวิงเวลาให้กลุ่มของโจวหยู่ได้มากพอ ด้วยความเร็วที่สูงล้ำในระยะสั้น ๆ ของนกหงส์ทอง คงไม่ใช่เรื่องง่ายหากคนพวกนี้คิดที่จะติดตามไปจนทันอีกครั้ง
อย่างไรก็ตามตอนนี้นับว่าเจี้ยงเฉินรู้สึกเสียดายอย่างมากหลังจากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น เพราะถ้าเขารู้ว่าหากเรื่องราวมันจะเป็นเช่นนี้เขาคงให้เย่หลงส่งคนมารับที่ชายแดนไปแล้ว
เขานั้นเป็นคนปฏิเสธข้อเสนอการส่งคนไปรับของเย่หลงด้วยตัวเอง นี่เพราะเขาอยากเรียนรู้ประเพณีวัฒนธรรม และความเป็นอยู่ของอาณาจักรนภาจันทร์ ด้วยตัวของเขาเอง
นอกจากนี้เขายังคิดไปในแง่ดีอีกว่าหากเขาไม่ไปสร้างปัญหาหรือวุ่นวายกับผู้ใด คงมิมีปัญหาอันใดเกิดขึ้น...
แต่ใครจะไปรู้กันเล่า! ว่าบรรยากาศการเดินทางในอาณาจักรนภาจันทร์นี้จะย่ำแย่และโหดร้ายกว่าอาณาจักรตะวันออกถึงเพียงนี้ พวกมันกลับฆ่าหรือปล้นสะดมผู้คนกันซึ่ง ๆ หน้าโดยไร้เรื่องราวเช่นนี้! หรือเรียกผู้คนบนทางหลวงให้หยุดเพื่อปล้นเช่นนี้!
"หากข้ารู้ว่ามันจะอุบาทว์และต่ำตมถึงเพียงนี้คงมิคิดอันใดตื้น ๆ เช่นนี้แน่ ข้าควรจะนำนกหงส์ทองมาสักหนึ่งพันตัวมากวาดล้างบดขยี้ไอ้ตัวอุบาทว์เหล่านี้ให้ตกตายไปเสียให้หมด!" เจี้ยงเฉินรู้สึกขุ่นเคืองใจเล็กน้อย
อย่างไรเขาก็รู้ว่านี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เขาเพียงกล่าวออกมาเพราะความหงุดหงิดเท่านั้น การปรากฏตัวของพวกเขาเมื่อนำพาเหล่านกหงส์ทองมาด้วยนับพัน เกรงว่าจะเอิกเกริกและวุ่นวายมากกว่ายามนี้หลายเท่านัก
กล่าวคือพวกเขาจะดึงดูดเหล่าผู้ที่มีอำนาจและแข็งแกร่งมากกว่าพวกตัวอุบาทว์เหล่านี้
ภายในเวลาไม่นานกลุ่มคนทั้งหมดก็เคลื่อนที่มาถึงจุดที่เจี้ยงเฉินเฝ้ารออยู่ พวกมันถึงกับสับสนเพราะเมื่อมาถึง พวกมันกลับพบชายผู้หนึ่งที่ยืนกอดอกอยู่ท่าทางราวกับจะต่อต้านสวรรค์อย่างไรอย่างนั้น เพียงหนึ่งคน...เท่านั้น
เกิดอะไรขึ้น? เหตุใดเด็กคนนี้จึงไม่หลบหนีไป? มันหลงทางหรือพลัดหลงกับกลุ่มของพวกมันใช่หรือไม่ หรือมันคิดจะทำตัวเป็นนักรบผู้ยิ่งใหญ่ถ่วงเวลาให้กลุ่มของมัน? ลูกแกะเพียง 1 ตัวริอาจหาญกล้าท้าทายราชสีห์ทั้ง 4 เช่นนั้นหรือ?
ทันใดนั้นเองอี้เฉียนสุ่ยที่ได้เปลี่ยนสัตว์ขี่มาเรียบร้อยแล้วก็จ้องมายังเจี้ยงเฉินด้วยแววตาอาฆาตแค้น ในสายตาของมันเต็มไปด้วยจิตสังหาร ราวกับอยากพุ่งมาฉีกร่างเจี้ยงเฉินเสียตอนนี้
อย่างไรก็ตามตัวมันเองย่อมรู้ดีว่าอาศัยความแข็งแกร่งของมันเพียงผู้เดียว ไม่อาจฆ่าเยาวชนตรงหน้าที่ครอบครองอาวุธวิญญาณแท้จริงอีกทั้งยังหลอมกลั่นแล้วถึง 4 ครั้งได้
"อี้เฉียนสุ่ย เด็กผู้นี้มาจากไหนกันแน่? เจ้าได้สอบถามความเป็นมาตัวตนและเบื้องหลังของมันโดยละเอียดถี่ถ้วนแล้วหรือไม่? " เยาวชนที่มีดวงตาคล้าย ๆ กับสามเหลี่ยมกล่าวขึ้นมาพร้อมเสียงหัวเราะ
"เฮอะ! หากเจ้าอยากรู้เรื่องมันนักเหตุใดเจ้าไม่เอ่ยถามมันด้วยตัวเองเล่า?" อี้เฉียนสุ่ยนั้นอยู่ในสภาวะอารมณ์เสียอย่างมาก มันไม่สามารถฉกฉวยผลประโยชน์ใด ๆ จากเจี้ยงเฉินได้ก่อนหน้านี้ และนี่ทำให้มันรู้สึกว่าเสียหน้าอย่างยิ่ง
"ฮ่าฮ่า เจ้าเองก็อยู่ในระดับครึ่งก้าวปราณจิตวิญญาณแล้ว เหตุใดเจ้ายังดูอารมณ์เสียนักเมื่อเผชิญหน้ากับเด็กน้อยคนนี้เล่า หรือมันทำให้เจ้าลำบากทั้ง ๆ ที่เจ้าอยู่ในระดับ ครึ่งก้าวปราณจิตวิญญาณเช่นนี้!" ชายหนุ่มตาสามเหลี่ยมกล่าวออกมาพร้อมหัวเราะเยาะเย้ย
"เฮอะ ได้ใจกันไปเถอะ แล้วข้าจะคอยดูว่าพวกเจ้าจะทำได้ดีถึงเพียงไหน!" อี้เฉียนสุ่ยแค่นเสียงหัวเราะเย็นชาออกมา
ผู้นำกลุ่มทั้ง 4 คนนี้นับว่าอยู่ในระดับครึ่งก้าวปราณจิตวิญญาณเช่นเดียวกันทั้งสิ้น หาได้มีผู้ใดที่แข็งแกร่งเหนือล้ำผู้อื่นไม่ ตัวอี้เฉียนสุ่ยนั้นหาได้ประสบผลสำเร็จอันใดในการปะทะกับเจี้ยงเฉิน เช่นนั้นเขาก็คิดว่าคนพวกนี้คงไม่แตกต่างกับเขาสักเท่าไร
บางทีคนพวกนี้อาจจะประสบชะตากรรมที่ยากลำบากมากกว่าเขาก็เป็นได้!
“อย่าได้เผยอคิดเอาเองว่าข้าเป็นสวะไร้ประโยชน์เช่นเจ้า!” ชายตาสามเหลี่ยมกล่าวออกมา ก่อนที่จะตะโกนใส่สัตว์ขี่ของเขาและพุ่งออกมาข้างหน้า
ดวงตารูปสามเหลี่ยมแลดูน่าสยดสยองของมันจับจ้องมายังเจี้ยงเฉินราวกับอสรพิษ
"เด็กน้อย ข้าชื่นชมความกล้าหาญของเจ้าไม่น้อย อย่างไรก็ตามเจ้าอย่าได้เสแสร้งแกล้งทำเป็นใส่หน้ากากอีกเลย ต่อหน้าผู้ฝึกตนครึ่งก้าวปราณจิตวิญญาณอย่างพวกเรามันนับว่าไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง ทั่วทั้งของร่างเจ้านั้นยังปกคลุมไปด้วยกระแสปราณแท้จริงเท่านั้น เจ้านั้นอยู่ในระดับที่แตกต่างกับระดับปราณจิตวิญญาณของพวกเราอย่างสิ้นเชิง "
"ตัวไร้ค่าโง่งมบางจำพวกก็ทำได้เพียงเห่าหอนเท่านั้น" เจี้ยงเฉิงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงไม่แยแสก่อนที่จะหัวเราะ
“โอ้! เด็กน้อยรู้สึกเจ้าจะมั่นใจในตัวเองสูงยิ่งนัก? นี่! หรือว่าเจ้าหลงละเมอคิดไปว่าระดับปราณแท้จริงขั้นสูงสุดของเจ้านั้น ไร้เทียมทานสามารถต้านทานคนได้นับหมื่น หามีผู้ใดก้าวข้ามเจ้าไปได้?" ชายตาสามเหลี่ยมกล่าวออกมาอย่างสนุกสนานราวกับว่ามันกำลังหยอกล้อกับเหยื่อ
อย่างไรก็ตามการแสดงท่าทีและการกล่าวถามนี้หาใช่เรื่องที่ทำไปอย่างไร้สาระไม่ เขาต้องการที่จะลองเชิงและประเมินเจี้ยงเฉินจากท่าทีตอบสนองของมัน
ชายหนุ่มตาสามเหลี่ยมที่ได้กล่าววาจาดูถูกเหยียดหยามก่อนหน้านี้ หลังจากที่ได้แลกเปลี่ยนตอบโต้วาจากับเจี้ยงเฉินอยู่ครู่หนึ่งมันก็รู้สึกประทับใจขึ้นมาทันที ...ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหตุใดอี้เฉียนสุ่ยจึงล้มเหลว
เด็กน้อยคนนี้หาได้มีการครั่นคร้ามหรือสะทกสะท้านใด ๆ ทั้งสิ้น แม้มันจะกำลังยืนอยู่ต่อหน้าผู้ฝึกตนอาณาจักรปราณจิตวิญญาณถึง 4 คน
หากจะกล่าวไปอย่างสมเหตุสมผลแล้วผู้ฝึกตนระดับอาณาจักรปราณแท้จริงจะต้องรู้สึกหวาดกลัวหรือแสดงออกท่าทีบ้างถึงแม้จะเล็กน้อยสักเพียงใดก็ตามเมื่อเผชิญหน้ากับผู้ฝึกตนอาณาจักรปราณจิตวิญญาณดั่งเช่นพวกมัน หรือบางทีพวกมันต้องกลัวจนถึงขั้นอยากรีบหนีด้วยซ้ำ
แต่ชายตาสามเหลี่ยมนั้นกลับไม่พบท่าทีเหล่านั้นแม้แต่น้อยในตัวเจี้ยงเฉิน
"เด็กน้อยผู้นี้ต้องฝึกฝนวิชาเกี่ยวกับจิตใจมาอย่างแน่นอน มิเช่นนั้นมันมิมีวันนิ่งเฉยอยู่ได้ถึงเพียงนี้" ชายตาสามเหลี่ยมคิดอยู่ในใจ ก่อนที่กระบี่เล่มหนึ่งจะปรากฏตัวขึ้นในมือของมัน
"พวกเจ้าทุกคน ข้าจะขอเล่นกับมันเสียหน่อย แต่ก่อนอื่นนั้นข้าคงต้องกล่าวถึงเรื่องนี้ก่อน หากข้าสามารถจับตัวมันได้สิ่งของทั้งหมดของมันต้องเป็นของข้า!" ชายตาสามเหลี่ยมกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่ราวกับมันเป็นเรื่องแค่เล็กน้อย
"เจ้าฝันไปเถอะ!" อีก 3 คนที่อยู่ในระดับครึ่งก้าวอาณาจักรปราณจิตวิญญาณต่างกล่าวออกมาโดยพร้อมเพรียงกัน
ชายหนุ่มตาสามเหลี่ยมกล่าวออกมาด้วยโทสะเล็กน้อย "ข้าเป็นผู้เริ่มลงมือก่อน หรือพวกเจ้าคิดจะหากำไรจากการลงมือของข้า? "
"แล้วมีผู้ใดบังคับให้เจ้าลงมือก่อนเช่นนั้นหรือ" ผู้ฝึกตนร่างท้วมที่อยู่ในระดับครึ่งก้าวปราณจิตวิญญาณอีกคนหนึ่งกล่าวออกมา
เจี้ยงเฉินนั้นยินดีอย่างยิ่งที่เห็นว่าพวกมันเริ่มบังเกิดความขัดแย้งกันเอง ยิ่งพวกมันเสียเวลาไปมากเท่าไรยิ่งเป็นผลดีกับคนของเขาเท่านั้น
ตราบใดที่โจวหยู่สามารถเอาชนะหรือตีฝ่ากลุ่มทางทิศใต้นั้นไปได้ เขาเองก็คิดจะจากกลุ่มตัวอุบาทว์เหล่านี้ไปทันที ปล่อยให้พวกมันเล่นกันแต่พวกมันไปเถิด
เจี้ยงเฉินเหลือบมองคนอื่น ๆ ที่เหลือ มีผู้ฝึกตนอีกราว ๆ 20 กว่าคนที่อยู่ทีนี่ แต่มันเป็นเพียงตัวเลขไร้ค่าเท่านั้น เจี้ยงเฉินหาได้สนใจผู้ฝึกตนอาณาจักรปราณแท้จริงไม่
คนเหล่านี้หาได้เป็นภัยคุกคามใด ๆ แก่เจี้ยงเฉิน ไม่ว่าจะเป็นด้านการโจมตีหรือการป้องกันทั้งหมดล้วนไร้ค่าเมื่ออยู่ต่อหน้าเขาทั้งสิ้น
ความลำบากของเขากลับไปตกอยู่ที่ผู้แสวงหาเต๋าครึ่งก้าวอาณาจักรปราณจิตวิญญาณทั้ง 4 คนนี่เท่านั้น หากพวกมันเพียง 2 คนร่วมมือกันอย่างจริงจังนั้นอาจทำให้เจี้ยงเฉินเผชิญปัญหาร้ายแรง
หากพวกมันร่วมมือกัน 3 คนนับว่าเจี้ยงเฉินไร้ทางหนีแล้ว
และถ้าหากพวกมันทั้ง 4 คนต่างพร้อมใจกันลงมืออย่างสามัคคี เจี้ยงเฉินต้องตกตายแน่นอน
แต่ว่าทั้งหมดนี้ต้องอยู่ในสถานการณ์ที่พวกมันสามารถปิดล้อมเจี้ยงเฉินได้เสียก่อน ในความเป็นจริงนั้นด้วยจุดที่เจี้ยงเฉินอยู่ตอนนี้ กล่าวได้ว่าพวกมันยังไม่ได้ปิดล้อมเขาอย่างแท้จริง เขาจะรีบเคลื่อนไหวหลบออกไปทันทีหากพวกมันพยายามจะปิดล้อมเขา
และทิศทางที่เขาหนีไปจะต้องหลีกเลี่ยงทิศทางที่พวกโจวหยู่มุ่งหน้าไปอีกด้วย
เห็นได้ชัดว่าผู้แสวงหาเต๋าครึ่งก้าวอาณาจักรปราณจิตวิญญาณทั้ง 4 คนนี้ล้วนมีแรงจูงใจของตัวเอง นี่เป็นข้อได้เปรียบเพียงหนึ่งเดียวของเจี้ยงเฉินยามนี้
มีชายคนหนึ่งที่อยู่ในสภาพไม่ค่อยสู้ดีที่ชื่อ อี้เฉียนสุ่ย มีชายตา 3 เหลี่ยมที่กล่าววาจาเวิ่นเว้อโอ้อวด มีชายร่างอ้วนท้วมคนนั้น ส่วนคนสุดท้ายนั้นรูปร่างหน้าตาคล้ายอิสตรี...เป็นการยากที่จะระบุเพศของมันให้แน่ชัด
คนผู้นี้ตั้งแต่เริ่มไม่ได้พูดอะไรแม้แต่ครึ่งคำ แต่ทว่าความรู้สึกของเจี้ยงเฉินกลับรู้สึกว่ามันอันตรายมากที่สุด
มีคนเคยกล่าวเอาไว้ว่า สุนัขเห่ามักไม่ค่อยกัด...
คนที่น่าจะเฉลียวฉลาดและมีไหวพริบมากที่สุดในบรรดา 4 คนนี้ น่าจะเป็นคนที่ไม่สามารถระบุเพศได้คนนี้
"เอาล่ะเช่นนั้นพวกเราทั้ง 4 คนช่วยกันลงมือสยบเด็กน้อยนี่เอาไว้ก่อน หลังจากนั้นพวกเราจึงค่อยแบ่งปันสิ่งของในตัวมันทีหลัง ดีหรือไม่?" ชายตาสามเหลี่ยมกล่าวข้อเสนอขึ้นมา
"เอาล่ะ ข้าต้องการเพียงแค่เกาทัณฑ์ ส่วนที่เหลือพวกเจ้าแบ่งกันเองเถิด" อี้เฉียนสุ่ยกล่าวขึ้นมา
"ฮ่า ฮ่า ข้าเองก็ต้องการเกาทัณฑ์นั่นเช่นกัน อี้เฉียนสุ่ย เจ้าเลือกอย่างอื่น" ชายอ้วนนั่นหรี่ตาลงเล็กน้อยก่อนที่จะหัวเราะออกมาอย่างตลบตะแลง
"มาก่อนได้ก่อน ข้ามาถึงที่นี่เป็นบุคคลแรกเช่นนั้นข้าย่อมมีสิทธิ์เลือกก่อน" อี้เฉียนสุ่ยกล่าวออกมาอย่างไม่ยินยอม
"เจ้ามาก่อนงั้นหรือ แต่เจ้าคงต้องตกลงไปตายแล้วมิใช่หรือไรหากข้าไม่มาช่วย เจ้ายังกล้ายกเรื่องนี้มากล่าวอีกหรือไร? " ชายตาสามเหลี่ยมกล่าวออกมาก่อนที่จะหัวเราะเยาะอีกครั้ง
อี้เฉียนรู้สึกอับอายอย่างมาก จะอย่างไรมันก็เป็นความจริง
อย่างไรก็ตามความอับอายก็ส่วนความอับอายไม่ได้เกี่ยวอันใดกับผลประโยชน์ "สิ่งที่เจ้ากล่าวอาจมิได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป ข้าเพียงต้องการเกาทัณฑ์เท่านั้น เด็กนี้น่าจะเป็นคนต่างถิ่น ตัวมันย่อมมีของมีค่ามากมายกระบี่ของมันก็แปลกมาก ข้าคิดว่ามันอาจจะเป็นอาวุธวิญญาณเช่นกัน เพราะเพียงแค่มันวาดผ่านมาปะทะกับโซ่เมฆาคล้องวาโยของข้า โซ่ของข้าถึงกับขาดสะบั้น"
"อะไร? เจ้าพูดจริงหรือ อี้เฉียนสุ่ย?" ชายอ้วนถึงกับกล่าวออกมาด้วยความประหลาดใจ มันย่อมรู้ดี ว่า โซ่เมฆาคล้องวาโยของอี้เฉียนสุ่ยนั้นเป็นอาวุธวิญญาณเทียม
ด้วยระดับการบ่มเพาะของอี้เฉียนสุ่ยที่อยู่ในระดับครึ่งก้าวอาณาจักรปราณจิตวิญญาณ แต่ทว่าโซ่ของมันที่เป็นอาวุธวิญญาณเทียมกลับพังลงเมื่อปะทะกับอาวุธที่อยู่ในมือของผู้ฝึกตนอาณาจักรปราณแท้จริง... เช่นนั้นอาวุธในมือของฝ่ายตรงข้ามมันควรอยู่ระดับใดกันล่ะ!
นี่หมายถึงอะไร? นี่ย่อมหมายความว่ากระบี่ของผู้ฝึกตนอาณาจักรปราณแท้จริงคนนี้ย่อมแข็งแกร่งกว่าอาวุธวิญญาณเทียมอย่างเทียบไม่ติด กล่าวได้เลยว่ามันย่อมเป็นอาวุธวิญญาณแท้จริงเต็ม 10 ส่วนแน่นอน อีกทั้งยังมีโอกาสที่จะเป็นอาวุธวิญญาณแท้จริง ระดับสูงอีกด้วย
"แน่นอน หากข้าอี้เฉียนกล่าวคำเท็จ ขอให้ข้าถูกสายอัสนีแยกร่างเป็น 2 ส่วน!" อี้เฉียนกล่าวสาบานออกมา
"เอาล่ะเช่นนั้นข้าจะไม่แย่งชิงกับเจ้า ข้าต้องการกระบี่นั่น " ชายอ้วนกล่าวออกมา "เช่นนี้ก็นับว่าตกลงกันแล้ว คงไม่มีผู้ใดแย่งชิงกับข้านะ"
ชายตาสามเหลี่ยมหัวเราะขึ้นมาเบาๆ "พวกเจ้าสองคน คนหนึ่งต้องการเกาทัณฑ์ อีกคนต้องการกระบี่ นี่ใช่พวกเจ้าคิดว่าข้าและพี่ชายหลิวตายไปแล้วหรือไม่?
พี่ชายหลิวคือนามของคนที่เจี้ยงเฉินไม่สามารถระบุเพศและยังไม่ได้กล่าววาจาออกมาจนถึงเมื่อครู่นี้นี้เอง
ใบหน้าของชายคนนั้นค่อนข้างซีด คิ้วของมันโค้งขึ้นเล็กน้อยขณะที่ได้ยินชายตาสามเหลี่ยมกล่าวถึงเขาเมื่อครู่ ก่อนที่เขาจะเผยรอยยิ้มลี้ลับออกมา
แล้วจู่ ๆ เขาก็ก้าวออกมายืนอยู่ตรงหน้าของทั้ง 3 คน
พี่ชายหลิวผู้นี้ดูไปกลับคล้ายคลึงอิสตรีมากกว่าบุรุษนัก อีกทั้งเสียงของเขายังคงหวานน่าฟังอย่างยิ่ง นี่ยิ่งชวนให้ผู้ฟังยิ่งรู้สึกกระอักกระอ่วนใจมากขึ้นไปอีก
ทั้งสามคนต่างมองไปยังรอยยิ้มยากคาดเดาของพี่ชายหลิว
"พวกเจ้าทั้ง 3 กลับไปตอนนี้เลยก็ได้" น้ำเสียงของชายที่ชื่อหลิวผู้นี้นั้นเรียบนิ่งไม่เปลี่ยนระดับเสียงแม้แต่น้อย ราวกับคำที่เขากล่าวออกมานั้นมันเป็นเพียงคำกล่าวธรรมดาๆ หาได้มีอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดอะไรทั้งสิ้น
"ท่านหมายถึง 'ย้อนกลับไปเมือง'?" ชายตาสามเหลี่ยมกล่าวถามออกมา
"พี่ชายหลิว ท่านฝันกลางวันยังมิตื่นหรือ?" ชายอ้วนกล่าวล้อเลียนออกมา
"หยุดล้อเล่นได้แล้ว! อาจมีเรื่องราวไม่คาดฝันเกิดขึ้น และสถานการณ์อาจเปลี่ยนแปลงไปได้ตลอดเวลา พวกเราควรจับเด็กน้อยผู้นี้เสียก่อน ส่วนเรื่องการแบ่งปันสิ่งของหรืออะไรค่อยกระทำในภายหลัง" อี้เฉียนสุ่ยนั้น ในใจของมันคิดเพียงบรรลุการจับกุมตัวของเจี้ยงเฉินให้ได้ก่อน จากนั้นค่อยหารือเรื่องแบ่งปันสิ่งของ
คิ้วศิษย์พี่หลิวนั้นโค้งขึ้นเล็กน้อย "ข้าบอกว่าให้พวกเจ้ากลับไป ย่อมหมายถึงให้ไสหัวกลับไปตอนนี้! ข้าต้องการสิ่งของทั้งหมดของเด็กน้อยผู้นี้! "
"เจ้าเลอะเลือนหรือไร"
"ผู้แซ่หลิว เจ้าใช่เสียสติไปแล้วหรือไม่!"
"ฮ่า ฮ่า ฮ่า เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นผู้ใดกัน? ที่นี่เจ้าสามารถวางท่าใหญ่โตเช่นนี้ได้หรอ! "
ทั้งสามคนเริ่มแสดงท่าทีเตรียมพร้อมต่อสู้ออกมาทันที พวกมันคิดจะลงมือกำราบคนแซ่หลิวผู้นี้เสียหน่อย พวกมันทุกคนล้วนอยู่ในระดับผู้ครึ่งก้าวอาณาจักรปราณจิตวิญญาณเช่นเดียวกัน แล้วเหตุใดพวกมันต้องปล่อยให้ชายแซ่หลิวผู้นี้ว้างก้ามเขื่องโขออกนอกหน้านอกตาไม่เห็นหัวพวกมันเช่นนี้ด้วยเล่า?
ชายแซ่หลิวหัวเราะออกมาแต่ไม่ได้กล่าวคำอะไร มันเพียงชูนิ้วขึ้นมาก่อนที่จะทำท่าเคาะไปยังทั้ง 3 คนด้วยความเร็วสูงส่งจนไม่มีใครสามารถจับตามองปลายนิ้วนั้นได้ทัน